ตอนที่ 641 ข้าจะรังแกเจ้า เด็กน้อยที่น่ารักให้ความร่วมมือ
หัวใจของเจี่ยนชิวตกลงไปตาตุ่มทันที แต่สุดท้ายแล้วนางยังคงออกมจากห้องบรรทมด้วยสีหน้าปกติ
และทุกคนในตำหนักกุ่ยหมู่ในครานี้ยังไม่ทันตั้งสติได้ เพราะว่าพวกเขายังคงตกใจกับคำพูดของท่านยมราชที่ว่า ‘รีบออกมาคุกเข่าต้อนรับปฐมราชินี’ ล้วนตกอยู่ในความงุนงง
ถึงอย่างไรทั่วทั้งสวรรค์เก้าชั้นฟ้าผู้ที่สามารถถูกยกย่องเป็นปฐมราชินีได้ มีเพียงปฐมราชินีหยวนชูแห่งตำหนักไท่ชาง ทว่าบุคคลเช่นนี้จะมายมโลกได้อย่างไร?
อย่าว่าแต่เหล่าผีน้อยที่ได้ยินจะไม่เข้าใจ แม้แต่ผีเฝ้าประตูที่เห็นเยี่ยนอวี๋และพรรคพวกแล้วก็ยังงงงัน ล้วนถูกแสงรัศมีของกลุ่มคนเยี่ยนอวี๋สาดส่องจนตาจะบอด
นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เป็นเรื่องจริง ยมโลกเป็นดินแดนที่มืดมิดมาโดยตลอด ไม่มีกลางวัน มีเพียงแสงสว่างเช่นแสงจากคบเพลิงเท่านั้น แต่เมื่อเยี่ยนอวี๋มาก็เหมือนกับนางนำแสงสว่างของสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามาด้วย ทำให้ทั่วทั้งตำหนักกุ่ยหมู่สว่างไสว
“ว้าว…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าอุทานตาม เขาเพิ่งรู้ว่าท่านแม่ของเขาสว่างขนาดนี้ได้
หารู้ไม่ว่า สำหรับเหล่าผีเฝ้าประตูแล้ว ตัวเขาเองก็สว่างมากเช่นกัน
ในสถานที่ยมโลกเช่นนี้ เนื่องจากเทพระดับเทียนอ๋องขึ้นไปมีระดับตบะที่สูงมาก ทุกลมหายใจของพวกเขาจึงล้วนส่งผลกระทบต่อดินแดนที่แห้งแล้งเช่นยมโลก ทำให้ปรากฏ ‘ภาพนิมิต’ อันงดงามในตัวมันเองด้วย
ความงดงามเช่นนี้จะค่อยๆ สลายไปก็ต่อเมื่อพวกเขาเก็บลมหายใจไว้
ดังนั้น… ครานี้ซีหวังหมู่ดีใจ “นายน้อยไม่ธรรมดาจริงๆ เป็นประกายวิบวับ”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าได้ยินก็รีบมองมือของตนเอง เขาจึงเห็นว่าตนเองก็กำลังเปล่งแสงตามคาด อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “เป่า วิบวับ”
กุ่ยหมู่ในครานี้ก็เดินมาถึงหน้าตำหนักกุ่ยหมู่และแสดงความเคารพพลางพูดว่า “เจี่ยนชิวยินดีต้อนรับนายท่านเพคะ”
เมื่อยมราชฟ่านเจียงเห็นว่ากุ่ยหมู่ไม่ได้คุกเข่าลงก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่แอบคิดในใจว่ากุ่ยหมู่คนนี้ทำตัวสูงศักดิ์จริงๆ แม้แต่ต่อหน้าปฐมราชินีก็ไม่ยอมก้มหัวให้ ทว่าฟ่านเจียงก็สามารถเข้าใจได้ รู้ว่าถึงอย่างไรกุ่ยหมู่ก็เป็นทวยเทพรุ่นแรก ตำแหน่งไม่เหมือนกับเขา เมื่อครู่นี้เขาก็แค่ประจบเยี่ยนอวี๋ พูดจาเอาใจไปเช่นนั้น บัดนี้จึงไม่ได้ ‘ถือสา’ เจี่ยนชิวที่ไม่คุกเข่าลง
ทว่า… เยี่ยนอวี๋กลับเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดจึงไม่คุกเข่า”
เจี่ยนชิวที่ยังโค้งตัวเล็กน้อยชะงัก เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าเยี่ยนอวี๋ต้องการให้นางคุกเข่าลงจริงๆ
เทพอัสนีที่ตามมาก็ตกใจเล็กน้อย เพราะนายท่านของพวกมันก็ไม่สนใจพิธีรีตองที่ทำเพื่อเอาหน้าเหล่านี้ นางเป็นกันเองกับเหล่าทวยเทพรุ่นแรกมาก
ตุบ
เจี่ยนชิวคุกเข่าลงทันที แถมเสียงยังดังด้วย “เจี่ยนชิวสะเพร่าเอง เจี่ยนชิวคารวะนายท่านเพคะ”
ขณะที่พูด กุ่ยหมู่เจี่ยนชิวก็หมอบกราบลงไปจริงๆ ทำพิธีได้อย่างครบครัน ดูนอบน้อมมาก ไม่ได้แสดงความไม่พอใจใด เพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก
เยี่ยนอวี๋มองนาง จากนั้นจึงพยักหน้าพูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
“เพคะ นายท่าน” เจี่ยนชิวจึงลุกขึ้นและเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนอวี๋และพรรคพวก
จากนั้นนางก็เห็นต้าซือมิ่งผู้ที่มือข้างหนึ่งกำลังอุ้มลูก อีกข้างกำลังจับมือภรรยา แม้จะถูกแขนเสื้อปิดบังไว้ หากไม่ตั้งใจดูจะคิดว่าสองสามีภรรยานี้แค่ยืนชิดกัน แต่หากดูดีๆ จะรู้ว่าพวกเขากำลังจับมือกัน ทว่ามือที่สอดประสานนิ้วกันใต้แขนเสื้อย่อมไม่มีใครเห็น
แม้จะเป็นเพียงเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เจี่ยนชิวอิจฉาตาร้อนแล้ว แต่นางกลับยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่านายท่านมีสามีที่ท่านชอบพอ หม่อมฉันยังไม่ค่อยเชื่อ บัดนี้เห็นจะเป็นจริง”
“ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเจ้ามายมโลก ข้าก็ไม่เชื่อ ไม่คิดว่าเจ้าจะมาอาศัยอยู่ที่นี่นาน ดูเหมือนว่าจะมีชีวิตไม่เลวที่นี่สินะ” เยี่ยนอวี๋พูดพลาง สายตาก็กวาดมองตำหนักกุ่ยหมู่
ยมราชฟ่านเจียงที่คอยสังเกตการณ์ก็แนะนำขึ้นว่า “ปฐมราชินีไม่ทราบ ตำหนักแห่งนี้เป็นตำหนักที่ข้าน้อยสั่งให้ผีน้อยสร้างให้ครั้นกุ่ยหมู่มายมโลกของข้าน้อย”
“หืม? พูดอย่างนี้หมายความว่าเมื่อก่อนไม่มีตำหนักกุ่ยหมู่ นี่เป็นตำหนักที่สร้างขึ้นใหม่หรือ” เยี่ยนอวี๋ถาม
“แน่นอน” ฟ่านเจียงกล่าว “ใต้เท้าเจี่ยนชิวเป็นถึงเทพรุ่นแรก นางมาปฏิบัติหน้าที่ในยมโลก จะให้อยู่ในตำหนักเก่าและซอมซ่อได้อย่างไร ข้าน้อยย่อมต้องสร้างหลังใหม่ให้”
“ข้าน้อยกลับคิดว่าไม่จำเป็น” เจี่ยนชิวตอบอมยิ้ม “แต่มีตำหนักใหม่ให้ข้าก็รู้สึกยินดีมากจึงได้ร่วมสร้างตำหนักกุ่ยหมู่แห่งนี้ด้วย ดังนั้นอาศัยมาหลายปีเช่นนี้ก็รู้สึกสบายใจดีเพคะ”
“เป็นเกียรติของยมโลกของข้า” ฟ่านเจียงตอบอย่างมีวาทศิลป์ “ปฐมราชินี กุ่ยหมู่ครองใจภูตผีในยมโลก ภายใต้การจัดการวิญญาณเร่ร่อนและผีร้ายของนาง สามหมื่นปีมานี้ไม่เคยมีปัญหาอะไร ทำให้ข้าน้อยสบายขึ้นมากโข ท่านอาจมิทราบ วิญญาณเร่ร่อนและผีร้ายเป็นสิ่งจัดการได้ยากที่สุด เพราะพวกมันซ่อนตัวเก่งมาก เหมือนกับข้าน้อยในอดีต ข้าน้อยยังบังอาจบำเพ็ญตบะเป็นเทพ สร้างวิถีภูตผีใหม่ขึ้นมา ครานั้นสร้างปัญหามากมายให้สวรรค์เก้าชั้นฟ้า อดีตยมราชในยมโลกจึงตกงาน”
เจี่ยนชิวยิ้ม “ท่านยมราชยังรู้ตัวว่าอดีตตนในสมัยหนุ่มมีจิตใจที่เร่าร้อนฮึกเหิมเกินไป สร้างปัญหาให้สวรรค์เก้าชั้นฟ้าไม่น้อย”
“แน่นอน แม้สุดท้ายข้าน้อยจะสร้างชื่อให้ตนเองได้ แต่ข้าน้อยรู้ดีว่าพลังความเคียดแค้นและความอาฆาตของวิญญาณเร่ร่อนและผีร้ายส่วนใหญ่นั้นรุนแรงมาก หากปล่อยให้พวกเขาทำตามใจตนเอง มีแต่จะทำให้กฎระเบียบของสามโลกและสังสารวัฏหกวิถีปั่นป่วน ไม่เหมาะสมยิ่งนัก” ยมราชบอกว่าการตระหนักรู้ของตนเองยังถือว่าสูงส่ง
อินหลิวเฟิงแซว “กูไหน่ไน ยมราชท่านนี้อัจฉริยะจริงๆ เพียงแค่ไม่กี่ประโยคก็ล้างความอัปยศทั้งหมดในอดีตของตนจนขาวสะอาดได้”
“จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้…” ยมราชที่ถูกจับได้รู้สึกทำอะไรไม่ถูก
ทว่าเยี่ยนอวี๋ไม่ถือสาเรื่องเหล่านี้ นางเดินเข้าไปในตำหนักกุ่ยหมู่แล้ว “เทียนตี้ไหว้วานให้ข้ามาหาเจ้า ข้าจะดูตำหนักกุ่ยหมู่ก่อน จะได้รู้ว่าเจ้าอยู่ดีจริงๆ หรือไม่”
เจี่ยนชิวที่หลุบตาลงอีกครั้ง แสดงความเขินอายและเก้อเขินได้อย่างประจวบเหมาะ ทำให้นางดูจริงใจ ใจดีและอ่อนโยน ทว่าจู่ๆ เยี่ยนเสี่ยวเป่าก็ถามขึ้นว่า “ทำ ทำไมต้อง บังหน้า ขี้เหร่หรือ”
หากไม่ใช่เพราะเด็กน้อยน่ารักน่าชังเกินไป อายุก็ยังน้อยมาก ยังไม่ถึงหนึ่งขวบเลย เกรงว่าทุกคนในเหตุการณ์คงทำตัวไม่ถูก
แม้จะเป็นเช่นนี้ เยี่ยนอวี๋ก็หันกลับมาจะตำหนิเด็กน้อยว่าไม่มีมารยาท ทำเช่นนี้ไม่ดี แต่นางเพิ่งจะหันไปก็เห็นแววตาของเจี่ยนชิวแปรเปลี่ยนเล็กน้อยอย่างชัดเจน