ตอนที่ 496 จุดจบของการบีบบังคับให้สละบัลลังก์คือการล้มล้างด้วยเลือด!
ในความเป็นจริงแล้ว เยี่ยนอวี๋ก็ไม่สนใจจริงๆ เพราะว่านางคือหยวนชู ในจักรวาลแห่งนี้ไม่มีคำกล่าวหาของผู้ใดทำให้นางสั่นคลอนได้ รวมถึงบรรพบุรุษหงเหมิงด้วย แต่นางเพียงรู้สึกผิดหวังมากเท่านั้น
เยี่ยนอวี๋ไม่เชื่อว่าบรรพบุรุษหงเหมิงจะไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงต้องสังหารไท่ซ่างเหล่าจวิน แต่เขากลับยังมา ‘ขอความเป็นธรรม’ ให้กับศิษย์ของเขา เรื่องนี้บ่งบอกได้ว่าบรรพบุรุษหงเหมิงเห็นด้วยกับการกระทำของไท่ซ่างเหล่าจวิน
หึ!
เยี่ยนอวี๋แค่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา แววตาเยือกเย็นและเฉยเมยทำให้บรรพบุรุษหงเหมิงต้องเหลือบมอง แต่เขาก็จำต้องพูดว่า “แม้ไท่ซ่างจะมีความผิดแต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องตาย! เขาเองก็เคยทำคุณประโยชน์แก่จักรวาลเช่นกัน”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้…อารมณ์ของซีหวังหมู่ก็จะปะทุขึ้นมาแล้ว อย่างนั้นหมายความว่ามันไม่ได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่จักรวาลหรือ มันสมควรถูกไท่ซ่างเหล่าจวินสังหารหรือไร
ทว่า…
“อมิตาภพุทธ”
เสียงพระพุทธเจ้าดังกังวาลขึ้นจากทั่วทุกสารทิศของสวรรค์เก้าชั้นฟ้าในบัดนี้ พระองค์ท่านมาพร้อมแสงแห่งธรรมะ ร่มเย็นและสว่างไสว
ความเคลื่อนไหวนี้! ปรากฏการณ์ท้องฟ้าเช่นนี้… ทำให้ทวยเทพตะลึง “เมืองสุขาวดี!”
วิ้ง!
วิ้ง!…
เจ้าเมืองปัจจุบันแห่งเมืองสุขาวดีที่ดูสง่างามน่าเกรงขาม ท่านเซียนและมหาเทพเมืองสุขาวดีนับหมื่นนายกำลังเดินเหยียบดอกบัวมาปรากฏกายที่เหนือนภาของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
“กองทัพพุทธศาสนานับหมื่น!” เทพอัสนีเปล่งเสียง สีหน้าขุ่นมัว “พวกเขามาทำอะไร” มันรู้สึกไม่ชอบมาพากล เพราะว่ามันไม่พอใจเมืองสุขาวดีนี้มานานแล้ว
ความจริงก็ได้พิสูจน์ทันทีว่าลางสังหรณ์ของมันนั้นแม่นยำมาก เพราะหลังจากเจ้าเมืองแห่งเมืองสุขาวดีท่องพุทธคาถาเสร็จแล้ว เขาก็มองเยี่ยนอวี๋อย่างเศร้าเสียใจ “ปฐมราชินี เผ่ามารเข่นฆ่าเผ่าเทพของเรานับพันนับหมื่น ท่านมิสมควรอยู่ร่วมกับเผ่ามาร ปล่อยให้จิตใจตกต่ำ”
หากจะบอกว่าการวางตัวของบรรพบุรุษหงเหมิงทำให้ซีเหออยากจะหัวเราะแล้ว เช่นนั้นการสนับสนุนของเมืองสุขาวดีก็ยิ่งทำให้ความกังวลใจของนางสลายไป ทำให้นางกลับไปเป็นเทียนโฮ่วซีเหอผู้สูงศักดิ์และสง่างาม มิหนำซ้ำหลังจากที่เจ้าเมืองแห่งเมืองสุขาวดีสถิต บนท้องฟ้าของสวรรค์เก้าชั้นฟ้ายังแผ่ซ่านแสงสีม่วงหงเหมิงมากมายออกมา จากนั้น…
วิ้ง!
วิ้ง!…
เหล่าท่านเทพชั้นยอดในชุดเต๋าก็ปรากฏกกายขึ้นพร้อมแสง ผู้นำกองทัพเต๋าขบวนนี้มิใช่ผู้ใด หากแต่คือทงเทียนเจี้ยวจู่ ศิษย์อีกคนหนึ่งของบรรพบุรุษหงเหมิงนั่นเอง
ครานี้เอง…
“กองทัพเต๋านับพัน! กองทัพพุทธศาสนานับหมื่น!” ซีเหออยากจะหัวเราะให้ตายแล้ว นี่มันน่ายินดีเกินคาด นางคิดไม่ถึงเลยว่าเมืองอาณาจักรที่ไม่ปรากฏตัวต่อโลกเช่นลัทธิเต๋าและพุทธศาสนาจะออกมา ‘ช่วย’ นาง เห็นได้ว่าวันสุดท้ายของหยวนชูมาถึงแล้ว นางไม่ควรกลับมาเลยจริงๆ
ซีเหอที่คิดเช่นนี้ก็หันมองเยี่ยนอวี๋ตามสัญชาติญาณ นางคิดว่าเยี่ยนอวี๋จะหน้าเปลี่ยนสี ทว่าน่าเสียดายที่เยี่ยนอวี๋ยังคงเป็นปฐมราชินีสูงสุดที่สงบนิ่งและสง่างามเช่นเดิม
แม้กองทัพพุทธศาสนานับหมื่นและกองทัพเต๋านับพันมาแล้ว และนางก็รู้แก่ใจว่าความสามารถของสองมหาอาณาจักรเทพที่ตั้งมั่นใจการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ แต่แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า เยี่ยนอวี๋มาไกลเช่นนี้ ก็เพราะอยากเห็นธาตุแท้ของสวรรค์เก้าชั้นฟ้าในปัจจุบัน หรือธาตุแท้หลังจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าสุขสงบ
ซีเหอเปลี่ยนแปลงที่นี่ เยี่ยนอวี๋มั่นใจว่าเพิ่งจะเกิดขึ้นหลังจากที่นางร่วงหล่น แต่ว่าพุทธศาสนาและลัทธิเต๋า พวกเขาคงไม่พอใจนางมานานแล้ว เยี่ยนอวี๋อ่านสถานการณ์ทุกอย่างออก นางอ่านเจตนาของพุทธศาสนาและลัทธิเต๋าออกอย่างทะลุปรุโปร่ง รู้ว่าพวกเขาต้องการติติงนางโดยใช้สามีนางเป็นข้ออ้าง ส่วนจุดประสงค์น่ะหรือ…
เยี่ยนอวี๋ยกมุมปากเล็กน้อย “ทำไมรึ เมื่อครั้นข้าอยู่บนจุดสูงสุด พวกเจ้าไม่กล้าออกมาแสดงความไม่พอใจ เมื่อข้าร่วงหล่นและกลับมา พวกเจ้าก็คิดว่าจะมีโอกาสแล้วหรือ”
“อมิตาภพุทธ” เจ้าเมืองแห่งเมืองสุขาวดีเอ่ยอย่างเมตตา “ปฐมราชินีคิดเช่นนี้ได้อย่างไร พุทธศาสนาของข้ามีจิตเมตตากรุณา เพียงแค่ไม่อยากเห็นท่านล้างตำหนักสวรรค์ด้วยเลือดจึงมาที่นี่ หวังว่าปฐมราชินีจะอภัย”
“ลัทธิเต๋าของข้าก็เช่นกัน!” ทงเทียนเจี้ยวจู่ที่มีสีหน้าเยือกเย็นสายตาเฉียบคม “ปฐมราชินี แม้ท่านคือผู้สร้างจักรวาลสรรค์เก้าชั้นฟ้า แต่พวกข้าก็คือผู้สรรสร้างจักรวาลสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเช่นเดียวกัน พวกข้าได้เป็นประจักษ์พยานของจักรวาลและสวรรค์เก้าชั้นฟ้าทั้งในยามรุ่งโรจน์และถดถอย ได้เห็นมันล้มลุกคลุกคลานจนถึงทุกวันนี้กว่าจะสันติ หวังว่าท่านจะไม่ทำลายความสมดุลนี้ เผ่ามารสมควรถูกผนึกไว้ในแดนมืดตลอดกาล! ไม่ควรออกจากแดนมืด ในเมื่อท่านเคยร่วงหล่นไปแล้วหนึ่งครา ยิ่งสมควรตระหนักและเข้าใจว่าสรรพชีวิตมีชะตาและอายุขัยของมันเอง แม้ท่านจะเป็นปฐมราชินีหยวนชูก็ไม่ควรแทรกแซง”
“เหลวไหล!” ซีหวังหมู่ทนไม่ไหวแล้ว “นายท่านเลี้ยงดูพวกข้ามา! แม้จะซัดทะลวงทวารของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ต้องทน! ทำไมรึ ตอนนี้คิดว่าปีกกล้าขาแข็ง มารดาชราภาพแล้ว พวกเจ้าก็คิดจะกบฏหรือไร!”
ซีหวังหมู่ระเบิดอารมณ์ทันที เสียงโทษทัณฑ์ที่ดังสะเทือนออกมาจากรอบกายมันบดขยี้เสียงสวดอันเมตตากรุณาของพุทธศาสนาและลัทธิเต๋าแล้ว
เทพอัสนีพ่นสายฟ้าออกมาจากทั้งเจ็ดทวาร “บังอาจนัก กล้าดีอย่างไรมายืนพูดเช่นนี้กับนายท่าน! พวกเจ้า พวกเจ้า… น่าโมโหจริงๆ!”
“มารดามันเถอะ พูดมากมายไปทำไมกัน! ลุยซะให้จบเรื่อง!” จิ่วอิงก็โมโหมากเช่นกัน! ดูพวกเวรตะไลนี่สิ พูดจาอะไรบัดซบจริงๆ
แม้แต่ต้าซือมิ่งเอง ดวงตาของเขาก็ปรากฏคลื่นลึกลับน่ากลัว เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็โกรธกริ้วอยากจะทำลายแล้ว รอบกายของเขาพลันปรากฏแสงหม่นเลือนราง
ส่วนเด็กน้อย ใบหน้าน้อยๆ ของเขาก็เคร่งเครียดมานานแล้ว ทั้งยังยังกำหมัดไว้แน่น หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อบีบมือของเขาไว้ เขาคงเล่นค้อนจิ๋วอีกแล้ว
ซีเหอในบัดนี้ยังดึงดันพูดขึ้นว่า “หึ! มีแต่เหล่าขุนเขาและท้องทะเลโง่เขลาเช่นพวกเจ้าเท่านั้นที่คิดว่าปฐมราชินีดีไปเสียหมด! ช่างน่า… หากไม่ใช่เพราะบรรพบุรุษหงเหมิงท่านจำได้ว่านังโจรนี่คือปฐมราชินีหยวนชูจริงๆ ข้ายังไม่อยากจะเชื่อเลย! ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าปฐมราชินีจะไปเป็นพวกเดียวกันกับเผ่ามาร ศักดิ์ศรีของท่าน ความตั้งใจของท่านหายไปไหนเล่า อ้อ! หรือว่าท่านกลัวว่าหากกลับมาตำหนักสวรรค์อีกคราทวยเทพจะไม่อยู่ในโอวาท กลัวว่าท่านร่วงหล่นไปสามหมื่นปี ไร้ซึ่งความน่าเกรงขามแล้วจึงต้องการให้เผ่ามารสนับสนุนท่าน!” ซึ๊ด…
ซีเหอสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าแปรเปลี่ยนและยังถอยหลังไปสองสามก้าวราวกับตนเองเผลอเปิดเผยความลับอันน่าตกใจออกมาอย่างนั้น
หากว่าตี้เซินขยับตัวได้ด้วยท่าทีเสแสร้งนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เขาหลับตาลง เขาทนดูไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่เขาก็กำลังคิดว่าแม้แต่บรรพบุรุษหงเหมิง ทงเทียนเจี้ยวจู่ และเจ้าเมืองแห่งเมืองสุขาวดีออกมาแล้ว นาง… ปฐมราชินีหยวนชูจะรับมือไหวหรือไม่
ไม่ใช่เพราะตี้เซินดูถูกเยี่ยนอวี๋ เพียงแต่ว่ากองทัพนับพันของลัทธิเต๋าและกองทัพนับหมื่นของพุทธศาสนาเก่งกาจมิใช่เรื่องเท็จ ทั้งสองกองทัพนี้เคยเข้าร่วมมหาศึกเทพมารเช่นกัน ภายใต้การนำทัพของหยวนสื่อเทียนจุน พวกเขากวาดล้างกองทัพมารที่หลงเหลือของสิบสองมารเทพจนเรียบเป็นหน้ากลอง เป็นกองทัพหลักที่สุดท้ายขับไล่พวกเขาเข้าไปในแดนมืด
แน่นอนว่ากองทัพลัทธิเต๋าและพุทธศาสนาตายไปหมดแล้วในมหาสงครามเทพและมารในครานั้น กองทัพชุดปัจจุบันเพิ่งรวมตัวขึ้นใหม่ แต่พวกเขาก็มีความสามารถมากเช่นกัน
เรื่องนี้ดูจากกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาของพวกเขาและวิธีการที่พวกเขามาถึงที่นี่ได้โดยตรงก็รู้ได้ว่าพวกเขาไม่ใช่เล่นๆ เลย
ดังนั้น…ตี้เซินจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าการปะทะกันครานี้ เสด็จแม่ของเขาอาจจะเอาชนะได้ก็เป็นได้ ถึเพราะงอย่างไร…บรรพบุรุษหงเหมิงเอ่ยขึ้นอีกครา “ปฐมราชินี หากท่านคิดเช่นนี้จริงๆ ก็ทำให้พวกข้าผิดหวังแล้วจริงๆ”
“ปฐมราชินี ถอยเถิด” เจ้าเมืองแห่งเมืองสุขาวดีเกลี้ยกล่อม
“เจ้า…” ซีหวังหมู่กำลังจะแย้ง!
เยี่ยนอวี๋กลับเอ่ยขึ้นว่า “ถอยรึ พวกเจ้าจะให้ข้าถอยอย่างไร หมายถึงถอยออกจากตำหนักสวรรค์ กลับไปยังจักรวาลดั้งเดิมของข้า หรือว่าถอยออกจากแดนเทพ กลับคืนสู่ธรรมชาติด้วยตนเองเล่า”
“มิบังอาจ” บรรพบุรุษหงเหมิงเอ่ยทันที “เกรงว่าปฐมราชินีจะเข้าใจผิด พวกข้ามาที่นี่เพียงแค่ไม่ต้องการเห็นท่านล้างสวรรค์เก้าชั้นฟ้าด้วยโลหิต มิได้หมายความให้ท่านกลับคืนสู่ธรรมชาติ”
“แต่หากปฐมราชินียืนกรานว่าจะชำระล้างสวรรค์เก้าชั้นฟ้าด้วยเลือดเล่า” ซีเหอกลับพูดขึ้น “บรรพบุรุษหงเหมิง ท่านต้องรู้ว่าปฐมราชินีกลับสวรรค์เก้าชั้นฟ้าทำอะไรไปแล้วบ้าง ซื่อฝานเทียนอ๋อง มหาเทพตกสวรรค์ ไท่ซ่างเหล่าจวินล้วนถูกนางฆ่าตาย! หรือว่าท่านคิดว่าปฐมราชินีจะเมตตาได้”
“ดังนั้น ปฐมราชินีโปรดทำลายตบะตนเอง เข้าไปยังจักรวาลดั้งเดิมเถิด” ทงเทียนเจี้ยวจู่ยื่นข้อเสนอให้ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ข้อเสนอที่ชั่วร้าย โหดเหี้ยมและไร้ยางอาย
คำพูดของทงเทียนเจี้ยวจู่นั้นย่อมหมายถึงการกักบริเวณเยี่ยนอวี๋! กักบริเวณปฐมราชินีผู้สร้างท่านนี้ นี่ต่างหากคือจุดประสงค์พวกเขา