ตอนที่ 573 ปฐมราชินีเยี่ยนขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครา!
เทพพิทักษ์ทั้งแปดของแอตแลนตระหนก เฟรดรีบป้อนยาน้ำให้หูจวิ้น น่าเสียดายที่ยาน้ำไม่สามารถรักษาอาการของหูจวิ้นได้แล้ว แต่ยาเม็ดของเฟรด หูจวิ้นต้องใช้พลังย่อยด้วยตนเอง ทว่าเห็นได้ชัดว่าหูจวิ้นที่สลบไม่ตื่นอีกครั้งสูญเสียความสามารถในการรักษาตนเองไปแล้ว มิเช่นนั้นลมหายใจของเขาก็คงไม่สลายไปรวดเร็วเช่นนี้
เฟรดได้แต่ฝากความหวังไว้ที่องค์ชายหูเฮ่อ “รีบไปเชิญองค์ชายหูเฮ่อมา! บางทีเขาอาจจะช่วยฝ่าบาทได้”
ทว่าเขาเพิ่งจะพูดจบ… เทพรับใช้ที่อยู่นอกวิหารก็ทำความเคารพกล่าวว่า “องค์ชายบัลเดอร์”
เฟรดดีใจมาก “รีบเชิญองค์ชายบัลเดอร์เข้ามา!”
โซลดาเคราแดงออกไปรับองค์ชายที่เพิ่งมาถึงมาตรงหน้าหูจวิ้นทันที “บัลเดอร์ รีบช่วยท่านพ่อของเจ้าเร็ว!”
“ขอรับ” องค์ชายบัลเดอร์สงบนิ่งมาก เหมือนกับว่าเขาจะรู้สถานการณ์ของหูจวิ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เฟรดพูดอะไรอีก รอบกายของเขาแผ่ซ่านแสงอันอบอุ่นออกมาปกคลุมหูจวิ้นไว้อย่างมิดชิด
เฟรดรีบป้อนยาเม็ดให้หูจวิ้น…
“ขอให้แสงสว่างช่วยให้ท่านพ่อฟื้นคืน” ขณะที่ชายหนุ่มบัลเดอร์อธิษฐานเบาๆ เทพพิทักษ์ทั้งหมดในวิหารก็สัมผัสถึงพลังที่จริงใจเป็นพิเศษแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายขององค์ชายท่านนี้อย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเขารู้สึกซาบซึ้งอย่างไม่รู้ตัว เพราะว่านี่คือพลังความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งเป็นความสามารถที่องค์ชายบัลเดอร์ได้รับแต่กำเนิด
ยามเขายิ้ม ทุกคนรู้สึกมีความสุข
ยามเขาเศร้าโศก ดวงดาวล้วนเหี่ยวเฉา
ยามเขาอธิษฐาน พลังศักดิ์สิทธิ์ของจักรวาลแอตแลนจะตอบสนองเขา
…
เป็นเพราะเช่นนี้ ตอนที่บัลเดอร์กำเนิดจึงไม่เป็นที่โปรดปรานของเฟรย์ เพราะว่ามารดาผู้ให้กำเนิดเขาไม่ใช่เฟรย์ แต่คือสการ์เลตต์ เทพีแห่งความรักที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อปกป้องลูกน้อยที่ตนเองรักที่สุดคนนี้ หูจวิ้นส่งเขาออกจากเมืองแอตแลนนานแล้ว อีกทั้งยังแทบจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาถูกส่งไปที่ไหน
ดังนั้น… อาการของหูจวิ้นจึงฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายใต้การรักษาของบัลเดอร์
“ดีจังเลย” เทพพิทักษ์ทั้งแปดรู้สึกว่าบัลเดอร์กลับมาได้ถูกเวลาจริงๆ
ความเป็นจริงแล้วก็เป็นเพราะว่าบัลเดอร์รู้สึกได้ว่าอาการของท่านพ่อคงไม่สู้ดีนักจึงรีบกลับมาจากทางเหนืออันไกลโพ้น ตั้งแต่ที่หูจวิ้นปล่อยหัวใจโลหิตออกมา บัลเดอร์ก็รีบกลับมาแล้ว ตอนนี้ก็ช่วยบรรเทาอาการของหูจวิ้นไว้ได้อย่างประจวบเหมาะ กล่าวได้เพียงว่าสวรรค์ไม่ลืมหูจวิ้น และกล่าวได้เพียงว่าพื้นเพของแอตแลนไม่ธรรมดาจริงๆ
เช่นความสามารถของบัลเดอร์นั้นอันที่จริงเป็นปรปักษ์ต่อสวรรค์มาก อย่างน้อยในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่ ‘น่าสะพรึง’ เช่นนี้ แม้แต่มารดาของบัลเดอร์สการ์เลตต์เทพีแห่งความรัก นางเองก็ไม่มีพรสวรรค์ที่ดีเลิศเช่นบัลเดอร์
“แค่ก” หูจวิ้นที่ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา เมื่อเขาเห็นโอรสอันเป็นที่รักก็รู้สึกประหลาดปนดีใจ “บัลเดอร์?”
“ข้าเอง ท่านพ่อ” บัลเดอร์ที่ประคองหูจวิ้นขึ้นมาและให้เขาพิงหัวเตียงยังคงอธิษฐานไม่หยุด “ท่านพ่อหายไวๆ อย่าคิดเรื่องที่ไม่สบายใจ”
ภายใต้แสงของบัลเดอร์ที่ปกคลุม หูจวิ้นกลับมาสงบนานแล้ว “เจ้าวางใจเถอะ”
หูจวิ้นที่มีความสามารถในการรักษาตนเองด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์อันแข็งแกร่ง ตราบใดที่เขาเองไม่ ‘หาเรื่องตาย’ และยังมีคำอธิษฐานของบัลเดอร์ เขาก็จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่ายังคงวางใจเรื่องรอยแตกร้าวที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าไม่ลง “ริกเกิร์ต เจ้าไปดูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ฝ่าบาทวางใจ ริกเกิร์ตจะไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” ผู้เฒ่าริกเกิร์ตเห็นว่าหูจวิ้นมีอาการดีขึ้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก เขาจึงไปปฏิบัติหน้าที่ตามบัญชาของหูจวิ้น
ทว่าริกเกิร์ตเองก็บาดเจ็บเช่นกันจึงใช้ความเร็วมากมิได้ เมื่อเขาไปถึงรอยแตกร้าวสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่ว่า ทางฝั่งเยี่ยนอวี๋ก็เสร็จสิ้นการแยกและวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายแล้ว
นางในบัดนี้กำลังศึกษาพลังในสุราแอตแลนหรือกฎการล่อลวงที่ไม่เหมือนใครอย่างจดจ่อ และไม่รู้ว่าเหตุใด…
“รู้สึกคุ้นเคยอย่างไรไม่รู้” เยี่ยนอวี๋ครุ่นคิดอย่างหนัก นางมั่นใจว่าก่อนหน้านี้นางเคยสัมผัสกฎประเภทนี้ แต่นางคิดไม่ออกว่าตอนไหน
ทว่า…
“ข้าไม่เคยมาแอตแลน ไม่น่าจะเคยสัมผัสที่แอตแลน น่าจะเคยสัมผัสที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้า” เยี่ยนอวี๋ครุ่นคิด สวรรค์เก้าชั้นฟ้าน่าจะมีกฎประเภทนี้อยู่ด้วย แต่เหตุใดกฎนี้จึงถูกนางเพิกเฉยไปนะ อีกทั้งยังไม่มีอยู่ในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าในบัดนี้แล้ว หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้นางไม่รู้จักกฎประเภทนี้ดีนัก ดังนั้นแม้สวรรค์เก้าชั้นยังมี แต่นางไม่ได้ใส่ใจ ก็เหมือนกับตอนที่นางสัมผัสสิ่งนี้ครั้งแรก อันที่จริงนางก็ไม่ได้รู้สึกเช่นนี้ แต่หลังจากที่เริ่มทำความรู้จักแล้ว ก็เพิ่งรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
ทว่าเยี่ยนอวี๋เชื่อยิ่งกว่าว่า สวรรค์เก้าชั้นฟ้าน่าจะไม่มีกฎประหลาดเช่นนี้แล้ว เพราะว่านางรู้จักตนเองดี นางเชื่อว่าหากเคยเกิดขึ้นในอดีต นางต้องกำจัดทิ้ง
“กฎเช่นนี้ดูเหมือนไม่เป็นอันตราย แต่ความเป็นจริงนั้นมีอันตรายซ่อนอยู่มากมาย” เยี่ยนอวี๋คิดว่าหากสวรรค์เก้าชั้นฟ้ายังมีกฎนี้อยู่ หากถูกแอนนาในอดีตใช้ในมหาศึกเทพมารครานั้น นางอาจจะพ่ายแพ้ได้ เพราะว่ากฎนี้สามารถทำให้แอนนาขยายแดนมืดวิญญาณอสูรได้อย่างไร้ขอบเขตทำให้สวรรค์เก้าชั้นฟ้ากลายเป็นสภาพแวดล้อมเดียวกับแดนมืดวิญญาณอสูร ซึ่งเหมาะสมกับการขยายพันธุ์อย่างบ้าคลั่งของเผ่ามาร เพียงเท่านี้… ก็คือภัยคุกคามที่หนักหนามากแล้ว
“ต้นกำเนิดทางฝั่งแอตแลนควบคุมไว้ได้ดี อีกทั้งยังทำให้กฎนี้อ่อนลง โดยพื้นฐานจึงเสถียรในตอนนี้ มีไว้ใช้เพื่อขยายจักรวาลอื่นๆ ให้กลายเป็นอาวุธของราชวงศ์”
เยี่ยนอวี๋คิดถึงตรงนี้ก็คิดว่าหลังจากที่นางกลับไปจำแนกแหล่งการกัดกร่อนในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้แล้ว จะแก้กฎล่อลวงที่เป็น ‘ส่วนเกิน’ เช่นนี้อย่างไร
เพียงแต่ว่า… เยี่ยนเพิ่งจะคิดเช่นนี้ นางก็พบว่ากฎการล่อลวงที่ถูกขังแยกไว้ในพลังไท่ชูอย่างระมัดระวังกำลังสลายไปอย่างช้าๆ
“หืม?”
เยี่ยนอวี๋ขมวดคิ้วสัมผัสอย่างถี่ถ้วน พบว่ากฎเหล่านี้กำลังสลายตัวไปจริงๆ นอกจากนี้พลังของนางยังขังไม่อยู่
ทว่า… เยี่ยนอวี๋ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักกับพลังนี้ได้อย่างสมบูรณ์ นางรวบรวมพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิม พยายามทำให้กฎการล่อลวงเหล่านี้ไม่สามารถสลายไปได้ แต่นางก็พบในทันทีว่า นางทำได้เพียงชะลอการสลายของพวกมัน
“น่าสนใจ” จิตเหนือสำนึกของเยี่ยนอวี๋ทำงาน รู้สึกสนใจเหตุการณ์นี้มาก นางยังไม่เคยเจอพลังที่นางขังไว้ไม่ได้ ทำให้นางยิ่งอยากจะศึกษาให้ถ่องแท้
แน่นอนว่า นอกจากการตอบสนองความต้องการของตนเองแล้ว เยี่ยนอวี๋ก็ต้องการกำจัดภัยอันตรายสวรรค์เก้าชั้นฟ้าให้หมดสิ้นผ่านการทำความเข้าใจพลังนี้ มิเช่นนั้น แม้นางจะแยกแยะต้นกำเนิดของพลังการกัดกร่อนเป็นพลังไท่ชูและพลังของกฎนี้แล้ว พลังในส่วนแรกนางสามารถย่อยสลายได้ด้วยตัวนางเอง แต่ฝ่ายหลังเล่า ปล่อยให้หลงเหลือในสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามีแต่จะเกิดปัญหา หากจะย่อยสลายด้วยตนเองเล่า…
เยี่ยนอวี๋ที่จู่ๆ ก็นึกถึงต้าซือมิ่งขึ้นมา นางพลันยิ้ม “บางทีสามีอาจจะย่อยได้จริงๆ” แต่นางไม่ปล่อยให้เขาได้ทดลองแน่ๆ นี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไร
ในบัดนี้เอง ต้าซือมิ่งที่เยี่ยนอวี๋กำลังคิดถึง อันที่จริงเขาก็กำลังย่อยพลังประเภทนี้อยู่จริงๆ ถึงอย่างไรในสวนเอเดนก็มีพลังอยู่ทุกประเภท
แกรก! แกรก…
สวนเอเดนที่แตกร้าวอย่างต่อเนื่อง เฟนเลย์ที่เห็นรู้สึกถึงเพียงความผวา มันพอจะเดาได้แล้วว่าบุคคลสำคัญท่านนี้กำลังคิดจะทำอะไร เพียงแต่ว่า…
“กลืนกินแหล่งศักดิ์สิทธิ์ ข้าเข้าใจได้ ถึงอย่างไรท่านนี้ก็คือต้าซือมิ่งแห่งกรมความมืด สามารถกลืนกินแหล่งศักดิ์สิทธิ์กลับไปได้ อย่างมากก็ถือเป็นการกลายพันธุ์ แต่ว่า… กลืนกินสวนเอเดนนี่มันเรื่องอะไรกัน แหล่งศักดิ์สิทธิ์ถูกสวนเอเดนปิดผนึกไว้นานแล้ว ตัวมันเองก็บอกแล้วว่าทั้งสองไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่ท่านนี้กลับจะกินทั้งหมด?!”
เฟนเลย์ไม่รู้ว่าจะบรรยายความคิดในใจอย่างไรแล้ว มันได้แต่เดาว่าตัวตนของบุคคลท่านนี้ต้องไม่ใช่เพียงต้าซือมิ่งแห่งกรมความมืดเท่านั้น เฟนเลย์รู้สึกว่าบุคคลท่านนี้เหมือนกับเป็นผู้ปกครองแห่งเมืองแอตแลน ทุกอย่างในแอตแลนล้วนเป็นของเขา เขากำลังเก็บพลังของตนเองคืนทีละอย่าง
“นั่นสินะ!” จู่ๆ เฟนเลย์ก็ตบศีรษะด้วยอุ้งเท้าของตน “ในเมื่อนายน้อยเป็นบุตรแห่งผู้สร้าง เช่นนั้นท่านพ่อของเขาก็ต้องเป็นเทพผู้สร้างสิ! เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าจึงคิดไม่ถึงนะ”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฟนเลย์ก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว “มิน่าเล่า แหล่งศักดิ์สิทธิ์และสวนเอเดนจึงไม่ต่อต้าน ทั้งสองเป็นพลังสองประเภทของเทพผู้สร้างอยู่แล้ว พลังประเภทหนึ่งเป็นการขยาย ส่วนอีกประเภทหนึ่งเป็นการระงับ ทั้งสองพลังทำงานร่วมกันอย่างสมบูรณ์แบบ”
ในความเป็นจริงแล้ว ต้าซือมิ่งก็เหมือนกับกำลังเก็บพลังของตนกลับไปจริงๆ เขาค่อยๆ กลืนกินทุกอย่างของสวนเอเดน รวมถึงต้นไม้แห่งชีวิตต้นนั้น แต่ว่า…
ต้นไม้แห่งชีวิตต้นนั้นกลับคิดจะหนี
ที่สำคัญคือขณะที่พลังกลืนกินของต้าซือมิ่งกำลังจะปกคลุมมันไว้ทั้งหมด มันก็วิ่งหนีไปได้จริงๆ เหมือนกับว่าเตรียมการมานาน มันลุกขึ้นและพุ่งไปกลางอากาศแล้ว
“บัดซบ!”
เฟนเลย์เห็นต้นไม้ใหญ่หนีเป็นครั้งแรก ‘ขา’ ของต้นไม้ที่มีมากมายยิ่งทำให้มันรู้สึกตระการตา
ทว่า… ขณะที่ต้นไม้วิ่งหนีนั้นเอง เยี่ยนอวี๋ที่อยู่อีกฟากฝั่งก็เข้าใจแล้ว “ข้ารู้แล้ว”