ตอนที่ 761 วันตายของอวิ๋นเหลียน
“อ้ะเนะ?” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ลุกนั่งขึ้นมาใช้มืออวบอ้วนชี้ไปที่ใบไม้สีเขียวเหล่านั้น ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสงสัย “ใบไม้ ทำ อะไรขอรับ”
ต้าซือมิ่งที่พอจะเดาบางอย่างได้ เขาก็ลูบผมน้อยสีเขียวของเด็กน้อย ให้สัญญาณเด็กน้อยว่าอย่าวิตก ไม่ใช่เรื่องใหญ่
ใบไม้ใบน้อยสีเขียวเหล่านั้นพันรอบตัวเยี่ยนอวี๋ มันถ่ายทอดคุณลักษณะที่สำคัญของอวิ๋นเหลียนอย่างต่อเนื่อง?
ทำให้เยี่ยนอวี๋ที่สัมผัสถึงชะงักเล็กน้อย “นี่มัน…” พลังงานบริสุทธิ์ของอวิ๋นเหลียน?
เยี่ยนอวี๋ที่ไม่รู้ว่าพลังงานนี้ ‘ได้มา’ ได้อย่างไร นางกลับไม่ได้หมกมุ่นกับเรื่องนี้ และนางยังตระหนักรู้อย่างรวดเร็วถึง ‘คุณค่า’ ของพลังงานเหล่านี้ ซึ่งสามารถให้นางนำไปใช้สำหรับศึกษาต้นกำเนิดของอวิ๋นเหลียนได้ ทำให้นางสามารถสังหารอวิ๋นเหลียนได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น
เยี่ยนอวี๋รับ ‘การถ่ายทอด’ นี้อย่างรวดเร็ว และในขณะที่สัมผัสพลังงานบนตัวของสองพ่อลูกนั้น นางก็แบ่งพลังจิตใจส่วนหนึ่งศึกษาพลังงานที่มาจากอวิ๋นเหลียนนี้
ซู่
ซู่ๆ …
ใบไม้สีเขียวที่ทำ ‘ภารกิจ’ สำเร็จแล้ว มันก็หดกลับไปในร่างกายของเด็กน้อยทันที
จากนั้นเด็กน้อยจึงมองมือของตนเองอย่างงงงัน เมื่อศึกษาอยู่ครู่หนึ่ง เขายังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ต้าซือมิ่งกลับเข้าใจแล้ว เขาเอ่ยปากชมว่า “ลูก เจ้าช่วยท่านแม่เจ้าได้อีกแล้ว เก่งจริงๆ ”
“?” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่งงงัน เขาจับใบหน้าของตนเองไว้ “ช่วยแล้ว?” เป่าไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย
“ใช่” หรงอี้ยืนยัน
เยี่ยนเสี่ยวเป่าจึงหัวเราะ ‘ฮ่า’ และยังปรบมือให้ตนเอง “เก่ง เป่าเก่ง” แม้เป่าเองก็ไม่รู้ว่าเป่าเก่งอย่างไรก็ตาม
“เมี๊ยว” เจ้าเหมียวสีขาวที่ไม่รู้เช่นกัน มันก็กระโดดเข้ามาปรบมืออย่างยกยอ
เจ้าตัวน้อยอุ้มเจ้าเหมียวสีขาวอย่างมีความสุข เขานอนบนแผ่นอกของท่านพ่อต่อไป ยังหัวเราะคิกคักออกมาเป็นครั้งคราวราวกับกำลังสร้างความสุขให้ตนเอง
เยี่ยนอวี๋ค่อยๆ จมลงสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิมในระหว่างนี้
…
จักรพรรดิมารที่อยู่สวรรค์ชั้นเก้าในครานี้ เขาก็ช่วยบุตรแห่งความโกลาหลไว้ได้สำเร็จ เพิ่มสมาชิกปีศาจที่แข็งแกร่งให้กับอาณาจักรมาร
ทว่าเห็นได้ชัดว่าสติปัญญาของบุตรแห่งความโกลาหลไม่ดีนัก พูดง่ายๆ คือเป็นปีศาจโง่เขลาตนหนึ่ง
แต่นี่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าตอนที่อวิ๋นเหลียนกลั่นหลอมมัน นางก็กลั่นหลอมสติปัญญาของมันไปแล้ว การที่จักรพรรดิมารสามารถคงสติของมันไว้ได้ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
“ไปเถอะ”
จักรพรรดิมารยื่นมือไปลูบบุตรแห่งความโกลาหลที่เหมือนกับสุนัขสีขาวตัวใหญ่ เตรียมจะพามันกลับอาณาจักรมาร
“กรรรร…”
บุตรแห่งความโกลาหลขานตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ มันติดตามจักรพรรดิมารไปอย่างใกล้ชิด ไม่ทิ้งห่างเลยแม้แต่น้อย คงเป็นเพราะจักรพรรดิมารช่วยชีวิตมันไว้ มันจึงพึ่งพิงจักรพรรดิมารโดยสัญชาติญาณ
“ดีจังเลย” เหล่าปีศาจมารที่เหลือไม่สนใจว่าบุตรแห่งความโกลาหลจะไม่มีสติปัญญา พวกมันยังดีอกดีใจ คิดว่านี่เป็นสัญญาณที่ดีในการเพิ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเขา
ปีศาจมารตัวน้อยมากมายร้องคำรามตามมาด้วยสัญชาติญาณ “จักรพรรดิมาร จักรพรรดิมาร…”
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ซานเหอมู่กังวงอีกครั้งว่าจักรพรรดิมารจะบุกโจมตีสวรรค์ชั้นเก้าที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขา
ทว่าเห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิมารไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น เขาพาเหล่าปีศาจมารกลับอาณาจักรมารไป
…
ในขณะเดียวกัน อวิ๋นเหลียนที่เกิดใหม่ในกวนอวิ๋นเหมินของสวรรค์ชั้นหก บัดนี้เป็นเพียงผู้อาวุโสท่านหนึ่งในกวนอวิ๋นเหมิน
ร่างกายร่างนี้เทียบกับแก่นไม้กู่ถงและร่างครึ่งคนครึ่งปีศาจโกลาหลแล้ว เห็นได้ชัดว่าด้อยกว่าหลายเท่า ข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวคือมันมีความคล้ายคลึงกับร่างกายของอวิ๋นเหลียน ดังนั้นนางจึงสามารถสิงและควบคุมร่างกายร่างนี้ได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนจิตวิญญาณเดิมของผู้อาวุโสท่านนี้ย่อมถูกอวิ๋นเหลียนกำจัดทิ้งแล้ว
หลังจากที่นางทำทุกอย่างสำเร็จแล้ว อวิ๋นเหลียนก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า “ถึงเวลาไปภูเขาถงซานแล้ว”
นางคิดว่าหากไม่ไปอีกจะสายไป
สัญชาติญาณเช่นนี้ทำให้นางไม่มีเวลามาสนใจการฟื้นฟูพลัง ใจคิดจะไปภูเขาถงซานอย่างเดียว
ทว่าสำนักถงซานในครานี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหวาดหวั่นอย่างมากเนื่องจากการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องของภูเขาถงซาน
“ตำหนักสวรรค์ไม่ได้ตอบจดหมายกลับจนถึงบัดนี้ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร” ฉิวซาไห่เจ้าสำนักถงซานทอดถอนใจด้วยสีหน้าโศกเศร้าอย่างพบเห็นได้ยาก เขารู้สึกว่าการสั่นไหวของภูเขาถงซานไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก
มิหนำซ้ำสำนักถงซานของพวกเขาสูญเสียเทียนอ๋องไปหนึ่งองค์แล้ว บัดนี้เหลือเพียงเทียนอ๋องอาวุโสอีกท่านหนึ่งก็จวนจะตาย จะให้ฉิวซาไห่ไม่กังวลได้อย่างไร
ที่สำคัญคือ ยังมีผู้ดูแลเข้ามารายงานว่า “ท่านเจ้าสำนัก ตำหนักสวรรค์มีสารตอบกลับมาว่ามือทั้งคู่ของคุณชายอวิ๋นที่สิบสองสูญเสียไปแล้ว”
สีหน้าของฉิวซาไห่ย่ำแย่กว่าเดิม “ผ่านไปเพียงสองสามวัน เรื่องดีกลายเป็นเรื่องร้ายเสียหมด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ผู้ดูแลและเหล่าผู้อาวุโสที่กำลังปรึกษาหารือกันในห้องกับฉิวซาไป่มีสีหน้าย่ำแย่เช่นกัน “ท่านเจ้าสำนัก หากภูเขาถงซานสั่นไหวต่อไปเช่นนี้ ข้าเกรงว่าต้องเตรียมพร้อมแผนการสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด นั่นก็คืออพยพหนี”
นี่คือการเลือกที่ยากที่สุด แต่เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวของภูเขาถงซานได้ บัดนี้ยังเป็นช่วงเวลาสำคัญ เหล่าผู้อาวุโสจำเป็นต้องจำใจเสียสละ
ฉิวซาไห่เองก็เข้าใจและเขารู้ว่าทำได้ยิ่งเร็วยิ่งดี ดังนั้น…
ฉิวซ่าไห่ตัดสินใจทันทีว่า “เช่นนั้นก็อพยพเลย”
“เร็วเช่นนี้เลยหรือ” เหล่าผู้อาวุโสชะงัก คิดว่าไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนี้
ฉิวซ่าไห่สูดหายใจเข้าลึก “บัดนี้หลงเทียนอ๋องยังสามารถปกป้องพวกเราย้ายหนีได้ หากเขา… สิ้นใจ การอพยพของพวกเรามีแต่จะยิ่งอันตราย ไม่สู้ทำเลยดีกว่า”
ทุกคนเงียบงัน…
ผ่านไปครู่หนึ่ง เหล่าผู้อาวุโสลุกยืนขึ้นมาทีละคน “ดี”
เพียงแต่ว่าเมื่อเหล่าผู้อาวุโสเพิ่งจะตัดสินใจได้ในท้ายที่สุด ผู้ดูแลอีกคนหนึ่งก็เข้ามารายงานว่า “รายงานท่านเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสชิงจากสำนักกวนอวิ๋นเหมินมาแล้วขอรับ และทันทีที่มาถึงก็ไปยังภูเขาถงซานทันที ข้าน้อยห้ามไม่ได้เลย”
“ไปภูเขาถงซานหรือ?” ฉิวซาไห่ไม่ค่อยเข้าใจว่ากวนอวิ๋นชิงสำนักกวนอวิ๋นเหมินต้องการทำอะไร
ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ฉิวซาไห่ไขว้เขว เขายังคงสั่งว่า “ไม่ต้องสนใจนาง ผู้อาวุโสทุกท่านได้โปรดอพยพศิษย์ชั้นยอดออกจาภูเขาถงซานก่อน และอพยพไปทางสำนักซานเหอแล้วก็เหล่าผู้ดูแลรีบอพยพผู้คนในถงซานทันที ยิ่งเร็วยิ่งดี”
“ขอรับ ท่านเจ้าสำนัก” ผู้ดูแลแยกย้ายออกไป
เหล่าผู้อาวุโสทำท่าจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด ทว่าฉิวซาไห่เร่งเร้าพวกเขา “เหล่าผู้อาวุโสทุกท่านอย่าได้คิดเพ้อฝัน ปฐมราชินีสิ้นพระชนม์ สำนักของเรามีความสัมพันธ์อันแน่นเฟ้นกับตำหนักสวรรค์ ถึงอย่างไรก็ต้องเตรียมตัวสำหรับเรื่องที่เลวร้ายที่สุดไว้ ส่วนทางฝั่งกวนอวิ๋นชิง ข้าจะไปดูเอง”
“เช่นนั้นท่านระวังตัวด้วย” เหล่าผู้อาวุโสทำได้เพียงพูดเช่นนี้
ฉิวซ่าไห่ประสานมือคำนับ อันที่จริงเขาก็สงสัยมากว่ากวนอวิ๋นชิงสำนักกวนอวิ๋นมาทำอะไรที่ภูเขาถงซานของพวกเขา
เพียงแต่ว่าฉิวซ่าไห่ยังไปไม่ถึงภูเขาถงซาน…
ตูม
จู่ๆ ภูเขาถงซานทั้งลูกก็ระเบิด ผู้คนสำนักถงซานที่ไม่ทันตั้งตัวตกอยู่ในความโกลาหล
อวิ๋นเหลียนที่เป็นผู้กระทำเรื่องนี้ นางไม่มีจิตใจสนใจอะไรมากมายแล้ว นางอยากจะเข้าไปในวิมานของตนเองจะแย่จึงต้องระเบิดภูเขาถงซาน
น่าเสียดาย… เมื่อนางเข้าไปในภูเขาถงซานตามทางที่นางระเบิดออก นางก็ไม่เห็นวิมานของตนเองแล้ว?
“เกิดอะไรขึ้น”
อวิ๋นเหลียนรู้สึกไม่ชอบมาพากล ทำให้นางถอยออกไปด้วยสัญชาติญาณ
ทว่า…
หึ่ง
หึ่ง…
แสงสีม่วงจางๆ กลายเป็นกรงขังขังนางไว้แล้ว
ไม่เพียงเท่านี้…
ที่สำคัญคือสภาพการณ์แบบนี้ยังเกิดขึ้นในคุนหลุนสวรรค์สิบสองชั้นฟ้าพร้อมกัน
ซึ่งหมายความว่าร่างแยกทุกร่างของอวิ๋นเหลียนถูกขังไว้ในครานี้แล้ว
*************************