บทที่ 16 ปลื้มปีติอย่างแน่นอน
ไป๋ชิวหรานนอนอยู่บนเตียงและหลับไปหลังกลับมาจากหอสักการะ ครั้นสับเปลี่ยนร่างแยกกับร่างกายหยาบของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไป๋ชิวหรานก็นอนผล็อยหลับไปตลอดทั้งคืน เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อย ทหารซึ่งบรรลุขั้นฝึกตนระดับที่ห้าสองคนก็เดินเข้ามาและพาเขาไปยังลานหน้าหอสักการะ บริเวณลานนั้นมีเด็กอีกหลายคน ไป๋ชิวหรานนับจำนวนโดยคร่าวพบว่าเป็นเด็กชายหนึ่งร้อยคน เด็กหญิงหนึ่งร้อยคน รวมเป็นสองร้อยคน
เขาไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่พวกนั้นไปรวบรวมบรรดาเด็ก ๆ มาจากที่ใดมากมายถึงเพียงนี้ อาจกล่าวได้ว่าภายใต้แรงกดดันขององค์จักรพรรดิและมหาราชครู ส่งผลให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลังจากอยู่ในลานบ้านครู่หนึ่ง ซือหม่าอิงป๋อก็นำเครื่องเซ่นไหว้อื่น ๆ มาปรากฏตัวต่อหน้าเด็ก ๆ ทหารองครักษ์หนุ่มรูปงามผู้นี้เล่าให้เด็ก ๆ ฟังถึงตำแหน่งการยืนในพิธีบวงสรวงสวรรค์อย่างกระตือรือร้น กำชับพวกเขาว่าอย่าวิ่งวุ่นไปทั่ว ทั้งยังกำชับให้เหล่าทหารคอยดูให้ดี ก่อนสั่งให้ทุกคนออกเดินทางไปยังสุสานจักรพรรดิ
ขณะเดินออกจากหอสักการะ ทหารรถม้าก็ยืนเรียงรายเป็นแถวยาวเหยียดไปจนสุดถนนหน้าหอสักการะ ด้านข้างยังมีทหารม้าของรัฐซ่างเสวียนคอยคุ้มกันอยู่ เด็กชายและเด็กหญิงสองร้อยคนถูกนำตัวขึ้นรถม้า ไม่นานนักขบวนอันใหญ่โตโอ่อ่าก็เคลื่อนมาถึงหน้าสุสานจักรพรรดิ
ขบวนสู่พิธีบวงสรวงสวรรค์ขององค์จักรพรรดิแห่งรัฐซ่างเสวียนเริ่มออกเดินทางในเวลาประมาณเจ็ดโมงเช้า และมาถึงสุสานจักรพรรดิในเวลาเก้าโมง ดังนั้นเหล่าทหารแห่งราชสำนักจึงต้องรีบเตรียมการจัดแจงเด็กชายและเด็กหญิงทั้งหมดไว้ให้พร้อมสรรพ
เด็กชายและเด็กหญิงทั้งสองร้อยคนอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของซือหม่าอิงป๋อซึ่งเป็นมหาราชครู พวกเขาจัดแถวเรียงอยู่ด้านหน้าแท่นบูชารูปร่างประหลาดที่มีผนึกค่ายกลของสำนักเทพโลหิต
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีค่ายกลที่ซ่อนเร้นไว้เพื่อกักขังเด็กเหล่านี้ป้องกันไม่ให้พวกเขาวิ่งวุ่นไปทั่ว
ในระหว่างขั้นตอนการจัดแถว ไป๋ชิวหรานได้ให้ความสนใจกับท่าทางของซือหม่าอิงป๋อโดยไม่คลาดสายตา เมื่อสำรวจพบว่าอีกฝ่ายไร้ซึ่งสัญญาณว่าถูกควบคุมจิตสำนึก ไป๋ชิวหรานจึงพอเข้าใจ
ดังนั้นเมื่อทหารองครักษ์รูปงามออกคำสั่งให้เขาและเด็กชายเด็กหญิงคนอื่น ๆ ยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ เขาจึงแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาและเอ่ยถามว่า “ท่านลุงทหารขอรับ เหตุใดพวกเราจึงต้องยืนเรียงแถวกันเช่นนี้ด้วย? ต่างจากท่านลุงผู้อื่นที่ยืนเรียงกันเป็นสองแถวระหว่างฟากถนน”
ขณะกล่าวเช่นนั้นเขาก็พยายามทำให้ท่าทางของตนดูไร้เดียงสาและน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งขึ้นกว่าเก่า พลางลอบสำรวจซือหม่าอิงป๋อตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“เอ่อ…” ใบหน้าของซือหม่าอิงป๋อแสดงออกถึงความลังเลชั่วขณะ จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มอย่างเปี่ยมด้วยเมตตาอารีพร้อมลูบศีรษะของไป๋ชิวหรานพลางตอบกลั้วหัวเราะ “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่อาจล่วงรู้ ทว่านี่เป็นขั้นตอนในพิธีกรรมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างช้านาน พวกเราทุกคนจึงต้องยึดถือตามพวกเขา”
“แม้แต่ท่านลุงทหารเองก็ต้องเชื่อฟังเขาหรือขอรับ?”
“ฝ่าบาทหรือท่านลุงมหาราชครูหรือขอรับที่ยึดถือเช่นนี้?” ไป๋ชิวหรานยังเอ่ยถามต่อไป
“เอาล่ะ ๆ” ซือหม่าอิงป๋อหลีกเลี่ยงไม่ตอบคำถาม ก่อนผลักให้ไป๋ชิวหรานกลับไปยืนยังตำแหน่งเดิม “อย่าได้เอ่ยถามสิ่งใดให้มากความ อีกไม่นานพิธีก็จะเริ่มขึ้นแล้ว”
ไป๋ชิวหรานแสร้งทำทีเป็นเชื่อฟัง เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมและเบือนหน้าหันกลับไป แต่แล้วใบหน้าของไป๋ชิวหรานแปรเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้ม
ผีชางรับใช้เสือ* [1] ในเมื่อในจิตใจก็ยังคงมีความละอาย แล้วเหตุใดจึงต้องกระทำเรื่องพรรค์นี้ด้วยเล่า?
เขาครุ่นคิดพลางหรี่ตาลง เมื่อเห็นทหารหลายนายต่างจับจ้องมองมาที่ตนจึงแปรเปลี่ยนสีหน้ากลับเป็นปกติ และตั้งอกตั้งใจรอการเริ่มต้นพิธีบวงสรวงสวรรค์
—
ทันทีที่ดวงอาทิตย์ลอยเด่นขึ้นสู่ท้องฟ้า ในที่สุดขบวนขององค์จักรพรรดิก็มาถึง
เมื่อมองจากระยะไกล ขบวนที่อยู่นอกสุสานจักรพรรดิมีพลับพลาสีเหลืองสดใส ประดับประดาไปด้วยผืนธงที่เรียงรายอยู่ ขบวนทัพยาวเหยียดราวร่างมังกรทั้งยังทอดยาวสองถึงสามลี้
องค์หญิงถังรั่วเวยก็เดินทางมาพร้อมกับขบวนดังกล่าว ตอนนี้นางอยู่ข้าง ๆ น้องชายของตน องค์รัชทายาทแห่งพระราชวังตะวันออกแห่งรัฐซ่างเสวียน ขนาบข้างด้านซ้ายและขวามือขององค์จักรพรรดิ เคลื่อนขบวนตามมาสมทบกับมหาราชครู ณ สุสานจักรพรรดิ
วันนี้สีหน้าขององค์หญิงเคร่งขรึม แววตาทอประกายกล้า คาดเดาได้ว่าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก อีกทั้งยังดูคล้ายกำลังวิตกกังวลถึงบางสิ่ง นางติดตามองค์จักรพรรดิและมหาราชครูแห่งแคว้นซ่างเสวียนเข้ามาภายใต้การนำของซือหม่าอิงป๋อ เดินอ้อมขบวนแถวของเด็กชายและเด็กหญิงตรงมายังแท่นบูชา
กลุ่มเมฆมืดครึ้มลอยมาบดบังแสงอาทิตย์บางส่วน ทำให้ท้องฟ้ามืดครึ้มลงเล็กน้อย ทว่าจักรพรรดิซ่างเสวียนและมหาราชครูกลับไม่แยแส และยังคงก้าวไปยังแท่นบูชาอย่างแน่วแน่
เมื่อมาถึงแท่นบูชาที่เตรียมไว้ มหาราชครูก็จุดธูปสามดอก ควันสีเทาฟุ้งกระจายไปตามลมเล็กน้อย ส่วนองค์จักรพรรดิซ่างเสวียนก็หันวรกายกลับมาเผชิญหน้ากับขุนนางและเหล่าทหารที่อยู่เบื้องล่างแท่นบูชา
“นับตั้งแต่ก่อตั้งรัฐซ่างเสวียน ยามนี้ผ่านกาลเวลามานานนับหนึ่งพันสองร้อยปีแล้ว จักรพรรดิเหมิงเซียนทรงมีจิตวิญญาณสูงส่ง ปกป้องรัฐซ่างเสวียนให้เจริญรุ่งเรืองสืบมาจนถึงทุกวันนี้ ทว่าวันนี้ดินแดนซ่างเสวียนถูกภูตมารปีศาจก่อความวุ่นวาย ประชาชนต้องทนทุกข์ทรมาน ในฐานะจักรพรรดิข้าย่อมเห็นประชาชนเป็นเสมือนลูก เห็นบุตรถูกมารกัดกินในใจย่อมเกิดความทุกข์จนไม่อาจกล่าวออกมา ดังนั้นวันนี้จึงหวนคืนสู่สุสานเพื่อทำพิธีบวงสรวงสวรรค์ ขอเหล่าบรรพบุรุษผู้ทรงปรีชาสามารถบนสรวงสวรรค์ อวยพรให้ข้าคืนกลับสู่ความรุ่งโรจน์ อายุยิ่งยืนนานนับหลายร้อยปี”
เมื่อกล่าวจบจักรพรรดิก็หยุดปราศรัยชั่วคราว เขารับธูปสามดอกจากมหาราชครูที่จุดถวายก่อนโค้งกายคารวะสุสานจักรพรรดิ จากนั้นจึงปักมันไว้ในกระถางธูปใบใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าสุสาน
“บัดนี้พิธีบวงสรวงสวรรค์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ข้าขอประกาศว่า…” จักรพรรดิซ่างเสวียนหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อไป “เหล่าทหาร! จงกรีดเลือดของเด็กชายและเด็กหญิงทั้งสองร้อยคนออกเพื่ออัญเชิญบรรพบุรุษให้ฟื้นคืนจากสุสาน!”
“ใช้โลหิตเพื่อปลอบประโลมวิญญาณของเหล่าบรรพชน” มหาราชครูกล่าวเสริม
“กระหม่อม ฝูเชียนชิว ขอน้อมอัญเชิญ…จักรพรรดิองค์ก่อนออกจากสุสาน!”
“ช้าก่อน!” ถังรั่วเวยซึ่งยืนอยู่ด้านข้างพลันเกิดความตื่นตระหนกยิ่ง “เสด็จพ่อ! ท่านมหาราชครู พวกท่านกำลังกล่าวถึงเรื่องใดกัน?!”
ทว่าไม่มีผู้ใดสนใจเสียงของนาง ถังรั่วเวยรีบเหลียวมองทั้งทางซ้ายและทางขวา พบว่าเสด็จพ่อ มหาราชครู น้องชายของตน เหล่านายทหาร และบรรดาขุนนางที่ยืนอยู่ด้านล่างแท่นบูชาล้วนมีสีหน้าเหม่อลอย
“นี่มันเรื่องพิลึกอะไรกัน?!”
“องค์หญิง ทรงโปรดระงับอารมณ์ลงก่อนเถิด” ขณะนั้นเอง ซือหม่าอิงป๋อองครักษ์สูงสุดก็พาเหล่านายทหารคนอื่น ๆ เดินขึ้นมายังแท่นบูชาด้านหน้าสุสานจักรพรรดิพร้อมกล่าวกับถังรั่วเวย
“พิธีบวงสรวงสวรรค์กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ขอทรงร่วมอัญเชิญบรรพบุรุษของพระองค์แต่โดยดี”
“ซือหม่าอิงป๋อ!?” ถังรั่วเวยทั้งตื่นตกใจทั้งโมโห “เจ้า!”
ถึงกระนั้นซือหม่าอิงป๋อก็ไม่แยแสต่อท่าทางโกรธเกรี้ยวของนาง ทั้งยังนำนายทหารใต้บังคับบัญชาให้โค้งกายคำนับไปทางสุสานจักรพรรดิ
“ศิษย์ทุกคนขออัญเชิญท่านอาจารย์ออกจากสุสาน!”
“น้อมคารวะท่านอาจารย์ให้ออกจากสุสาน!”
เมื่อสิ้นเสียง เมฆดำครึ้มบนท้องฟ้าก็พลุ่งพล่านบดบังแสงอาทิตย์อย่างสมบูรณ์ อสนีบาตสีม่วงตัดผ่าลงมาจากฟากฟ้าทำลายสุสานจักรพรรดิให้ปริแตกออกเป็นสองส่วน
หมอกโลหิตที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าไหลบ่าพวยพุ่งออกมาด้านนอกตัวสุสาน เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งดังกึกก้อง ร่างหนึ่งในชุดสีเหลืองย่างกรายออกมาจากสุสานจักรพรรดิ
“ซ่างเสวียน! ข้ากลับมาแล้ว!”
เงาร่างนั้นเดินตัดผ่านออกมาจากหมอกโลหิตออกมายังด้านนอกของสุสาน ที่แท้ก็เป็นเด็กหนุ่มเรือนผมดำขลับผู้แผ่จิตสังหารชั่วร้ายตลอดเวลา เขาเดินมาถึงบริเวณกลางแท่นบูชาที่จัดเรียงแถวออกเป็นสองแถว
ซือหม่าอิงป๋อและเหล่าผู้อาวุโสต่างก้มหน้าลง ส่วนถังรั่วเวยกลับจ้องมองชายหนุ่มผู้นี้ด้วยความตะลึงงันอยู่ที่เก่า
“ท่านบรรพบุรุษ”
นางเปรียบเทียบบุคคลตรงหน้ากับภาพเขียนที่เคยเห็นผ่านตาในศาลาบรรพชน ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากพร้อมกล่าวออกอย่างยากเย็น
“จักรพรรดิจอมยุทธ์ ถังโจ้วเสีย”
“ถูกแล้ว ราชธิดาแห่งจักรพรรดิ” ชายหนุ่มเอ่ยพลางยิ้มเยาะ “เจ้าปลื้มปีติหรือไม่ที่ได้พบหน้าข้า?”
ถังรั่วเวยก้มหน้าไม่ปริปากตอบ ทำให้ถังโจ้วเสียยิ่งระเบิดเสียงหัวเราะอย่างลำพองใจยิ่งกว่าเก่า
ทว่าสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ในบรรดาเด็กชายและเด็กหญิงทั้งสองร้อยคนเบื้องล่าง มีเด็กชายคนหนึ่งที่เผยรอยยิ้มสดใสยิ่งกว่าเขาเสียอีก
“ต้องปลื้มปีติอย่างแน่นอน” ไป๋ชิวหรานก้มหน้าลงพลางกระซิบพึมพำกับตนเอง
“ในที่สุดข้าก็จับเจ้าได้ เจ้าอสูรนอกรีต!”
* เชิงอรรถ
[1] ผีชางรับใช้เสือ = เป็นสำนวนเปรียบเทียบที่อิงกับตำนานเรื่องเล่า ผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งถูกเสือคร่าชีวิตจนต้องกลายมาเป็นวิญญาณรับใช้ สุดท้ายกลับยอมร่วมมือกันกับผู้ที่คร่าชีวิตตนเพื่อลงมือทำลายชีวิตผู้บริสุทธิ์คนอื่น ๆ ด้วยความอำมหิตต่อไป เพียงเพื่อที่ตนเองจะได้หลุดพ้นจากพันธนาการที่ผูกมัดไว้ให้เร็วที่สุด