ตอนที่ 415 บุพเพสันนิวาสสามหมื่นปี! คู่รักแสนหวาน
กล่าวในอีกมุมหนึ่งแล้ว การดำรงอยู่ของร่างๆ นี้คล้ายกับการมีอยู่ของ ‘ต้าซือมิ่ง’ หัวแดง แต่ก็มีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน เพราะว่า ‘ต้าซือมิ่ง’ ผมสีฟ้าองค์นี้ไม่ได้นอนในโลงศพและไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาเลย เหมือนกับว่าเขาหลับลึกมาก
แต่แล้ว…
“สามหมื่นปีแล้ว!”
“ผ่านมาสามหมื่นปีแล้ว!”
เสียงอันอ่อนแรงกลับแสดงความคับแค้นใจกำลังพูดกับ ‘ต้าซือมิ่ง’ ผมสีฟ้า เห็นได้ว่า ‘ต้าซือมิ่ง’ ผมสีฟ้าองค์นี้อยู่มาสามหมื่นปีเป็นอย่างน้อย คาดว่าเขาคงหลับลึกมานานถึงสามหมื่นปีแล้ว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เห็นได้ชัดว่าเทพเสื่อมทรามท่านนี้อยากจะได้พลังของ ‘เขา’ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ จนเมื่อฮ่องเต้หยวนคังร่างแยกได้ไปเจอกับ ‘ต้าซือมิ่ง’ ผมสีแดงและขโมยพลังส่วนหนึ่งของ ‘เขา’ มาได้สำเร็จ เทพเสื่อมทรามก็เพิ่งพบว่า อันที่จริงพลังของ ‘เขา’ สามารถโดนขโมยและกลั่นหลอมได้! สามารถนำมาศึกษาและทำความเข้าใจให้ทะลุปรุโปร่งจนสุดท้ายทำให้กลายเป็นพลังของตนเองได้ เพียงแต่ว่า…
“ผลข้างเคียงก็ร้ายแรงมากเช่นกัน” เทพเสื่อมทรามที่คิดถึงจุดจบของฮ่องเต้หยวนคังก็ไม่ได้มองเพียงด้านที่สำเร็จเพียงด้านเดียว เขาเองก็เห็นถึงด้านที่มีปัญหาเช่นกัน แต่เท่าที่เขาดู ปัญหาเช่นนี้สามารถแก้ไขได้! ทว่าเงื่อนไขคือเขาจะต้องเป็นเหมือนฮ่องเต้หยวนคังจึงจะได้รับพลังโหดเหี้ยมดั้งเดิมจากการดำรงอยู่ของร่างร่างนี้!
เสียดายที่เขาทำไม่ได้ หลังจากเขาศึกษามานับหมื่นปีก็ไม่สามารถได้มาซึ่งพลังของร่างที่ดำรงอยู่ร่างนี้แม้แต่น้อย! มิหนำซ้ำทุกครั้งที่เขามีความคิดเช่นนี้ เมื่อเขาเข้าใกล้ฝ่ายนั้นก็จะทรมานเขาจนเนื้อตัวแตกยับไปทั่ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศึกษาทำความเข้าใจร่างนี้เลย
“แต่เดิมทุกอย่างราบรื่นดี ขอเพียงฮ่องเต้หยวนคังร่างแยกร่างนี้ฝึกบำเพ็ญจนบรรลุเป็นเทพ ข้าก็จะได้ใช้กฎแห่งเทพกำจัดพลังชั่วร้ายออกจากตัวเขาแล้วค่อยผสานร่างกับเขา สุดท้ายก็จะได้รับพลังโหดเหี้ยมดั้งเดิม ถึงครานั้น ข้าจะต้องเข้าใกล้ร่างที่ดำรงอยู่ร่างนี้และค่อยๆ เรียนรู้ศึกษาพลังทำลายล้างอันเผด็จการไร้ขอบเขตในตัวของเขาได้ ข้าจะได้กลายเป็นเทพอันดับหนึ่งในสวรรค์เก้าชั้นฟ้า!” เห็นได้ชัดว่าเทพเสื่อมทรามที่พึมพำถึงตรงนี้รู้สึกตื่นเต้นมาก! น่าเสียดาย…
แม้แผนการของเขาจะสมบูรณ์แบบ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเป็นความผิดตั้งแต่แรก เห็นได้ชัดว่าต้าซือมิ่งไม่ปล่อยให้เขาทำสำเร็จได้ ปฐมราชินีหยวนชูที่กลับชาติมาเกิดในสำนักชางอู๋โดยบังเอิญก็ไม่ปล่อยให้เขาทำสำเร็จเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงได้แต่มองต้าซือมิ่งผมสีฟ้าที่อยู่ใต้ต้นอิงสีเลือดพร้อมตกลงไปในความคั่งแค้นไม่สิ้นสุด! ทว่าเรื่องยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ ต้าซือมิ่งและปฐมราชินีเยี่ยนที่ตัดสินใจขึ้นมากำจัดเขาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า พวกเขาใกล้จะมาแล้ว!
เทพเสื่อมทรามท่านนี้ยังไม่รู้ หรืออาจจะไม่คิดว่าสองสามีภรรยาคู่นี้จะหาเขาเจอ เขายังคงคิดอย่างเคียดแค้นว่า “รอก่อนเถอะ! พวกเจ้าที่ทำลายแผนการของข้า ไม่ตายดีแน่!”
…
ในขณะเดียวกัน ณ ต้าซย่า
เหล่าผู้คนทั่วสารทิศที่ได้รับข่าวงานสมรสของคุณหนูใหญ่และต้าซือมิ่งก็รีบเร่งเดินทางมาสำนักชางอู๋! แต่คนที่เร่งเดินทางมาทันก็มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับตำนาน คนที่เหลือคงมาไม่ทัน เพราะว่าพิธีสมรสครั้งนี้ค่อนข้าง ‘รีบ’ ทีเดียว ตั้งแต่ที่เริ่มประกาศงานสมรสออกไปจนถึงพิธีสมรสจริงๆ มีเวลาเพียงสามวันเท่านั้น ทำให้ผู้คนไม่น้อยต่างรู้สึกประหลาดใจ เพราะถึงอย่างไรฮ่องเต้ชั่วช้าก็ถูกกำจัดไปแล้ว ใต้หล้าสุขสงบ ตามหลักแล้วพิธีสมรสครั้งนี้ควรใช้เวลานานในการเตรียมตัวให้ดี ถือเป็นการต้อนรับความสันติ
สุดท้าย…
“ที่รีบเช่นนี้เพราะตั้งครรภ์คนที่สองหรือ” หลังจากที่เอ้อร์เหมาได้รับของขวัญแสดงความยินดีของจวนโยวตูอ๋องก็อดดึงนายน้อยของตนไปกระซิบถามไม่ได้
อินหลิวเฟิงตบกะโหลกเอ้อร์เหมาไปทีหนึ่ง “เจ้านี่วันๆ คิดอะไรน่ะ ว่างมาก็ไปทำความสะอาดเศษซากของฮ่องเต้ต่ำช้านั่น จะได้ไม่ว่างจนเป็นบ้า”
“งานนี้ซานเหมาทำแล้วขอรับ” เอ้อร์เหมาบอกว่านี่ไม่ใช่งานของเขาแล้ว
อินหลิวเฟิงโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ออกไปเถอะ ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า” เห็นแล้วก็เหนื่อยใจ สองสามวันก่อนที่ไม่เห็นหน้าเจ้าหมอนี่ยังจะสบายใจกว่า
แต่แล้วเอ้อร์เหมายังถามต่อว่า “แล้วชุนซิ่นจวินเป็นอย่างไรแล้วขอรับ ข้าได้ยินมาว่าพ่อของเขา…” เอ้อร์เหมาที่กลายเป็นคนสอดรู้สอดเห็นกระซิบถาม
แต่จะทำอย่างไรได้กู้หยวนหมิงมาหาอินหลิวเฟิงพอดี เขาได้ยินเข้าแล้วจึงอดไอกระแอมไม่ได้ ครั้นกำลังจะตอบคำถามเอง เอ้อร์เหมาที่หันศีรษะมากลับพูดขึ้นว่า “คงไม่ใช่หรอกนะ! ชุนซิ่นจวินเศร้าโศกจนป่วยแล้ว?! นายท่าน ท่านต้องดูแลเขาให้ดีนะขอรับ”
อินหลิวเฟิง “…”
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!?
“ไสหัวออกไปซะ!” อินหลิวเฟิงตะคอกใส่ มิเช่นนั้นลูกน้องโง่เขลาคนนี้ไม่มีทางปิดปากเงียบแน่นอน ไม่รู้ว่าจะโพล่งพูดอะไรโง่ๆ ออกมาอีก
โชคดีที่เอ้อร์เหมายังถือว่า ‘เชื่อถือได้’ รู้ว่าห้ามพูด ‘ความในใจ’ ของนายท่านตนเองออกมา มิเช่นนั้นจะทำให้ชุนซิ่นจวินตกใจหนีไปได้ เขาจึงเดินออกมาอย่างเชื่อฟังแล้ว
อินหลิวเฟิงกุมหน้าผากอย่างลำบากใจพูดว่า “ผู้พิทักษ์ของข้าคนนี้พิลึกคนน่ะ ชุนซิ่นจวินอย่าได้ใส่ใจเลย”
“ไม่เป็นไร” กู้หยวนหมิงไม่ได้รู้สึกอะไร แม้เขาจะเสียใจและเศร้าใจเรื่องพ่อของเขา แต่เขาก็รู้ว่านั่นเป็นจุดจบที่ดีที่สุดของท่านพ่อของเขาแล้ว ส่วนเรื่องที่ไม่ได้พบหน้าครั้งสุดท้ายก็ช่างมันเถอะ… พบไปก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ดี บางทีไม่พบหน้ากันก็ดี
“ข้ามาถามเจ้าว่าจากนี้มีแผนจะอย่างไรกับชีวิตต่อ กลับไปเป็นนายท่านที่โยวตู ไม่สิ ควรจะเป็นองค์ชายน้อยแล้ว หรือว่ามีแผนอย่างอื่น” กู้หยวนหมิงอยากรู้เรื่องนี้
“กลับโยวตูหรือ เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าจะต้องติดตามกูไหน่ไนทั้งครอบครัวต่อไป” ถึงอย่างไรข้าเป็นคนรับใช้ของคุณชายน้อยต้องติดสอยห้อยตามเขาอยู่แล้ว!
“ติดตามจื่ออวี๋หรือ” กู้หยวนหมิงตะลึงเล็กน้อย แม้เขาไม่รู้รายละเอียด แต่เขาก็เดาได้ว่า ที่สองสามีภรรยาคู่นี้รีบแต่งงานคงเป็นเพราะต้องรีบไปสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ส่วนปัญหาที่ว่าวิถีแห่งเทพปิดลงแล้วจะเดินทางไปอย่างไร เขารู้ว่าพวกเขามีวิธี เพียงแต่ว่า… กู้หยวนหมิงยังไม่ทันได้ครุ่นคิดอะไร อินหลิวเฟิงก็ถามว่า “เจ้าอยากไปด้วยหรือ”
“เปล่า” กู้หยวนหมิงสั่นศีรษะทันที “เพียงแต่ว่าข้าคิดไม่ถึง ข้าคิดว่าเจ้าจะอยู่โยวตูต่อ ถึงอย่างไรต้าซย่าก็มีหลายสิ่งต้องบูรณะฟื้นฟู เจ้าก็เป็นผู้สืบทอดที่ถูกกำหนดไว้อีก”
“เฮ้อ เรื่องพวกนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านพ่อข้าก็พอ ข้ายังหนุ่มอยู่เลย อย่างน้อยอีกห้าสิบปีค่อยว่ากัน!” อินหลิวเฟิงบอกว่าตนเองไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อย
กู้หยวนหมิงชะงักเล็กน้อย “บางทีข้าก็อิจฉาความสัมพันธ์ของเจ้าและท่านพ่อของเจ้าเหมือนกัน” ทะเลาะกันแต่ก็รักใคร่กลมเกลียว ไม่เหมือนเขาและบิดา ดูเหมือนมีพ่อเมตตาลูกก็กตัญญู แต่ความเป็นจริงแล้วระหว่างพวกเขามักมีชั้นบางๆ กั้นอยู่เสมอ
คำพูดนี้อินหลิวเฟิงไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ถึงอย่างไรกู้หยวนหมิงเสียพ่อไปแล้ว เขาจึงตบโต๊ะทีหนึ่งพูดว่า “อ้อ! เราไปเล่นกับเจ้าลูกไก่เถอะ มันสนุกดีนะ! ตอนนี้เสี่ยวเป่าก็น่าจะนอนแล้ว เจ้าลูกไก่คงเบื่ออยู่แน่ๆ!”
กู้หยวนหมิงมองฟ้า เพิ่งจะเป็นเวลาโหย่ว[1] แต่ช่วงนี้เด็กน้อยเข้านอนเร็ว ทานมื้อเย็นเสร็จไม่นานก็เข้านอนแล้ว แต่เดิมเขาจะชวนอินหลิวเฟิงไปดื่มสุรา แต่ว่า…
“ก็ได้” เมื่อกู้หยวนหมิงตกลงแล้วพวกเขาก็ไปหาเจ้าลูกไก่เพื่อเล่นกันจริงๆ
ในขณะเดียวกัน…
อันที่จริงเยี่ยนเสี่ยวเป่ายังไม่นอน เขากำลังถูกท่านพ่อของเขารวบไว้ในอ้อมอกและอุ้มออกจากห้องไป
ผ่านไปเพียงไม่นาน เยี่ยนอวี๋ที่กำลังเขียนยันต์ในห้องตนเองก็ได้ยินเสียงเคาะต่างหน้าดังขึ้น
“?”
เยี่ยนอวี๋มองไปด้วยความสงสัยก่อนจะลุกไปเปิดหน้าต่าง และนางก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังอุ้มลูกยืนอยู่นอกหน้าต่าง ดวงตาคู่เล็กและคู่ใหญ่ข้างนอกมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย!?
“เกิดอะ…” เยี่ยนอวี๋กำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ ต้าซือมิ่งก็อุ้มเด็กน้อยปีนเข้ามาในห้องแล้ว เขายังยื่นมือออกไปปิดหน้าต่างอย่างเบามือ ส่วนเด็กน้อยก็เอามือปิดปากไว้ตลอดเวลา ทำตัวลับๆ ล่อๆ
เยี่ยนอวี๋ “…”
นี่เล่นอะไรกัน นางไม่เข้าใจเลย แต่นางก็ไม่เห็นหน้าชายคนนี้มาสองวันแล้ว จะว่าไปแล้วก็คิดถึงเหมือนกัน
และเมื่อคิดได้เช่นนี้ เยี่ยนอวี๋ก็กระจ่างในทันใดว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงถามตาปริบว่า “เจ้าคิดถึงข้าหรือ” ก็เลยแอบอุ้มลูกมาหาข้า?
ต้าซือมิ่งรวบตัวเด็กน้อยเข้าไปในอ้อมอก เมื่อเขาได้ยินคำถามนี้ก็เหลือบมองนางที่อยู่ข้างกาย “มิเช่นนั้นล่ะ ท่านพ่อห้ามเจ้าออกจากเรือน เจ้าก็ไม่ออกมาเลยจริงๆ สินะ”
เยี่ยนอวี๋กะพริบตาสองสามที ครั้นอยากจะพูดว่าท่านพ่อบอกแล้วว่าก่อนวันแต่งงานสามวันห้ามพบเจอกัน ชีวิตแต่งงานจะได้อยู่ด้วยกันเนิ่นนาน แต่นางยังไม่ทันได้เอ่ย
ต้าซือมิ่งก็โอบนางเข้ามาในอ้อมอกแล้วและยังมุดศีรษะเข้าไปในซอกคอของนาง มิหนำซ้ำยังสูดหายใจเข้าลึกสองสามที พึมพำอย่างอ่อนโยนว่า “คิดถึงเจ้ามาก”
หัวใจเยี่ยนอวี๋พลันอ่อนยวบ…
นางจึงยกมือขึ้นโอบเอวของเขาไว้ เสียงก็อ่อนโยนลง “พรุ่งนี้ก็งานแต่งแล้ว ท่านพ่อบอกให้ทนหน่อย วันข้างหน้าของเราย่อมยาวไกล”
ต้าซือมิ่งที่ไม่อยากทนก็อ้าปากกัดคอขาวนวลดั่งหิมะของคนที่อยู่ใกล้ๆ เบาๆ ทำเอาเยี่ยนอวี๋สะดุ้งเล็กน้อย และผลักศีรษะที่อยู่ในซอกคอของนางออกเล็กน้อย นางเหลือบมองเขาและกำลังจะถามว่ากัดทำไม แต่เมื่อนางหันศีรษะไปด้านข้าง ริมผีปากที่ค่อนข้างเย็นของเขาก็เคลื่อนมาประกบลงบนริมฝีปากของนาง…
เยี่ยนอวี๋ตกใจ!
ก๊อก! ก๊อกๆ!
เสียงเคาะประตูดังรัว!
ไม่เพียงเท่านี้…
“เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์! เกิดเรื่องแล้ว!”
[1] เวลาโหย่ว หมายถึงช่วงเวลา 17:00-19:00