ตอนที่ 549 แผนการที่ร้ายกาจที่สุด
ต้าซือมิ่งผมสีทองที่กำลังสลายหายไปกลับลืมตาขึ้น รอบกายก็ควบแน่นกลับมาไม่น้อย ทำให้มิคาเอลรู้สึกเหมือนกับถูกฝ่ามือตบเข้าที่หน้าดัง เพียะ รู้สึกร้อนชาไปหมด
ทว่าต้าซือมิ่งผมสีทองไม่ได้สนใจนาง เขากำลังใช้ความพยายามสุดความสามารถเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากแรงดึงดูดอันรุนแรง อยากจะพูดกับภรรยาและลูก
และในครานี้เอง…
“อ้ะเนะ?”
เด็กน้อยก็งุนงงเมื่อเห็นว่าท่านพ่อของเขาประเดี๋ยวกลายเป็นสีทอง ประเดี๋ยวกลายเป็นสีดำ อีกประเดี๋ยวยังกลายเป็นสีฟ้า และกลายเป็นสีแดง
เยี่ยนเสี่ยวเป่า “⊙▽⊙”
เขาตะลึงไปแล้ว
ภาพเช่นนี้… เพียงพอที่จะทำให้เยี่ยนอวี๋ที่พอจะเดาบางอย่างออกรีบเดินขึ้นหน้าไปรับเด็กน้อยมา และพูดกับสามีหลากสีของนางอย่างแน่วแน่ว่า “ข้าเชื่อในตัวเจ้า ดังนั้น เจ้าก็ต้องเชื่อในตัวข้า รีบไปเถอะ”
เมื่อสิ้นเสียงนาง…
วิ้ง
ต้าซือมิ่งก็สลายไปอย่างสิ้นเชิง
มิคาเอล “…”
เรื่องนี้ต่างจากแผนการที่นางวางไว้อย่างสิ้นเชิง แต่ไม่ว่าจะต่างกันเพียงใด สิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จยังคงต้องทำให้สำเร็จ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้
เมื่อคิดได้ดังนี้ มิคาเอลก็สงบสติอารมณ์ลง นางเองก็กำลังสลายตัวไปแล้ว “แม้จะเกิดข้อผิดพลาด แม้ปฐมราชินีเจ้าจะมีอิทธิพลต่อเขามากจริงๆ แต่ยังคงไม่เพียงพอ เขาหายไปแล้ว เจ้าจะไม่ได้พบเขาอีก ข้าขอเตือนเจ้าจากใจจริง คนของราชสำนักมาแล้ว พวกเขาสนใจในตัวเจ้ามากกว่าข้า หวังว่าเจ้าจะดูแลตนเองและเด็กไร้เดียงสาคนนี้ให้ดี อย่าได้พบกันอีกเลย”
เมื่อพูดจบ… มิคาเอลก็สลายตัวไปอย่างสมบูรณ์
เยี่ยนอวี๋ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามิคาเอลคนนี้ไล่ตามสามีของนางไปแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าพวกเขาไปที่ไหน แต่ว่า…
“ปู่จิ่ว” เยี่ยนอวี๋เรียก
จิ่วอิงแอบมุดออกมาจากในห้อง “ภรรยาอี้เอ๋อร์ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ได้ตามอี้เอ๋อร์ไป”
“หากเขาพาเจ้าไปด้วยได้ก็ต้องพาพวกเราสองแม่ลูกไปด้วยได้” เยี่ยนอวี๋พูดพลางก้มศีรษะมองเด็กน้อยในอ้อมอก พบว่าเด็กน้อยไม่ได้ร้องไห้ เพียงแค่เกร็งใบหน้าน้อยๆ ไว้
เยี่ยนอวี๋คิดว่าเด็กน้อยเห็นท่านพ่ออันเป็นที่รักจากไปด้วยตนเองจะต้องร้องไห้ฟ้าถล่มแผ่นดินแตกแยกแน่ๆ ไม่คิดเลยว่าเด็กน้อยอดกลั้นไว้ไม่ร้องออกมา
“มอง อะไร?” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่เหมือนกับจะรู้ว่าท่านแม่กำลังคิดอะไร เขาก็ทำหน้ามุ่ย “เป่า เข้มแข็ง โตแล้ว”
“ใช่” เยี่ยนอวี๋ดีใจ หัวใจที่แต่เดิมแขวนอยู่บนเส้นด้ายค่อยๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ปู่จิ่วมีเบาะแสอะไรหรือไม่”
จิ่วอิงมีเบาะแสจริงๆ ก็พูดว่า “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าเพิ่งออกมา สตรีร่างแสงคนนั้นก็กางม่านปิดกั้นพวกเจ้าไว้ พูดอย่างอกจะแตกว่าหายไปได้อย่างไร หายไปได้… เอาเป็นว่าพูดวกไปวนมาหลายครั้ง จากนั้นนางก็ร้องอ๋อ พูดสะเปะสะปะว่าหรือว่าแสงสว่างอะไรนั่นชี้นำเจ้ากลับไปยังแหล่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเขาต้องไปแหล่งศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นแน่ๆ แต่แหล่งศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ปู่จิ่วไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน พวกเราก็สัมผัสไม่ได้ด้วย ทำอย่างไรดี”
เยี่ยนอวี๋กลับครุ่นคิดพูดว่า “ข้าพอจะรู้ว่าอยู่ที่ไหน”
“เจ้ารู้หรือ” จิ่วอิงไม่ค่อยเชื่อ
แต่เยี่ยนอวี๋อุ้มเด็กน้อยมุ่งไปทางต้นกำเนิดของพลังที่แผ่ซ่านออกมาเมื่อครู่นี้แล้ว
แม้จะเชื่อในตัวสามีของตนเอง แต่เยี่ยนอวี๋ยังคงต้องจับตาดูไว้ เผื่อจะมีคนหน้าไม่อายทำมิดีมิร้ายกับสามีของนาง
“รอ…” จิ่วอิงเกือบจะตะโกนไปว่า “รอข้าด้วย” โชคดีที่มันตั้งสติทันว่าที่นี่ไม่ใช่ ‘บ้าน’ ของมัน ต้องสุขุมไว้ มิเช่นนั้นมันจะชักศึกมาได้
ในขณะเดียวกัน…
ณ แหล่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า ต้าซือมิ่งอยู่ที่นี่จริงๆ
และในแหล่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้อันที่จริงอยู่ข้างใต้แท่นบูชาของกรมแสงสว่าง เป็นโลกแห่งแสงสว่าง
ทุกซอกทุกมุมของที่นี่ล้วนสว่างไสวด้วยแสงอันสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีแม้แต่เงาใดๆ ดังนั้นต้าซือมิ่งที่ลอยอยู่ในแหล่งศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เขาไม่มีเงาของตนเอง แต่รอบกายของเขายังคงถูกแสงสีม่วงอร่ามล้อมรอบ ทำให้มิคาเอลที่ปรากฏตัวตามมาชะงักเล็กน้อย “เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย ไม่ว่าเจ้าจะปฏิเสธอย่างไร เจ้าก็คือเทพแห่งความมืดที่แยกตัวออกไปจากแสงสว่าง คือด้านลบของเทพ คือด้านลบของข้า ขอเพียงเราทั้งสองผสานรวมกัน เจ้าจึงจะสมบูรณ์ ข้าก็จะสมบูรณ์ พวกเราจึงจะฟื้นฟูลัทธิแสงสว่างทำให้แสงสว่างกระจายไปทั่วแอตแลนอีกครั้ง ชี้นำให้สรรพชีวิตของแอตแลนเดินทางสู่ความรุ่งโรจน์และมั่งคั่งยิ่งกว่าเดิม”
มิคาเอลที่ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น นางเดินไปหาต้าซือมิ่งอย่างมิอาจสงบอารมณ์ลงได้ ทว่านางยังคงรักษาความสุขุมพื้นฐานที่ควรมี ไม่ได้เข้าไปใกล้อย่างอุกอาจและยังคอยสังเกตอย่างละเอียดด้วย
จากนั้นนางก็พบว่าแสงสีม่วงเจิดจ้าของต้าซือมิ่งมีแสงสีทองที่แน่นหนากว่าเดิมเล็ดลอดออกมา ซึ่งนี่หมายความว่าหรง ผมสีทองที่นางเห็นเมื่อครู่นี้กำลังผสานรวมกับหรง ผมสีดำ
“เจ้ากังวลว่าตนเองจะอยู่ในด้านลบเกินไป ควบคุมตนเองไม่ได้จึงแบ่งแยกตนเองออกมาใช่หรือไม่” มิคาเอลพูดอย่างเข้าใจดี เหมือนกับรู้ความจริงทุกอย่าง “แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว ขอแค่พวกเราผสานรวมกัน เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ใช่ปัญหา”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ มิคาเอลที่พึมพำก็แสดงสีหน้าเสียใจ “หากข้ารู้เร็วกว่านี้คงดี พวกเราจะได้ไม่ต้องแยกจากกันนานเช่นนี้ เราควรจะผสานรวมกันตั้งแต่เมื่อสามหมื่นปีก่อนแล้ว โทษข้าเอง ที่ไม่ได้เจอเจ้าทันกาล และยังทำให้เจ้าหายไปอยู่ในสวรรค์เก้าชั้นฟ้านานเช่นนี้ ตอนนี้ดีแล้ว ในที่สุดเราก็จะได้ผสานรวมกันแล้ว แสงสว่างนำทางให้เราอยู่ด้วยกัน”
เมื่อพูดจบ…
มิคาเอลก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงได้ แสงรอบกายส่องสว่างไสว
วิ้ง
แสงในที่แห่งนี้สว่างขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งดูเลือนราง เงาร่างขนาดใหญ่ปรากฏกลางแหล่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็คืออสูรเทพแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่เล่าขาน
ในขณะเดียวกัน…
มิคาเอลก็มาถึงข้างหน้าต้าซือมิ่งและยื่นมือไปที่เขาแล้ว น่าเสียดายแสงสีม่วงอร่ามสกัดกั้นนางไว้อย่างไม่ต้องสงสัย
มิคาเอลตะลึงงัน “เป็นไปได้อย่างไร ข้า ข้าไม่ใช่เอเลน่า หรง เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่”
น่าเสียดาย… ไม่ว่ามิคาเอลจะลองอย่างไร มือของนางก็ไม่สามารถทะลุผ่านชั้นแสงและสัมผัสหรงต้าซือมิ่งที่งดงามในนั้นได้
มิคาเอลสีหน้าพลันเปลี่ยน นางไม่สามารถระงับสติอารมณ์ได้อีก “หรง เจ้า…”
แม้จะไม่อยากยอมรับจากใจจริง… ท้ายที่สุดมิคาเอลก็ยกมือข้างซ้ายขึ้นมา “ดูท่า เมื่อสามหมื่นปีก่อนข้าคงพลาดโอกาสอันดีที่ไม่ได้ผสานรวมกับเจ้าไป เจ้ายอมรับในตัวปฐมราชินีเยี่ยนไปแล้ว ไม่อยากข้องเกี่ยวกับข้าแม้แต่น้อย แต่ครั้งนี้ ข้าจะปล่อยตามใจเจ้าไม่ได้”
เมื่อพูดจบ มือซ้ายของมิคาเอลก็ปล่อยสารเรือนแสงสีม่วงจางๆ ออกมา หากเยี่ยนอวี๋อยู่ที่นี่ นางต้องรู้ว่า นั่นคือกลิ่นอายของนาง ซึ่งก็คือกลิ่นอายของเยี่ยนอวี๋ที่ได้มาจากการจับมือเยี่ยนอวี๋เมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่านางเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว อีกทั้งยังเตรียมไว้อย่างรอบคอบ
ดังนั้น… เมื่อมือข้างซ้ายของมิคาเอลที่มีกลิ่นอายเยี่ยนอวี๋สัมผัสชั้นแสงสีม่วงของต้าซือมิ่ง ชั้นแสงนั้นก็จางลงทันที กระทั่งค่อยๆ หายไป