บทที่ 19 เสียงเพรียกนำไปสู่การปลดปล่อย
แผละ!
ทันทีที่ไป๋ชิวหรานปล่อยมือ ใบหน้าโชกเลือดของถังโจ้วเสียก็ล้มลงกองบนแท่นบูชา โลหิตคาวสดไหลนองกระจายไปทั่วพื้น
เขาหันกลับไปปัดฝุ่นออกจากร่างกาย จากนั้นจึงหันไปมองเด็กชายและเด็กหญิงทั้งสองร้อยคน ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ รวมถึงองค์หญิงถังรั่วเวยที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
นางจ้องมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ไป๋ชิวหรานก็เช็ดเลือดบนฝ่ามือ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเผยรอยยิ้มอันไร้พิษภัยขณะหันไปหานาง
“กำจัดคนกระทำชั่ว ย่อมต้องใช้หนทางที่ชั่วร้ายยิ่งกว่า” เขาชี้ไปยังศพที่นอนกองอยู่ด้านข้างพร้อมกล่าวต่อไป “ผู้ที่ลงมือก่อนไม่ใช่ข้าแต่เป็นเขา”
“ข้ารู้” ถังรั่วเวยพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย
“อืม!”
ขณะเดียวกันนั้น มหาราชครูฝูเชียนชิวที่ยืนอยู่ด้านข้างแท่นบูชาก็ยกมือขึ้นกุมศีรษะของตนพร้อมเปล่งเสียงฮึดฮัด หลังจากนั้นไม่นานองค์จักรพรรดิแห่งรัฐซ่างเสวียนก็กุมศีรษะและร้องคร่ำครวญเช่นเดียวกัน
ดูเหมือนว่าทันทีที่ถังโจ้วเสียสิ้นชีพ วิชามารที่เขาใช้ควบคุมจิตใจของผู้คนก็สิ้นฤทธิ์ไปในบัดดล ซึ่งพลังบำเพ็ญเพียรของมหาราชครูและองค์จักรพรรดิซ่างเสวียนก็นับว่าสูงที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงฟื้นคืนสติขึ้นมาก่อน
ทว่าทหารองครักษ์อีกหลายพันนายนั้นต่างออกไป ถังโจ้วเสียได้ใช้วิธีการอื่นเพื่อเพิ่มพูนพลังการต่อสู้ของพวกเขา เพื่อเปลี่ยนนายทหารทั้งหมดให้กลายเป็นทหารผีดิบ ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงไร้ซึ่งแรงกดดันในการสังหาร
วิธีการที่ถังโจ้วเสียเลือกใช้ทำให้ไป๋ชิวหรานสะดวกต่อการจัดการมากกว่า แม้ว่าเขาจะสามารถเลือกใช้หนทางถอนมนตร์สะกดจากพวกเขาได้ แต่หากทำเช่นนั้นจริงอาจต้องแบกรับกับความเสี่ยงที่อาจตามมาภายหลัง
ถังโจ้วเสียเปลี่ยนทหารเหล่านี้ให้ละทิ้งความเป็นมนุษย์และกลายเป็นปีศาจ กระบวนการดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขให้ย้อนกลับได้โดยสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นการฆ่าพวกเขาให้ล้มตายไปจนหมดสิ้นในคราวเดียว และปล่อยให้พวกเขากลับมาเกิดใหม่โดยเร็วที่สุด
“ท่านพ่อ!” ครั้นถังรั่วเวยเห็นจักรพรรดิซ่างเสวียนทำท่าทางกุมศีรษะประหนึ่งจะฟื้นคืนสติ ถังรั่วเวยจึงรีบวิ่งขึ้นไปยังแท่นบูชาเพื่อประคองเขาไว้
“ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
“ข้า… เหตุใดหัวพ่อถึงได้เจ็บปวดเช่นนี้?” จักรพรรดิซ่างเสวียนโคลงศีรษะพร้อมกล่าว “พ่อจำได้ว่าพ่อกำลังเข้าร่วมพิธีบวงสรวงสวรรค์ หลังจากนั้นเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่?”
“เรื่องราวเป็นมาเช่นนี้…” ถังรั่วเวยเริ่มอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้บิดาของตนรับทราบ ส่วนไป๋ชิวหรานรีบมุดลงไปยังชั้นใต้ดินอย่างเอาเป็นเอาตาย เขายังมีภารกิจที่ต้องสะสาง พวกผู้บริสุทธิ์ที่ถูกซือหม่าอิงป๋อและพรรคพวกจับตัวมาถูกถังโจ้วเสียสร้างค่ายกลผนึกไว้ วิญญาณของพวกเขายังถูกพันธนาการอยู่ในค่ายกลชั้นดินใต้แท่นบูชา ไม่อาจหลุดพ้นได้ทันที
ทันทีที่เขาลงลึกไปในหลุมศพ จมูกของไป๋ชิวหรานก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดฉุนคลุ้ง ในมิติทางจิตวิญญาณปรากฏเป็นภาพของเหล่าผู้คนที่ถูกเขาสังหาร ซึ่งกำลังมุ่งตรงมายังเขาโดยพร้อมเพรียงกัน ใบหน้าของพวกเขามีสภาพราวกับหุ่นขี้ผึ้งที่ถูกหลอมละลาย ลูกตาและปากของกลายเป็นหลุมดำ ดูเจ็บปวดและน่ากลัวเป็นพิเศษ
ไป๋ชิวหรานก้าวเท้าออกไปพร้อมปลดปล่อยปราณวิญญาณไร้เทียมทานทำลายค่ายกลที่ผูกรัดอิสรภาพของเหล่าผู้บริสุทธิ์ไว้กับพื้น จากนั้นจึงเริ่มร่ายเวทและปลดปล่อยดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นเหล่านี้
ทว่าวิธีการปลดปล่อยที่เขาเลือกใช้นั้นแตกต่างจากวิถีการหลุดพ้นทางพุทธศาสนา พวกเขาสานถักทอสะพานเพื่อลบล้างความคับข้องใจให้กับวิญญาณอาฆาตเหล่านี้แล้วเชื่อมต่อไปยังอีกฟากฝั่งหนึ่ง แต่หากทำเช่นนั้นดวงวิญญาณจะหลบหนีเข้าสู่โลกของภูตผีปีศาจเพราะไม่ได้เข้าสู่เส้นทางเวียนว่ายตายเกิดใหม่ผ่านยมทูต ทำให้ต้องรอคอยต่อไปอีกนานพอสมควรกว่าทุกสิ่งจะเป็นไปตามครรลองที่ควรจะเป็นวิธีของไป๋ชิวหรานนั้นง่ายกว่ามาก เพราะเขาเรียกให้ยมทูตเป็นฝ่ายมาจัดการรับดวงวิญญาณเหล่านี้ด้วยตนเอง
หลังจากส่งสารออกไปไป๋ชิวหรานก็หยุดยั้งการกระทำของตน ประมาณไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงกระแทกผ่านช่องอากาศดังกระหึ่มซึ่งมีเพียงคนใกล้ถึงฆาตเช่นเขาเท่านั้นที่ได้ยินพลันดังขึ้นจากระยะไกลและค่อยคืบคลานเข้ามา
ท่ามกลางความมืดมิดว่างเปล่าบนเส้นทางกว้างใหญ่ลดเลี้ยวที่ทอดยาว ไป๋ชิวหรานก็มองเห็นเงาของ ‘บุคคลคุ้นเคย’ มิตรสหายเก่าแก่ของเขานามว่าเชวียหลิงที่ก่อรวมร่างขึ้นและเดินตรงมาทางเขา
ยมทูตผู้ทำหน้าที่กักวิญญาณยังคงเผยสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาไร้อารมณ์ประหนึ่งคนตาย เขาเก็บไม้พายในมือกลับเข้าที่พร้อมเอ่ยถามด้วยใบหน้าซีดขาว
“ไป๋ชิวหราน เจ้าเรียกข้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด?”
“นั่น” ไป๋ชิวหรานบุ้ยใบ้ไปทางเหล่าดวงวิญญาณที่รวมตัวกันอยู่ในโพรงแห่งนี้ เพราะการมาถึงของเชวียหลิงทำให้พลังหยินเกิดความคลาดเคลื่อน เหล่าภูตผีจึงรู้สึกหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ
“วิญญาณมากมายรวมกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้แล้ว ได้เวลาทำงานของเจ้า”
เชวียหลิงกวาดสายตามองดวงวิญญาณเหล่านั้นก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย “ที่แห่งนี้มีดวงวิญญาณจำนวนมากที่ยังไม่ถึงคราวเคราะห์ ในสมุดบันทึกความตายไร้ซึ่งรายชื่อของพวกเขา ผู้ฝึกวิชามารบนโลกของพวกเจ้ากระทำสิ่งใดลงไป?”
“เหมือนเช่นทุกครั้ง สังหารคน ดื่มกินเลือด และเก็บตัวเพื่อเตรียมพร้อมในการฝึกฝน” ไป๋ชิวหรานกล่าวตอบ “ทว่าไอ้หมอนั่นบีบบังคับให้ข้าต้องสังหารพวกเขาทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วท่านจะได้ไม่มีภาระในการตามค้นหาดวงวิญญาณเร่ร่อนอีกต่อไป”
“ฮึ่ม!” เชวียหลิงแค่นเสียงเย็นชา ถึงกระนั้นก็ไม่ได้กล่าวคำใดเพิ่มเติม ผู้ฝึกตนวิชามารเช่นถังโจ้วเสียที่กระทำการอุกอาจท้าทายสวรรค์รวมถึงเรื่องชั่วร้ายมากมาย ต่อให้ถูกควบคุมตัวลงไปยังขุมนรกก็ต้องโทษทรมานเป็นระยะเวลายาวนานจนกว่าวิญญาณของเขาจะถูกทำลายลง การที่ไป๋ชิวหรานทำให้วิญญาณของเขาแตกสลายไปในระดับหนึ่งสามารถช่วยประหยัดเวลาในโลกของภูตผีได้
ยมทูตเริ่มทำหน้าที่ของตนอย่างเป็นระเบียบ เขาหยิบโซ่เหล็กออกมา ในหนแรกดูแล้วคล้ายเป็นโซ่วิญญาณที่มีความยาวเพียงหนึ่งแขน ทว่ามันสามารถยืดออกไปได้อย่างไร้ขีดจำกัด เชวียหลิงพันธนาการข้อมือดวงวิญญาณทั้งหมดไว้และจัดให้พวกเขายืนเรียงเป็นแถวตอนยาว โดยมีไป๋ชิวหรานยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง
ครั้นใกล้เสร็จสิ้นกระบวนการ เขาถึงเอ่ยถามขึ้น “นี่ คราวนี้เจ้าช่วยจดบันทึกการกระทำของข้าไว้ในสมุดบันทึกบุญด้วยได้หรือไม่?”
“ย่อมได้” เชวียหลิงกระชับโซ่เหล็กไว้ในมือก่อนกล่าวต่อไป “ทว่าตัวเจ้าเอาแต่หลบหนีจากข้อจำกัดด้านอายุขัยได้ถึงหลายครั้งหลายหน อย่าได้คิดว่าเจ้าจะสามารถกระทำความดีชดเชยเรื่องนั้นได้อย่างง่ายดายเช่นนี้”
“อืม ข้ารู้แล้ว” ไป๋ชิวหรานพยักหน้ารับ
ถึงอย่างไรเขาก็มีคุณความดีในโลกมนุษย์จนมากมายนับไม่ถ้วน ฉะนั้นจึงไม่เคยคิดใช้สิ่งนี้มาหักล้างกันกับบันทึกบุญบาปในโลกของภูตผี
เชวียหลิงจัดเรียงวิญญาณทั้งหมดให้ต่อแถวยาวประหนึ่งหางมังกร จากนั้นจึงยืนอยู่บนเส้นทางที่ยื่นออกมาจากความว่างเปล่า จากนั้นราวกับว่าเจ้าตัวนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขามองไปยังไป๋ชิวหรานก่อนกล่าวออก “จริงสิ ไป๋ชิวหราน เจ้าเองก็…”
“เจ้าเองก็อะไรรึ?” ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นเกาศีรษะตนขณะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เปล่า ไม่มีอะไร” เชวียหลิงถอนสายตากลับมาพลางดึงโซ่เหล็กในมือ จากนั้นจึงหยิบโคมไฟกระดาษออกมาจากความว่างเปล่า โคมไฟดวงนั้นเปล่งแสงสว่างเรืองออกมาเล็กน้อย ทำให้เส้นทางสายนี้สว่างไสวขึ้น
“ไปพร้อมกันเถิด ตามข้ามา” เสียงกระแทกผ่านช่องอากาศดังแว่วขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความมืด พร้อมกันกับเสียงเพลงที่ไม่อาจทราบที่มา คล้ายเป็นเสียงฮัมเพลงแผ่วเบาเท่านั้น ยมทูตใบหน้าบึ้งตึงพาแถววิญญาณที่ยาวเหยียดราวกับตัวมังกรย่างเดินช้า ๆ เข้าไปในความว่างเปล่าก่อนอันตรธานหายไป
“เฮ้ย! เหตุใดไม่รู้จักกล่าวให้จบประโยคเสียบ้าง!?” ไป๋ชิวหรานยังคงนึกถึงท่าทางของเชวียหลิงก่อนหน้านี้ ที่ดูคล้ายอยากปริปากกล่าวบางคำ ทว่ากลับหยุดชะงักค้างอยู่เพียงเท่านั้น ไม่อาจล่วงรู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไรแน่
เขาจึงทำเพียงปัดฝ่ามือไปมาอย่างแผ่วเบาพร้อมเอ่ยพึมพำว่า “เจ้าคนโรคจิต”
ว่าแล้วเขาก็หนีขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน ทันทีที่ร่างกายโผล่ออกมาจากพื้นดินอันแข็งแกร่งของสุสานจักรพรรดิ ยังไม่ทันยืนหยัดขึ้นโดยสมบูรณ์เขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนดังลั่นมาจากด้านข้าง
“ออกมาแล้ว! เขาออกมาแล้ว!”
ไป๋ชิวหรานหันหน้าไปมองและพบว่าเป็นจักรพรรดิซ่างเสวียนและมหาราชครูที่กำลังชี้นิ้วไปทางเขาด้วยความตื่นเต้น ส่วนถังรั่วเวยที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็พยายามดึงชายเสื้อของบิดาตนเองด้วยใบหน้าแดงก่ำ เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ทั้งหมดดูเหมือนจะได้สติกลับคืนมาแล้ว ตอนนี้พวกเขาต่างเดินวนรอบจุดที่ไป๋ชิวหรานอยู่ เพื่อมองดูเขาที่กำลังโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน
ไป๋ชิวหรานหยัดกายลุกขึ้นยืนพลางจ้องมองพวกเขากลับด้วยสายตาจนปัญญา ส่วนถังรั่วเวยก็ได้แต่กระแอมไอพลางกล่าวเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านพ่อ ทรงสงวนกิริยาท่าทางหน่อยเถิด!”
“อะแฮ่ม…” จักรพรรดิซ่างเสวียนกระแอมไอเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อนที่ตนเองเสียสติไปชั่วครู่ เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะประสานมือคารวะไป๋ชิวหรานด้วยท่าทางเก้กัง “ท่านเซียน ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านเซียนที่อุตส่าห์ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ข้าในฐานะจักรพรรดิผู้ปกครองรัฐซ่างเสวียนขอเป็นตัวแทนของประชาชนเรือนหมื่นคารวะขอบคุณท่าน บุญคุณของท่านใหญ่หลวงนัก!”
“อืม ไม่เป็นไร” ไป๋ชิวหรานเพียงโบกมือ “พวกเจ้าค่อย ๆ จัดการเรื่องต่อจากนี้ให้ดี ประเดี๋ยวข้าต้องไปแล้ว”
“ได้อย่างไรกัน?! ท่านเซียน อยู่ต่ออีกสักหน่อยเพื่อให้ข้าได้แสดงความซาบซึ้งต่อบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของท่านเซียนด้วยเถิด!” จักรพรรดิซ่างเสวียนพยายามรั้งตัวเขาไว้
“ไม่จำเป็น ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่สามารถแสวงหาสิ่งที่ข้าต้องการได้เป็นแน่”
“เช่นนั้น ข้าก็ควรจัดงานเลี้ยงสมโภชใหญ่เพื่อต้อนรับท่านเซียนอย่างสมเกียรติ”
“ข้าไม่อยากกิน” ไป๋ชิวหรานปฏิเสธอย่างเด็ดขาด จากนั้นจึงกวักมือเรียกมหาราชครูฝูเชียนชิวให้เข้ามาใกล้
“ท่านมหาราชครูผู้นั้น ข้ามีบางเรื่องต้องการสอบถามจากเจ้า เจ้าจงสะสางเรื่องทั้งหมดให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยเสีย แล้วข้าจะไปพบเจ้าในภายหลัง”