ตอนที่ 733 ลูกเศรษฐี
จิ่วอิงตะลึงงัน รู้สึกเหมือนกำลังปล้นสะดม?
นี่คือจะทำอะไรกันแน่?
จิ่วอิงรู้สึกหัวเดียวไม่พอใช้… ทำให้เขารู้สึกอีกครั้งว่าถ้าได้ร่างเก้าศีรษะร่างเดิมคงจะดีกว่า
เม่ยเอ๋อร์เตือนอย่างระมัดระวัง “มาแล้ว”
นางรู้สึกได้ว่าสตรีหน้ากากนั่นกำลังมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ดาบในมือของนางส่งเสียงหึ่งเบาๆ เพียงแต่ว่า…
“ไป”
เยี่ยนอวี๋พาทุกคนหายไปจากที่เกิดเหตุอีกครา แม้นางจะสัมผัสได้ว่าข้างใต้ของบัลลังก์นี้มีกลิ่นอายคล้ายจักรวาลดั้งเดิมแผ่ซ่าน แต่กลิ่นอายของอวิ๋นเหลียนในนี้ก็รุนแรงขึ้นไม่น้อย
เห็นทีจะหนีไม่พ้นสิ่งที่ต้องเจอ
นี่คือความคิดของเยี่ยนอวี๋ในบัดนี้… แต่นางก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะไปเผชิญหน้า นางกลับเหินไปทางด้านข้างของตำหนักแทน
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง…
หยางเตี๋ยอียังคงมาช้าไป นางปรากฏขึ้นหน้าตำหนักหลัก ได้เห็นว่าตำหนักทั้งหลังถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านด้วยเพลิงสีม่วงอย่างไร
“บัดซบ!” หยางเตี๋ยอีคิดไม่ถึงเลยว่าจอมโจรเหล่านี้เข้ามาแล้วจริงๆ อีกทั้งยังทำลายตำหนักอวิ๋นติ่ง
เมื่อหยางเตี๋ยอีดับเพลิงที่หลงเหลือของไท่ชูได้อย่างยากเย็นแล้ว เทียนอ๋องทั้งสิบสองรวมถึงเทพราชาหลันและชิงเองก็มาถึงที่เกิดเหตุแล้ว น่าเสียดาย… สิ่งที่พวกเขาได้เห็นมีเพียงสีดำ แม้แต่ขี้เถ้าก็ไม่มีแล้ว
“ให้ตายเถอะ ฝีมือของจอมโจรเหล่านั้นหรือ” เทพราชาชิงสีหน้าย่ำแย่
“ชัดเจน” โจวปินหายใจลำบาก เพราะว่าเขามั่นใจว่าหากจอมโจรเหล่านั้นใช้เพลิงเผาตำหนักหลักเช่นนี้กับเขา เช่นนั้นจุดจบของเขาคงเหมือนกับตำหนักหลักที่ถูกเผาจนไม่เหลือแม้แต่ซาก
แข็งแกร่งมากเลย
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว
พวกเขาช่าง…
อย่างน้อยก็มีคนๆ หนึ่งอยู่ในระดับเดียวกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย หมายความว่าก่อนหน้านี้พวกเขาออมมือให้ตนหรือ
ความคิดเช่นนี้ทำให้สีหน้าของโจวปินย่ำแย่กว่าเดิม เหงื่อซึมออกมามากกว่าเดิม ทั้งอับอายและหวาดกลัว
น้ำเสียงของเทพราชาหลันเคร่งเครียดถึงขีดสุด “พวกเขาคงสัมผัสได้ว่าในตำหนักมีตาข่ายจับเทพ สามารถจับและฆ่าสิ่งแปลกปลอมใดๆ ที่เข้ามาในตำหนักได้ พวกเขาจึงเผาทุกอย่างในนี้ ทำให้ตาข่ายจับเทพไม่รู้ว่าต้องจับ ‘ใคร’ เจ้าเล่ห์นัก”
“ใช่แล้ว” หยางเตี๋ยอีตอบอย่างมั่นใจเสร็จก็เหินไปที่ตำแหน่งเดิมที่บัลลังก์ตั้งอยู่และสัมผัสประตูเขตแดนที่เดินทางไปสู่แดนอวิ๋นจิ้ง เมื่อมั่นใจแล้วว่าประตูเขตแดนไม่ได้ถูกทำลายจึงโล่งอก
เพียงแต่ว่า… หยางเตี๋ยอีนึกถึงตำหนักหลักที่ยังไม่ถูกเผาก็ต้องตกใจ “พวกเขาขโมยบัลลังก์ร้อยอสูรโบราณไป เป้าหมายของพวกเขาคือบัลลังก์ของปฐมราชินี”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เทพราชาหลันและชิงหน้าเปลี่ยนสี
เทียนอ๋องท่านอื่นๆ ก็เพิ่งเข้าใจว่า “พวกเขาต้องการใช้บัลลังก์เพื่ออัญเชิญอสูร?”
“เช่นนั้นพวกเขาเป็นมารของเผ่ามารหรือ” โจวปินอดคิดถึงจิ่วอิงที่หน้ามีรอยบากไม่ได้ สุดท้ายกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ใช่แล้ว ต้องใช่แน่ๆ ชายหน้าบากนั่นคือปีศาจ บนตัวของในกลิ่นอายโหดเหี้ยมอำมหิตรุนแรง ไม่ใช่นักฝึกฌานหรือผู้ฝึกตนอิสระเก่งกาจอะไรแน่นอน”
“กลิ่นอายดุร้ายของสาวใช้นั่นก็รุนแรงมากเช่นกัน เห็นทีพวกเขาเป็นมารของเผ่ามารจริงๆ ด้วย ถึงอย่างไรเผ่ามารก็ต้องการปกครองเผ่าอสูรมาโดยตลอด แต่ราชาอสูรยอมอยู่ใต้อาณัติปฐมราชินีเพียงผู้เดียว ไม่ยอมจำนนต่อจักรพรรดิมาร”
“ดังนั้นฮูหยินน้อยท่านนั้นคงเป็นภรรยาของจักรพรรดิมาร หรือไม่ก็จักรพรรดิมารแปลงกายมาเอง?” เทพราชาชิงกล่าวเสร็จก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นแบบที่สองมากกว่า
โจวปินเองก็เห็นด้วยพูดว่า “ใช่แล้ว ฮูหยินน้อยท่านนั้นงดงามเกินเหตุ คนทั่วไปจะมีหน้าตาเช่นนั้นไม่ได้ แม้จะแต่งหน้าก็ออกมาเช่นนั้นไม่ได้ ทว่าจักรพรรดิมารรู้ได้อย่างไรว่าบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์สามารถอัญเชิญอสูรออกมาได้”
ต้องรู้ว่า… ความลับชั้นยอดเช่นนี้มีเพียงท่านเทพระดับเทียนอ๋องเช่นพวกเขาขึ้นไปจึงรู้ รั่วไหลออกไปไม่ได้เด็ดขาด
นอกจากนี้ที่พวกเขารู้ก็รู้มาจากการสืบทอด เพราะว่าตัวพวกเขาเองเป็นการกลับชาติมาเกิดของอสูรในบัลลังก์อสูรศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเทพชั้นสูงของเรามีใครเข้าร่วมเผ่ามารแล้ว” โจวปินรู้สึกว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรบัลลังก์มีผลโดยตรงกับการสืบทอดและการเลื่อนขั้นของพวกเขาเอง
แต่ความจริงในบัดนี้… ทำให้พวกเขาอดคาดคะเนเช่นนี้ไม่ได้
นี่มัน…
เหล่าเทียนอ๋องต่างสงสัยในตนเอง
ทว่าหยางเตี๋ยอีกลับพูดขึ้นว่า “พวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์สามารถอัญเชิญอสูร กระทั่งกดพวกเจ้าก็ได้ พวกเขาอาจจะแค่ต้องการเป็นราชาเพียงผู้เดียว หลุดพ้นจากการควบคุมของปฐมราชินี นี่คงเป็นการยั่วยุ”
คำพูดนี้ทำให้เทียนอ๋องทั้งสิบสองถอนหายใจโล่งอก “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายปรีชา เช่นนั้นสิ่งที่ตอนนี้พวกเราต้องทำคือหาพวกเขาให้เจอ และให้พวกเขาส่งบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์คืน”
“อืม” หยางเตี๋ยอีพยักหน้า “ข้าปิดผนึกตำหนักสวรรค์ไว้แล้ว สิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ไม่สามารถหนีออกจากตำหนักสวรรค์ได้ ขอเพียงพวกเจ้าตรวจค้นอย่างละเอียด ต้องหาพวกเขาเจอแน่นอน”
ครั้นเหล่าเทียนอ๋องกำลังประสานมือรับบัญชา ทว่า…
“ศัตรูบุกรุก!”
เสียงร้องเตือนจากท้องพระคลังตำหนักสวรรค์ทำให้พวกเขารู้ว่าจอมโจรลงมือที่ท้องพระคลังแล้ว
“ให้ตายเถอะ!”
เทพราชาหลันและชิงเร่งเดินทางไปท้องพระคลังทันที หวังว่าจะยับยั้งความเสียหายได้ทันกาล
หยางเตี๋ยอีกลับไม่ได้ขยับ นางรู้สึกว่าต้องเฝ้าประตูเขตแดนอวิ๋นจิ้งให้ดี
ในขณะเดียวกัน…
เทียนอ๋องที่หายตัวไปทางท้องพระคลังอย่างรวดเร็ว สิ่งที่พวกเขาเห็นคือคลังตำหนักสวรรค์ที่กลายเป็นทะเลเพลิงและพังทลายลงอย่างรวดเร็วกลายเป็นเถ้าถ่าน มหาเทพและองครักษ์ที่ดูแลท้องพระคลังมากมายก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านเช่นกัน
ส่วนสิ่งของในท้องพระคลังย่อมตกอยู่ในมือของเยี่ยนอวี๋แล้ว
นอกจากนี้… นางที่กำลังอุ้มลูก บัดนี้ยังพาจิ่วอิงและเม่ยเอ๋อร์ออกจากตำหนักสวรรค์แล้ว
ใช่แล้ว ออกไปแล้ว
ถึงแม้หยางเตี๋ยอีจะพูดไว้ว่านางปิดผนึกตำหนักสวรรค์แล้วก็ตาม แต่สำหรับเยี่ยนอวี๋แล้ว ไม่มีผลต่อนางแม้แต่น้อย เพราะว่าทันทีที่เข้าตำหนักสวรรค์ เยี่ยนอวี๋ก็ตระหนักรู้ถึงวิชามิติกักขังที่ไม่เหมือนใครของตำหนักสวรรค์ ดังนั้นนางในยามนี้จึงกลับไปถึงโรงน้ำชา ‘ซอมซ่อ’ ก่อนหน้านี้แล้ว
ทำเอาเหล่าชาวบ้านกินเผือกที่ตั้งตารออย่างจริงจังและยังไม่จากไปตะลึงงัน
“นี่มัน…”
“กลับมาแล้ว?”
“ข้าตาฝาดไปหรือไม่”
ทุกคนไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตนเห็น จนเมื่อเยี่ยนอวี๋เททรัพย์สินเงินทองที่ปล้นมาจากท้องพระคลังออกมา ฝูงชนที่ถูกทรัพย์สมบัติจากสวรรค์ตกใส่จึงรู้เพราะความเจ็บว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา
แต่ว่า…
บัดซบ
สมบัติที่มหาเทพได้รับมากมายถึงเพียงนี้แล้วหรือ?
ล้นไปอีกหลายถนนได้เลยนะ
มิหนำซ้ำ… ให้พวกเขาทั้งหมดนี้เลยหรือ??