ตอนที่ 565 มาสิ! ลุยสิ! พังพินาศไปเลย!
นอกจากนี้ นอกจากหูจวิ้นจะมาด้วยตนเองแล้ว เขายังพาหกเทพผู้พิทักษ์มาด้วย ดูก็รู้ว่ามาไม่ดี! ทว่า… อินหลิวเฟิง ซีหวังหมู่และเทพอัสนีก็กลับมาแล้ว พวกเขาไม่รอให้เม่ยเอ๋อร์ออกมาด้วยซ้ำ อินหลิวเฟิงก็เอ่ยขึ้นว่า “ปฐมราชินีของพวกเราอยู่ที่ไหนเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย”
“นั่นน่ะสิ!” ซีหวังหมู่มองหูจวิ้นและหกเทพผู้พิทักษ์ที่อยู่ข้างหลัวของเขาอย่างดุร้าย ท่าทางดุดันไม่ไว้หน้าใคร แม้ศัตรูจะมีคนจำนวนมากกว่าก็ตาม โซลดาผู้มีเคราสีแดงและเต็มไปด้วยพละกำลังตวาดอย่างโมโหทันที “พวกเจ้าเป็นใครกัน พูดกับฝ่าบาทเช่นนี้ได้หรือ รีบไสหัวไปซะ!”
“ขออภัย ข้าไม่รู้ว่าต้องไสหัวไปอย่างไร รบกวนท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่างหน่อย ข้าว่าศีรษะของท่านน่าจะเหมาะสมกว่า” เทพอัสนีที่ไม่พอใจเจ้าเคราสีแดงคนนี้ มันพูดพลางปล่อยสายฟ้าออกมาจากเกล็ดของตัวเอง
“ฮึ!” เฟรดผู้ถือดาบเล่มใหญ่ก้าวไปข้างหน้าทันที ดาบมโหฬารหาที่เปรียบไม่ได้ยังพุ่งออกมาฟันลงไปที่ประตูใหญ่ของกรมความมืดโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
น่าเสียดาย… แม้เขาจะรวดเร็ว พละกำลังก็แข็งแกร่งมาก ทว่า…
“ออกไป”
เม่ยเอ๋อร์ที่ตวาดเสียงเย็นชา ดาบของนางฟันดาบเล่มใหญ่ในทันที
หูจวิ้นหรี่ตาลงเล็กน้อย เพราะว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตเห็นเม่ยเอ๋อร์ ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับขนาดและรูปลักษณ์ของซีหวังหมู่ อิงหลง เทพอัสนี และจิ่วอิงแล้ว เม่ยเอ๋อร์ดูเป็นคนปกติมาก หากจะกล่าวถึงในส่วนของหน้าตา เม่ยเอ๋อร์ก็เป็นเพียงคนรับใช้ที่เหมือนกับเอ้อร์เหมา เทียบกับสุภาพบุรุษที่สง่างามเช่นเซ่าเฮ่าแล้วก็ไม่โดดเด่นพอ แต่ว่า… สาวใช้ที่ดูธรรมดาๆ คนนี้กลับปัดดาบเล่มใหญ่ของเฟรด ผู้เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์กระเด็นออกไปกลางอากาศ
“นี่มันแหล่งซ่อนเสือซ่อนมังกรจริงๆ” หูจวิ้นจำต้องเอ่ยเช่นนี้ ในขณะเดียวกันก็สงสัยว่าอีกสองคนที่ดูไม่โดดเด่น เกรงว่าจะมีฝีมือไม่ธรรมดาเช่นกัน
ทว่าซีหวังหมู่กลับประหลาดใจ “นี่ยังต้องซ่อนอีกหรือ ฟันเสือของข้าเจ้าไม่เห็นรึแล้วก็เสี่ยวเหลย เจ้าไม่เห็นรึ เจ้าคงตาบอดไปแล้วสินะ”
พรวด! อินหลิวเฟิงหัวเราะดังพรวดออกมา เขายกนิ้วโป้งให้ซีหวังหมู่
เดิมทีเทพอัสนีจะบอกซีหวังหมู่ว่าคนอื่นเขาแค่เปรียบเทียบ ความหมายที่แท้จริงคือชื่นชมเม่ยเอ๋อร์ที่ดูภายนอกธรรมดา แต่อันที่จริงเก่งกาจมากทว่าเมื่อมันเห็นสีหน้าหูจวิ้นไม่สู้ดีนักจึงไม่ได้อธิบายอะไร สะใจจริงๆ
แต่โซลดาเคราแดงระเบิดกลับอารมณ์ออกมาในทันที เขาอยากจะต่อสู้กับพวกเขาเต็มแก่ “พวกเจ้า…”
แต่หูจวิ้นกลับห้ามเอาไว้ “โซลดา กลับมา ข้าแค่มาหาปฐมราชินีเยี่ยน ไม่ใช่มาฆ่าฟัน พวกเจ้าอยากประลองฝีมือก็เก็บไว้วันอื่น”
“จะเป็นวันนี้เราก็ไม่รังเกียจ” อินหลิวเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แต่ว่าอยากหาปฐมราชินีเยี่ยนของเรา นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ปฐมราชินีของเราไม่ใช่คนที่ท่านอยากเจอก็เจอได้”
“ทำไมหรือ นางจำศีลอยู่หรือ” หูจวิ้นถามลองเชิง เขาอยากรู้ว่าเยี่ยนอวี๋จำศีลอยู่หรือไม่ผ่านปฏิกิริยาของเทพฝ่ายตรงข้ามเหล่านี้
ทว่าซีหวังหมู่ไม่รู้ว่าเยี่ยนอวี๋จำศีลอยู่จริงๆ มันถ่มน้ำลายใส่ทันที “ปฐมราชินีของเราทำอะไรเกี่ยวอะไรกับเจ้า บอกมาก่อนว่าเจ้าจับจวินโฮ่วและนายน้อยของเราไว้ที่ไหน”
“นั่นน่ะสิ!” เทพอัสนีเองก็ไม่รู้ว่านายท่านของพวกมันกำลังจำศีล คิดว่านายท่านอารมณ์ไม่ดีจึงไม่ออกมาเพียงส่งเม่ยเอ๋อร์ออกมาจัดการแทน “สามีและลูกของปฐมราชินีของเราถูกเจ้าจับไว้ เจ้ายังตีหน้าซื่อมาพบปะเหมือนเป็นเพื่อนปฐมราชินีของเราอีก ถุย! จอมปลอม!”
“ถูกนายท่านด่าไม่พอ ยังมาหาเรื่องให้ด่าถึงที่อีก แต่ว่านะ น้ำลายของนายท่านเรามีค่ามากนัก ไม่ปล่อยให้สูญเปล่าไปกับคนอย่างเจ้าหรอก มาทางไหนกลับทางนั้นซะ ไปๆๆ!” ซีหวังหมู่หงุดหงิดมาก มันยังกัดฟันตลอดเวลา ทำท่าอยากจะกัดคน
“จักรพรรดิหูจวิ้น เชิญกลับ” อินหลิวเฟิงเก็บพัด เชื้อเชิญอย่างสำรวมกิริยา
“ข้าอยาก…”
“เจ้าอยากทำอะไรพวกเราไม่อยากรู้ หากไม่ไปอีกข้าจะกัดแล้วจริงๆ นะ!” ซีหวังหมู่แยกเขี้ยว นัยน์ตาดุดัน กลิ่นอายอำมหิตทั่วเรือนร่างแผ่ซ่านออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
“ฝ่าบาท จัดการพวกเขาเลย!” ชายเคราแดงก็ทนไม่ไหวแล้ว
“มาสิ!” เทพอัสนีชกหน้าอก เสียงฟ้าร้องดังโครมคราม
ด้วยเหตุนี้หูจวิ้นจึงแน่ใจแล้วว่าเยี่ยนอวี๋คงไม่อยากเจอเขาจริงๆ ไม่ใช่เพราะจำศีลอยู่ มิเช่นนั้นลูกน้องของนางคงไม่คิดจะสู้ด้วยจริงๆ ดูไม่กลัวว่าเสียงที่ดังโหวกเหวกจะส่งผลกระทบต่อนางเลย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้… หูจวิ้นยังคงถามหยั่งเชิงเป็นครั้งสุดท้าย “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่ คิดว่าพรุ่งนี้ปฐมราชินีเยี่ยนคงสบายใจขึ้นไม่น้อยแล้ว”
ซีหวังหมู่ตอกกลับทันที “ถุย! จวินโฮ่วและนายน้อยของเรากลับมาเมื่อไหร่ นายท่านของเราถึงจะเจอเจ้า! อ้อไม่ ไม่สิ! นายท่านของเราอยากเจอก็เจอ ไม่อยากเจอ เจ้ามาก็ไม่มีประโยชน์”
“ถูกต้อง!” เทพอัสนีเดินออกมา “ข้าว่านะอย่ามาพูดพล่ามให้มากความเลย! แน่จริงก็มาสิ! บีบสิ! ต่อยสิ! ข้าเบื่อที่ต้องมาคุยกับพวกเจ้าที่คิดเล็กคิดน้อยจริงๆ สู้กันสักยกให้รู้แล้วรู้รอดไปก็จบแล้ว”
“พูดได้ดี! จัดสักยก!” ซีหวังหมู่พูดจบก็คำรามอย่างเกรี้ยวกราด เสียงคำรามโหดร้ายประหนึ่งจะทะลุทองทะลวงหินให้แตก ทำให้เทพในเมืองแอตแลนต่างพากันเข้ามาใกล้ทางฝั่งนี้ เพื่อสำรวจดูว่าเกิดอะไรขึ้น
หูจวิ้นนัยน์ตาเคร่งขรึม… อินหลิวเฟิงกลับลูบขนขาของซีหวังหมู่ ซีหวังหมู่ที่ร่างใหญ่ขึ้น ร่างกายน้อยๆของเขาก็ทำได้แค่ลูบขนขาอีกฝ่าย แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ… อินหลิวเฟิงอยากจะบอกว่า “ซีซี ใจเย็นๆ จวินโฮ่วและนายน้อยของเรายังอยู่ในมือพวกเขา ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง นายท่านก็ไม่อยากพูดถึง ตอนนี้สู้กันน่าจะไม่ดี ประเดี๋ยวนายท่านยังต้องออกมาห้ามพวกเรา เช่นนี้ก็เข้าทางจักรพรรดิคนนี้น่ะสิ”
“ก็ถูก” ซีหวังหมู่ที่สงบอารมณ์ลงในทันที กลิ่นอายอำมหิตทั่วร่างของมันจางลง ช่างเชื่อฟังเหลือเกิน…
หูจวิ้น “…”
เขาที่อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกก็เดินหันหลังออกไปทันที
แม้เทพพิทักษ์องค์อื่นๆ อยากจะสู้ แต่จักรพรรดิของพวกเขาไม่ได้พูดอะไรจึงได้แต่เดินตามไป
“คนบ้าอะไร ใช้เล่ห์กลชั่วร้ายแบบนี้ทำเอาข้าเกือบจะหลงกล ดีที่วิหคทมิฬเตือนข้าไว้” ซีหวังหมู่รู้สึกจากใจว่าจักรพรรดิแอตแลนคนนี้ร้ายกาจมาก
ทว่า ความร้ายกาจยิ่งกว่าของหูจวิ้นคือ เขาไม่ได้คิดจะกลับไป จู่ๆ เขาก็วกกลับมา
หูจวิ้นที่ยังคงวางใจลงไม่ได้ นอกจากเขาจะวกกลับมาแล้ว เขายังปลดปล่อยพลังอาวุธแข็งแกร่งใส่อินหลิวเฟิงและพรรคพวก “บัลลังก์จักรพรรดิ! ปราบปราม”
หูจวิ้นที่สังเวยบัลลังก์จักรพรรดิ สมบัติล้ำค่าของราชสำนักแอตแลนออกมา สิ่งที่ใช้คือกฎและระเบียบดั้งเดิมที่สุดของจักรวาลแอตแลน ไม่เพียงเท่านี้… สิ่งที่ทำให้เม่ยเอ๋อร์หน้าเปลี่ยนสีคือ ขณะที่หูจวิ้นสังเวยบัลลังก์จักรพรรดิ เขาก็หายไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา เห็นได้ชัดว่าเข้าไปในกรมความมืดหาคุณหนูใหญ่แล้ว
นี่มัน… เม่ยเอ๋อร์ตั้งสติได้ก็รีบหายตัวกลับไป ทว่า… เม่ยเอ๋อร์ยังคงช้าไป หูจวิ้นที่ฉกฉวยโอกาส เขาบุกเข้าไปในห้องนอนที่เยี่ยนอวี๋อยู่แล้ว