บทที่ 31 หนึ่งวิชากระบี่ หนึ่งวิชาฝ่ามือ หนึ่งวิชาหลบหนี
“กระบี่เล่มนี้ชื่อว่าคุนหลิง”
เช้าวันรุ่งขึ้น ณ ยอดเขาศิลาดำถัดจากยอดเขาชีซิง ไป๋ชิวหรานจัดการมอบกระบี่บินที่มีรัศมีพลังสีเหลืองให้ถังรั่วเวยอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
“จงปฏิบัติกับมันราวกับสามี…ไม่สิ ราวกับลูกของเจ้า!”
“แค่เหมือนลูกก็พอแล้ว” ถังรั่วเวยพยายามดึงกระบี่ออกมาจากมือของไป๋ชิวหราน แต่นางก็ไม่สามารถขยับมันได้ “ปล่อยนะ! อาจารย์!”
“ข้าเคยมีความฝันมาตลอด” ไป๋ชิวหรานจับด้ามกระบี่คุนหลิงไว้ในมือแน่น นอกจากนั้นยังพร่ำเพ้อราวกับเด็กหวงของ “ข้าฝันไว้ว่าวันหนึ่งหลังจากก้าวเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานได้ ข้าจะทำสัญญาโลหิตกับกระบี่บินแต่ละประเภท จากนั้นข้าจะควบคุมกระบี่บินพวกนั้นไปร่ายรำยังสุสานของบรรดาผู้ที่เคยหัวเราะเยาะ…”
“ใครจะสนล่ะ! ท่านตีกระบี่เล่มนี้ให้ข้าไม่ใช่หรอกหรือ?!” ถังรั่วเวยพยายามอย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่สามารถดึงกระบี่บินในมือของไป๋ชิวหรานออกมาได้ ในที่สุดขณะที่กำลังจะอ้าปากกัดมือของไป๋ชิวหราน ชายหนุ่มก็มองไปยังกระบี่คุนหลิงในมือพร้อมปล่อยอย่างไม่เต็มใจ
หลังจากถังรั่วเวยคว้ากระบี่คุนหลิงมาไว้ในมือได้ นางก็รีบทำสัญญาโลหิตที่ได้เรียนรู้มา จากนั้นจึงนำกระบี่บินเข้าไปไว้ภายในที่พักทันที
“เหตุใดเจ้าต้องทำสีหน้าหวาดระแวงถึงเพียงนั้น…” ไป๋ชิวหรานถอนสายตาออกพร้อมกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ในฐานะอาจารย์ ข้าไม่คิดจะแย่งของของเจ้าหรอก”
“ท่านกล่าวแบบนี้ข้าก็โล่งใจ” ถังรั่วเวยมองเขาด้วยความยินดี
ไป๋ชิวหรานเพียงแต่ใช้นิ้วถูไถจมูกตนเองและไม่กล่าวสิ่งใดต่อ
“ว่าแต่ ท่านอาจารย์…” ขณะมองกระบี่บินที่ส่องแสงเจิดจรัสออกมาจากที่พัก ถังรั่วเวยนึกบางสิ่งได้จึงเอ่ยถาม “ตอนนี้ข้าก็สามารถใช้กระบี่ได้แล้ว เหตุใดท่านถึงไม่สอนข้าสักสองสามกระบวนท่าล่ะ?”
ในช่วงหกปีที่ผ่านมา ไป๋ชิวหรานไม่ได้สอนกระบวนท่าแก่ถังรั่วเวยเลยนอกจากวิชาหลอมสร้างกายและต้นกำเนิดสนามแม่เหล็ก
ผลที่ได้รับก็คือ ถึงแม้รากฐานของถังรั่วเวยจะพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ทักษะการต่อสู้ ประสบการณ์ และกระบวนท่าของนางยังนับว่าอ่อนแอ อย่างไรก็ตามที่พักบนยอดเขาชีซิงไม่ได้มีแค่นางและไป๋ชิวหรานอีกต่อไป แต่ยังมีสัตว์วิญญาณที่ชอบมาดูดซับพลังจากยอดเขาชีซิงอาศัยอยู่ด้วย
บางทีอาจจะเป็นการยินยอมจากไป๋ชิวหราน หรืออาจมีบางสิ่งยั่วยุ บ่อยครั้งที่ถังรั่วเวยฝึกฝน ไปอาบน้ำ หรือลงจากภูเขา สัตว์วิญญาณเหล่านี้จึงมักจะมาสร้างปัญหาให้นาง โดยเฉพาะลิงตัวเมียที่เคยใช้หน้าอกยั่วโมโหถังรั่วเวยตอนที่นางอาบน้ำในบ่อน้ำพุร้อน
ความแข็งแกร่งของสัตว์วิญญาณเหล่านี้เกือบจะทัดเทียมกับขั้นกลั่นลมปราณ ถังรั่วเวยใช้เคล็ดวิชามังกรทมิฬร่วมกับเคล็ดวิชาต้นกำเนิดสนามแม่เหล็กวิวัฒน์ และร่างกายที่หล่อหลอมมาตอบโต้กลับ แต่นอกจากความแข็งแกร่งของลิงตัวเมียจะอยู่ระดับสูงสุดของขั้นกลั่นลมปราณแล้ว มันยังมีวิชากระบี่ของสำนักกระบี่ชิงหมิงซึ่งไม่รู้ว่ามันไปมีวิชาเช่นนั้นได้อย่างไรด้วย
ระหว่างช่วงบ่ายวันนั้น ถังรั่วเวยที่ถูกลิงตัวเมียกวนประสาทเป็นครั้งที่สองก็โกรธจัด มันหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาจากพื้นดินและฟาดใส่บั้นท้ายของถังรั่วเวยจนเกิดรอยสีแดงหลายสิบรอย
แม้จะเป็นวิชาจากราชวงศ์ แต่เคล็ดวิชามังกรทมิฬก็เป็นเพียงวิทยายุทธ์สำหรับมนุษย์ ซึ่งไม่สามารถสู้กับวิชากระบี่ของสำนักกระบี่ชิงหมิงที่คิดค้นโดยเซียนชิงหมิงได้แน่นอน
เป็นผลให้ถังรั่วเวยกลับที่มาพักพร้อมด้วยน้ำตา อีกทั้งนางยังถูกไป๋ชิวหรานหัวเราะเยาะตลอดทั้งบ่าย
“กระบวนท่า?” ไป๋ชิวหรานเหลือบไปมอง “อันที่จริงตั้งแต่ที่เจ้าสามารถสร้างรากฐานได้ มันก็ถึงเวลาสอนวิธีป้องกันตนเองและเอาชนะผู้อื่น นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ต้องฝึกฝนเพิ่มขึ้นอีก มันคงถึงเวลาที่จะได้สอนเจ้าแล้ว”
“เอาชนะผู้อื่น…” ถังรั่วเวยขมวดคิ้วพร้อมกล่าว “ข้าไม่ได้ต้องการจะเอาชนะผู้ใด ข้าแค่ต้องการปกป้องตัวเองจากพวกลิงตัวเมียบนภูเขาเท่านั้น”
“ย่อมได้ แล้วเจ้าจะเห็นเอง” ดูเหมือนว่าไป๋ชิวหรานจะเตรียมการไว้ก่อนแล้ว เขาหยิบกระบี่เหล็กธรรมดาออกมาจากถุงผ้าก่อนจะพูดกับถังรั่วเวย
“โดยปกติทั่วไป หลังจากที่เจ้าเข้าสู่สำนักกระบี่ชิงหมิง ข้าก็ควรจะสอนวิชากระบี่ชิงหมิงที่อาจารย์ของข้าคิดค้นให้กับเจ้า อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เจ้ามุ่งมั่นเพียงแค่การสร้างรากฐาน ข้าครุ่นคิดอยู่นานว่าวิชากระบี่ชิงหมิงนั้นไม่เหมาะสมกับเจ้าที่มีพลังสนามแม่เหล็กเลย ข้าจึงรื้อวิชากระบี่เดิมและเพิ่มชุดวิชากระบี่ใหม่ให้กับเจ้า ตอนนี้เป็นกระบวนท่าแรกที่จะสอน ดูให้ดี”
ไป๋ชิวหรานยกกระบี่เหล็กขึ้น สิ่งนี้ทำให้ถังรั่วเวยสัมผัสได้ถึงพลังแม่เหล็กที่กระจายออกมาจากตัวกระบี่ จากนั้นชายหนุ่มก็ควบคุมกระบี่เหล็กในมือและแทงมันออกไปอย่างดูเป็นธรรมชาติ
พลังของต้นกำเนิดสนามแม่เหล็กและลมปราณผสานกันจนเกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ แสงกระบี่สีดำปรากฏขึ้นเพียงชั่วพริบตา จากนั้นตรงกลางของยอดภูเขาศิลาดำก็ระเบิดออก
ถังรั่วเวยจ้องไปยังไป๋ชิวหรานพร้อมเอ่ยถามขณะดึงกระบี่ออกจากฝัก “ท่านอาจารย์ แค่นั้นเองหรือ?”
“แค่นั้นแหละ” ไป๋ชิวหรานพยักหน้า “เจ้าต้องการสิ่งใดอีก?”
ถังรั่วเวยเปิดตากว้างพร้อมกล่าว “ก่อนหน้านี้ท่านเกริ่นมาเสียมากมาย อีกทั้งยังให้ข้าฝึกรากฐานจนบรรลุ ผลก็คือการแทงแค่ครั้งเดียวนี่น่ะหรือ?”
“ในเมื่อเจ้าเห็นการแทงของข้าชัดเจน แล้วหยุดมันได้หรือไม่เล่า?” ไป๋ชิวหรานถามกลับ
ถังรั่วเวยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะนึกถึงหัวใจหลักของวิชานั้น แต่นางยังคงนิ่งเงียบ
“อย่าคิดว่ากระบวนท่านี้เป็นการแทงธรรมดา มันคือการผสานระหว่างพลังแม่เหล็กวิวัฒน์และลมปราณเพื่อเพิ่มพลังให้กระบี่บินของเจ้า นั่นคือแก่นแท้ของกระบวนท่านี้ เคล็ดลับอีกสิ่งหนึ่งก็คือรากฐานของพลังต้องแข็งแกร่ง”
ไป๋ชิวหรานเงียบไปชั่วครู่และมองไปยังฝ่ามือของตน “ที่ข้ากล่าวมานั้นสำหรับสถานการณ์ธรรมดา หากเจ้าฝึกฝนการแทงนี้จนสามารถใช้ได้อย่างอิสระ อย่างน้อยผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับเดียวกับเจ้าก็ไม่สามารถป้องกันมันได้ เว้นแต่คนผู้นั้นจะมีทักษะพิเศษ”
“ข้าแค่ใช้วิชานี้ก็สามารถพิชิตผู้อื่นได้แล้วงั้นหรือ?” ถังรั่วเวยถามด้วยความสงสัย “เหตุใดถึงต้องใช้ทักษะกระบวนท่ามากมาย หากสามารถสังหารศัตรูได้ในกระบวนท่าเดียว”
ไป๋ชิวหรานชี้แนะกลับ “ถังรั่วเวย ในฐานะอาจารย์ ข้าเคยสอนให้เจ้าเห็นถึงความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังรูปลักษณ์ การต่อสู้ก็เช่นเดียวกัน ในการต่อสู้ของผู้ฝึกตน สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก แม้แต่บางคนที่มีรากฐานพลังลมปราณแข็งแกร่ง พวกเขายังแทบไม่ใช้กระบวนท่าใดนอกจากการต่อยกับเตะธรรมดา แค่สิ่งเหล่านี้ก็สามารถระเบิดภูเขา ทลายศิลาได้อย่างง่ายดาย หรือแม้แต่การเอาชนะผู้ที่มีวิชาเป็นสิบกระบวนท่าโดยการโจมตีครั้งเดียว อีกอย่างกระบวนท่าที่ซื่อตรงนี้ยังสามารถชดเชยเวลาจากการขาดการฝึกฝน ท่าร่ายรำอาคม หรือพวกวิชาลับต่าง ๆ มันสามารถชดเชยการเคลื่อนไหวในแง่มุมเหล่านี้ได้ ดังนั้นการหาวิธีต่อสู้ที่เหมาะสมกับตัวเอง คือสิ่งที่ดีที่สุดในการปรับปรุงประสิทธิภาพการต่อสู้ของเจ้า”
“ดังนั้นวิชากระบี่นี้จึงเหมาะสมกับข้าที่สุดงั้นหรือ?” ถังรั่วเวยเอ่ยถาม
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าพร้อมกล่าว “มันยังมีพลังฝ่ามือและกระบวนท่าหลบหนีอีก แค่หนึ่งวิชากระบี่ หนึ่งวิชาฝ่ามือ และอีกหนึ่งวิชาหลบหนี เจ้าก็สามารถต่อกรกับผู้ที่อยู่ขั้นสร้างรากฐานด้วยกันได้ทั่วพิภพแล้ว…นี่จึงเป็นหนทางที่เหมาะสมกับเจ้าที่สุดตอนนี้ ในอนาคต เจ้าจะต้องเรียนรู้และคิดค้นวิถีแห่งการต่อสู้ด้วยตัวเอง”