ตอนที่ 406 ปริศนาความจำต้าซือมิ่ง! ปริศนาร่างพรมจารี!
เมื่อปีศาจแฝงฝันพูดถึงความโกลาหลที่เกิดขึ้น เยี่ยนอวี๋ในขณะนี้ก็คิดถึงปัญหาผนึกแดนเทพที่คิเมียรากล่าวถึง นางและต้าซือมิ่งรวมถึงคิเมียราจึงมาถึงทางเข้าผนึกแดนเทพแล้ว และการมาในครั้งนี้… เยี่ยนอวี๋ก็สัมผัสถึงความผิดปกติทันที “มีพลังแดนมืดขนานใหญ่ถูกดูดออกจากแดนมืด”
“ว่าไงนะ” คิเมียราบอกว่าตนเองไม่รู้สึกอะไรเลย!
ทว่าต้าซือมิ่งเองก็สัมผัสถึงเช่นกัน “อืม และยังผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว”
“คงเริ่มตั้งแต่ตอนที่เกิดความวุ่นวาย และจบลงก่อนที่ความวุ่นวายจะจบลงจึงไร้ร่องรอยเช่นนี้” เยี่ยนอวี๋คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเทพในแดนเทพดูดกลืนพลังของแดนมืดแล้ว
“ข้าเข้าไปดูเอง พวกเจ้ารอข้าที่นี่” เยี่ยนอวี๋พูดพลางกำลังจะหายตัวเข้าไปในแดนผนึก
แต่ต้าซือมิ่งคว้านางไว้ “สัมผัสจากที่นี่ก็ได้ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น อย่าเอาตัวเองเข้าไปในที่เสี่ยงเลย” สถานที่แห่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบมาพากล
“ก็ดี” อันที่จริงเยี่ยนอวี๋ก็รู้สึกเช่นเขา เพียงแต่แต่เดิมนางคิดว่านางคุ้นเคยกับแดนผนึกดี คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี มิหนำซ้ำก็ใช่ว่าจำเป็นต้องเข้าไปในแดนผนึกนางจึงจะหาเบาะแสได้เสียหน่อย ดังนั้นหลังจากที่นางตกลงก็แผ่ญาณทิพย์ไปยังแดนผนึก คอยจับสัมผัสในนั้นอย่างระมัดระวัง
เพียงไม่นาน นางก็สัมผัสกลิ่นอายที่หลงเหลือในนั้นได้ ถึงแม้เจ้าของของกลิ่นอายนี้พยายามทำลายร่องรอยอย่างเต็มที่แล้ว แต่เยี่ยนอวี๋เคยใช้วิชาสายตาพิฆาตจับจ้อง ‘เขา’ ดังนั้นตราบใดที่กลิ่นอายของ ‘เขา’ ปรากฏในสถานที่แห่งใด นางก็จะสัมผัสถึงได้อย่างแจ่มชัด
ไม่ว่า ‘เขา’ จะหลบซ่อนเช่นไร จะปกปิดและปลอมตัวเช่นไรก็ไร้ประโยชน์ สำหรับเยี่ยนอวี๋แล้ว ทุกๆวิธีการของ ‘เขา’ ล้วนไร้ผล
“ตามคาด!” เมื่อเยี่ยนอวี๋เรียกญาณสัมผัสคืน นัยน์ตาของนางก็ปรากฏความโมโห “เทพองค์เดียวกัน”
“มีความทะเยอทะยานสูงดี แทรกแซงทั้งแดนเทพและแดนมนุษย์” เห็นได้ชัดว่าต้าซือมิ่งไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้ เพียงแต่ว่า… “บัดนี้เขาต้องใช้พลังที่เขาดูดมาจากแดนมืดทำลายต้าซย่าต่อไป”
“ใช่แล้ว เรากลับไปก่อนเถอะ” เยี่ยนอวี๋ก็คิดเช่นนั้น นางจึงไม่คิดจะสืบสวนแดนผนึกที่นี่ต่อไป ปัญหาของต้าซย่าร้ายแรงกว่ามาก ทว่าคิเมียราที่ฟังถึงตรงนี้ก็มองพวกเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม “แล้วข้าน้อยล่ะ”
“เจ้าเฝ้าที่นี่ไปก่อน” ต้าซือมิ่งคิดว่าในเมื่อเทพองค์นี้แทรกแซงแดนมืดได้จากแดนเทพ ที่แห่งนี้ย่อมต้องมีคนคอยเฝ้าจับตา
คิเมียราไม่คัดค้าน ถึงแม้เขายังคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อได้รับภารกิจมา ก็หมายความว่าไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลมากมาย เพียงแค่ปฏิบัติตามคำสั่งก็พอ
ดังนั้นหลังจากที่กลุ่มเยี่ยนอวี๋จากไป คิเมียราก็เฝ้าอยู่ข้างหน้าแดนผนึกอย่างซื่อสัตย์ ทำให้เยี่ยนอวี๋ที่เหลียวกลับมามองจากที่ไกลออกไปอดทอดถอนใจไม่ได้ “มหาอสุรกายเหล่านี้ซื่อสัตย์ต่อหน้าเจ้ามากจริงๆ” พูดอะไรก็ทำตามนั้น
“ถึงอย่างไรก็ถูกข้าอัดจนกลัวไปแล้ว” ต้าซือมิ่งไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ทว่าเยี่ยนอวี๋ที่เคยจัดการมหาอสุรกายเช่นกันก็หมดคำพูด “เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เจ้าเคยทำ ข้าเองก็เคย” เพียงแต่ว่าจัดการเสร็จก็จบแค่นั้น หลังจากนั้นพวกมันก็ยังกล้าทำอีก! หากไม่ใช่เช่นนี้ นางคงไม่เสียเวลามาฆ่าล้างอสูรเหล่านี้หรอก
ทว่าต้าซือมิ่งยังไม่ทันตอบนาง ลูกไก่ก็พูดแทรกขึ้นว่า “ต้องเป็นเพราะว่าเจ้านายสวยเกินไป ยังดุไม่พอ! ท่านดูนายท่านสิ ตอนที่เขาดุก็ร้ายมากจริงๆ! ข้ายังกลัวเลย!”
“ร้าย…” เจ้าตัวน้อยที่อยู่ในความฝันราวกับตกใจกับคำว่า ‘ร้าย’ เขากอดแขนของท่านพ่อไว้ด้วยสัญชาติญาณ ใบหน้าน้อยๆ ยังถูไถไปมา
ลูกไก่เห็นดังนั้นก็อยากจะปลุกเขาให้ตื่นมาเล่นกับตน ถึงอย่างไรคลานคลาน (ตี้อั้น) ของมันต้องอยู่ในวังจักรพรรดิอสูรเพื่อรอพิกซีไปตรวจสอบข่าวคราวของฝูงสหายเหล่านั้นของมันก่อน
ลูกไก่ในครานี้จึงคิดถึงตี้อั้นนัก “คลานคลานไม่อยู่น่าเบื่อจังเลย นายท่านน้อยก็เอาแต่นอน จะตื่นเมื่อไรกันนะ!”
“ไปถึงแดนมนุษย์แล้วเจ้าจะมีเพื่อนเล่นด้วยมากมาย” เยี่ยนอวี๋ปลอบใจ
ลูกไก่ที่ยืนอยู่บนไหล่ของนางก็ตบปีกขนปุยของตน “ข้าไม่รู้จักพวกมันเสียหน่อย ข้าอาจจะไม่ชอบพวกมันก็ได้!”
“ก็ไม่แน่หรอก” เยี่ยนอวี๋ยกมือขึ้นมาจิ้มลูกไก่สองสามที จู่ๆ ก็นางหันไปถามต้าซือมิ่ง “ใช่แล้ว ความจำของเจ้ากลับมาหรือยัง”
เมื่อถูกนางถาม ต้าซือมิ่งที่กำลังพาสองแม่ลูกท่องไปในแดนมืดก็เกือบจะชะงัก เพราะว่าความจำของเขายังคงมีปัญหา! ถึงแม้หลังจากที่ผสานร่างพลังแล้ว เขาจะได้รับความจำ ‘ใหม่’ ไม่น้อย อย่างเช่นการรวมแดนมืด สร้างเมืองจักรพรรดิอสูรและวังจักรพรรดิอสูรอย่างไร แต่ความจำในคืนนั้นซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เขากลับยังคงจำอะไรไม่ได้เลย…
ต้าซือมิ่งจึงเงียบไปนาน ก่อนจะตอบหลังจากที่เยี่ยนอวี๋คิดว่าเขาคงไม่ตอบแล้วว่า “ยังไม่ฟื้นคืนหมด ข้าคิดว่าเจ้าคงลงมือทำอะไรข้าแล้วจริงๆ”
เยี่ยนอวี๋ “?”
นางทำอะไรเขารึ ไม่ใช่สิ… เดี๋ยวนะ
“ยังคงจำเรื่องคืนนั้นไม่ได้หรือ” เยี่ยนอวี๋ถามพลางกะพริบตา ไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกร้อนตัว ทำเอานางชักจะเริ่มสงสัยตนเองแล้ว หรือว่านางทำเรื่องมิงามกับเขาที่อ่อนแอในครานั้นจริงๆ นะ อย่างเช่นว่าลบความจำของเขาทิ้ง!? เรื่องนี้… ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เยี่ยนอวี๋ที่รู้จักตนเองดีหลุบตาลงเล็กน้อย “เป็นเพราะว่าเจ้าเพิ่งผสานกับร่างพลังจึงยังไม่ได้ความจำทั้งหมดกลับคืนมาใช่หรือไม่”
“อาจจะ” น้ำเสียงต้าซือมิ่งยังเจือความห่อเหี่ยวเล็กน้อย เพราะว่าตอนที่เขาฟื้นตัวนั้น อันที่จริงเขาลองสำรวจตนเองแล้ว เกรงว่าเขา… ยังคงอยู่ในร่างพรหมจารี
เช่นนั้นปัญหาก็คือ ลูกที่หลับอยู่ในอ้อมแขนของเขามาจากไหน! นี่คือลูกของเขาจริงๆ เพราะแม้แต่ค้อนจิ๋วมรดกตกทอดตระกูลหรงของเขาเด็กน้อยก็อัญเชิญออกมาได้แล้ว เด็กน้อยเป็นลูกของเขาจริงแท้แน่นอน!
แต่ตรงไหนกันแน่นะที่มีปัญหา…
ต้าซือมิ่งตกอยู่ในความคิดของตนอย่างมิอาจถอนตัว
“…” เยี่ยนอวี๋ก็ไม่ได้รบกวนเขา เพราะนางรู้สึกใจไม่เป็นสุขอย่างไรไม่รู้
ลูกไก่มองสองคนนี้ก็รู้สึกพวกเขาดูแปลกๆ แต่มันก็ไม่กล้าถามและไม่กล้าพูด ได้แต่ส่งเสียง จิ๊บๆ
…
และในขณะที่เยี่ยนอวี๋ตรวจสอบปัญหาผนึกของแดนเทพและแดนมืด จิ่วอิงก็กำลังถามอินสวินอี้ว่า “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าเศษสวะที่เพิ่งหนีไปเมื่อครู่นี้จะไปที่ไหนต่อ!”
“เรื่องนี้…” ครานี้อินสวินอี้ไม่แน่ใจจริงๆ “อาจจะกลับเมืองหลวงไปแล้ว ถึงอย่างไรที่ที่อันตรายที่สุดอาจจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็ได้”
เมื่อจิ่วอิงได้ยินดังนั้น มันก็คาบสองพ่อลูกอินสวินอี้และกู้ปิ่งคุนที่ตกใจจนยังไม่ได้สติกลับมาหายตัวไปยังเมืองหลวงตี้ชิวทันที!
แต่แล้ว ทั่วทั้งเมืองหลวงกลับไม่มีกลิ่นอายของฮ่องเต้หยวนคังเลย เห็นได้ชัดว่าฝ่ายหลังไม่ได้กลับมาเมืองหลวง ทำให้จิ่วอิงแค้นเคืองนัก “เจ้าบัดซบนั่นหนีไปไหนกันแน่นะ!”
อินสวินอี้ขมวดคิ้ว เขาเองก็กำลังครุ่นคิดว่าฮ่องเต้หยวนคังจะไปที่ไหนได้บ้าง
“ข้ามีอะไรจะพูด” อินหลิวเฟิงเอ่ยขึ้นเบาๆ จากข้างๆ
จิ่วอิงถามทันที “เจ้ารู้หรือ”
อินสวินอี้มองบุตรชาย แต่เดิมเขาคิดว่าบุตรคนนี้ของเขาคงพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทว่าอินหลิวเฟิงที่แสดงสีหน้าจริงจังกลับพูดขึ้นว่า “ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ช่วงที่ข้าอยู่สำนักชางอู๋ไม่ได้รับข่าวเคลื่อนทัพของเฉิงคั่วเลย ท่านพ่อสั่งให้คนตรวจสอบดูหรือยังขอรับ”
เพียะ อินสวินอี้ตบหน้าผาก สีหน้าเขาไม่ค่อยดีนัก “พอยุ่งขึ้นมาก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย! ช่วงนี้ไม่ได้ข่าวกองทัพที่นำโดยเฉิงคั่วเลย”
“ประมุขหอราชทัณฑ์ส่งจดหมายให้สำนักชางอู๋ฉบับหนึ่งก่อนจะเดินทางออกจากเมืองหลวง แต่ตอนที่ข้าจากมา จดหมายฉบับนั้นเพิ่งส่งถึงมือเจ้าสำนักเยี่ยน ทางฝั่งสำนักชางอู๋คงส่งคนตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เราลองถามดูดีหรือไม่ขอรับ” อินหลิวเฟิงรู้สึกได้ว่ากองทัพที่ ‘หายไป’ อย่างไม่สามารถอธิบายได้นั้น เกรงว่าจะมีปัญหาแล้ว
จิ่วอิงได้ยินดังนั้นก็พาสองพ่อลูกทะยานไปสำนักชางอู๋ทันที ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาได้ปรึกษากันเลย เพราะเขารู้สึกร้อนใจ สัญชาติญาณทำให้เขารับรู้ถึงอันตราย
…
ในขณะเดียวกัน แม่ทัพเฉิงคั่วที่อินหลิวเฟิงกล่าวถึงก็ไม่ได้เคลื่อนทัพไปช่วยเหลือสำนักชางอู๋ตามที่ทุกคนเข้าใจ พวกเขาเคลื่อนทัพไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้แล้ว!
ส่วนประมุขหอราชทัณฑ์ก็ถูกเฉิงคั่วฆ่าปิดปากไปแล้ว ไม่สามารถติดต่อกับสำนักชางอู๋ได้อีก บัดนี้กองทัพกลุ่มนี้ถือโอกาสครั้นต้าซย่าโกลาหลเข้าประจำในเมืองเฉาหู ซึ่งเป็นเมืองชนเผ่าเล็กๆ ที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนเป้าหมายสุดท้ายที่ฮ่องเต้หยวนคังหนีไปก็คือเฉาหู! ดังนั้นเขาในตอนนี้รวมตัวกับเฉิงคั่วแล้ว และเขาก็ใช้บ่อน้ำสีเลือดที่เฉิงคั่วเตรียมไว้ให้เขา
ฮ่องเต้หยวนคังที่อยู่ในบ่อน้ำสีเลือดในบัดนี้ กลิ่นอายมรณะแผ่ซ่านไปรอบกาย เสียงที่คาดเดาไม่ได้กลับดังขึ้นในอนุสติของเขาอย่างประหลาด ปฐมราชินีหยวนชูหรือ ต่อให้เจ้าเป็นผู้ก่อตั้งที่นี่ ต้าซย่าก็ต้องถูกข้ากิน
เสียงที่มิอาจทำให้แผนการทั้งหมดสูญเปล่าได้ก็กำลังควบคุมฮ่องเต้หยวนคังให้เริ่มการกลืนกินครั้งใหม่! และในครั้งนี้ไม่มีเถาวัลย์ลามไปทั่ว ไม่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติใดๆ กระทั่งหมอกหนาก็ไม่ปรากฏให้เห็น ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่า ‘ฮ่องเต้หยวนคัง’ กำลังลงมือทำบางสิ่งอย่างลับๆ ในเฉาหู
ทว่าขณะที่ ‘ฮ่องเต้หยวนคัง’ ทำอะไรอยู่นั้นเอง เยี่ยนอวี๋ทั้งครอบครัวก็มาถึงโยวตูแล้ว! อีกทั้งปัญหาที่จิ่วอิงพบ เยี่ยนอวี๋เองก็พบแล้วเช่นกัน “ ‘เขา’ มาแล้ว!”