บทที่ 42 ขั้นกลั่นลมปราณจะสังหารอสูรยักษ์ได้อย่างไร?
“สำนักไป่เยว่?”
ภายในลานเล็ก ๆ ของเขตแดนเริงรมย์ ไป๋ชิวหรานเอ่ยถามอย่างนึกฉงน
“เป็นสำนักอะไรกัน? เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีสำนักนี้ในชางโจว?”
“มันคือสำนักที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ ไม่แปลกหากเจ้าจะไม่เคยได้ยิน เพราะพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับสำนักฝึกตนสายธรรม”
ซูเซียงเสวี่ยอธิบายพลางบรรเลงพิณไปด้วย
“สำนักนี้ตั้งอยู่บนภูเขาไป่เยว่ภายในรัฐติ่งกั๋ว ภายในสำนักมีผู้ฝึกตนขั้นขอบเขตแกนทองคำอยู่หลายราย ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เพียงพอในการก่อตั้งสำนัก ทว่าสิ่งที่น่าสนใจคือเครือข่ายข่าวกรองสำนักเหอฮวนของเรา พบว่าองค์ชายรองและองค์ชายสามแห่งแคว้นติ่งกั๋วได้เข้าร่วมประชุมหารือกันเมื่อหนึ่งเดือนก่อน เพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องสำคัญบางอย่างกับเจ้าสำนักแห่งไป่เยว่”
“หลังจากนั้นหนึ่งเดือน องค์รัชทายาทก็สิ้นพระชนม์”
ไป๋ชิวหรานก็พอจะคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้คร่าว ๆ
“ฮึ่ม! ฆ่าองค์รัชทายาทแล้วนั่งรับชมเหล่าองค์ชายแย่งชิงตำแหน่งกันเอง เพื่อที่ขั้นสุดท้ายจะผลักดันให้หุ่นเชิดตัวหนึ่งขึ้นครองราชย์ หากเป็นเช่นนั้นรัฐติ่งกั๋วจะไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาในอนาคตหรอกหรือ? หากมองในมุมของโลกฆราวาสแล้ว อาจจะเป็นความคิดที่ดี ทว่านี่เป็นความผิดพลาดมหันต์เสียยิ่งกว่าในโลกแห่งการฝึกตน นับเป็นการหลงผิดที่ไม่ควรเอาอย่างเสียเลย”
“เจ้าสำนักไป่เยว่มองการณ์ไกล ว่าหลังจากที่ชักใยอยู่เบื้องหลังอาณาจักรใหญ่ได้แล้ว สำนักของเขาจะทวีความรุ่งโรจน์ขึ้นอย่างรวดเร็ว”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าว
“ถึงกระนั้น ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกของการฝึกตนคืออำนาจ ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่บรรลุขั้นขอบเขตแกนทองคำหลายคนต้องการจะกอบโกยทรัพยากรของรัฐทั้งทีคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต่อให้พวกเขาทำสำเร็จ สำนักอื่น ๆ ในชางโจวรู้เข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร? เมื่อถึงตอนนั้น คงส่งตัวผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นปฐมวิญญาณสักคนสองคนออกมากำราบคนจากสำนักไป่เยว่ก็ได้แล้ว”
“เฮ้อ ข้าหวังให้ศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิงอย่าได้คิดการใหญ่ใด ๆ ทั้งนั้น การจดจ่ออยู่กับการฝึกฝนเพื่อให้พลังปราณตนแข็งแกร่งขึ้นจึงเป็นหนทางที่ถูกต้อง”
ไป๋ชิวหรานลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเกียจคร้าน
“ถึงกระนั้น ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เรื่องบานปลายจนเลยเถิด หากเวลานั้นมาถึง ชุ่ยหลัวคงคลั่งขึ้นมาอีกหน เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจคงได้เปิดศึกกันอีกครั้ง ข้าต้องไปห้ามปรามนางเสียแต่เนิ่น ๆ”
“เจ้าจะไปแล้วหรือ?”
ซูเซียงเสวี่ยเอ่ยถาม
“จะไปเดี๋ยวนี้ ข้าคงไม่รบกวนการฝึกตนของเจ้าอีกต่อไป”
ไป๋ชิวหรานตอบพลางเหลือบมองซูเซียงเสวี่ย
“ความคืบหน้าในการฝึกตนของเจ้าค่อนข้างช้าทีเดียวสำหรับผู้ฝึกตนในระดับเดียวกัน ช่วงนี้เจ้าไม่ค่อยได้ฝึกฝนเพิ่มเติมเลยหรือ?”
ซูเซียงเสวี่ยได้ยินเข้าพลันโกรธขึ้นมา
“ข้าจะฝึกฝนเพิ่มเติมหรือไม่ นั่นไม่เกี่ยวกับเจ้าเสียหน่อย”
“ข้าถามเพราะห่วงใยเจ้าต่างหาก”
ไป๋ชิวหรานยิ้มกว้าง
เมื่อเห็นสีหน้ากับท่าทางไม่ยินดียินร้ายของเขา ซูเซียงเสวี่ยจึงหมดอารมณ์จะเสวนาต่อไป
“เจ้าไสหัวออกไปเสียเถอะ ข้าไม่ขอส่งแขก!”
“ไล่ตะเพิดข้าเช่นนี้ เจ้ามีธุระอื่นใดที่ต้องทำอีกงั้นรึ?”
“ใช่! ข้าจะออกไปล่าเหล่าบุรุษโง่เง่าเสียหน่อยเผื่อจะช่วยเสริมขั้นการฝึกตนบ้าง!”
ซูเซียงเสวี่ยผลักไป๋ชิวหรานให้ออกไปจากประตู ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดเสียงดังปัง
“รีบกลับไปตามหาลูกศิษย์ของเจ้าซะ!”
ไป๋ชิวหรานยังยืนนิ่งอยู่หน้าประตู มองบานประตูที่ถูกปิดสนิทแน่นหนาจากด้านใน พลางยกมือขึ้นลูบจมูก
“เจ้าโกรธเป็นฟืนไฟถึงเพียงนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้รับการเสริมพลังปราณมาก่อน”
ไป๋ชิวหรานพึมพำกับตนเอง ก่อนจะก้าวเท้าออกไปจากเขตแดนเริงรมย์
…
“รั่วเวย เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
จั่วเหยียนเฟยเก็บหอกยาวเข้าที่ ก่อนปราดเข้าไปถามไถ่ถังรั่วเวย
“ไม่เป็นไร”
ถังรั่วเวยกล่าวด้วยความเขินอายเล็กน้อย
“แม้ว่าข้าจะไม่แข็งแกร่งเท่าพี่เหยียนเฟยที่สามารถต้านทานการโจมตีของฝ่ายศัตรูได้อย่างใจเย็น แต่ท่านอาจารย์เคยสั่งสอนมาบ้าง ชายที่ต่อสู้เมื่อครู่นี้มีสถานะเป็นธาตุน้ำ แต่ถูกข้าโจมตีอย่างตรงจุด สภาวะตอนนี้คงอยู่ในช่วงกึ่งเป็นกึ่งตาย”
จั่วเหยียนเฟยได้ยินดังนั้น ดวงตาพลันกระตุกครั้งหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามต่อว่า
“จะว่าไปแล้ว กระบวนท่าสุดท้ายของเจ้าคืออะไรกัน? ข้าไม่เคยเห็นว่าสำนักกระบี่ชิงหมิงอบรมศิษย์ด้วยศูนย์กระบวนท่าเช่นนี้มาก่อน แล้วกระบี่บินสีดำนั่นมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง…”
จั่วเหยียนเฟยหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนรีบออกตัว
“อ๊ะ ต้องขออภัยด้วย ข้าเป็นคนจากสำนักอื่น เพียงอยากรู้เกี่ยวกับกระบวนท่าของเจ้าเท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง หากไม่ต้องการกล่าวถึงก็ไม่เป็นไร”
“ไม่ใช่ความลับอย่างไรหรอก”
ถังรั่วเวยส่ายหน้า
“เพลงกระบี่นี้ท่านอาจารย์เป็นผู้คิดค้นขึ้นมาใหม่เพื่อข้าโดยตรง ตั้งแต่เข้าเป็นศิษย์ของสำนัก ข้าเองรู้เพียงกระบวนท่านี้ ไม่รู้ว่าสามารถแบ่งย่อยใช้ได้อีกกี่กระบวนท่ากันแน่ ส่วนสถานะของข้าก็คือธาตุดิน กระบี่บินซึ่งมีลำแสงสีดำสนิทเป็นเพียงเคล็ดวิชาพิเศษของเพลงกระบี่เท่านั้น”
“กระบวนท่านี้ช่างน่ากลัวนัก แม้แต่ข้าก็ยังไม่มั่นใจว่าจะรอดพ้นจากมันได้หรือไม่”
จั่วเหยียนเฟยกล่าวพลางโคลงศีรษะ
“สมแล้วที่เจ้าเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิง”
“น่าเสียดาย”
ถังรั่วเวยก้มลงมองพื้นไม้ที่ถูกเผาจนไหม้เกรียม
“ขนเส้นนั้นถูกทำลายทิ้งไปเสียแล้ว หากยังอยู่ พวกเราคงออกติดตามหาเจ้าของได้”
“ไม่เป็นไร แม้ว่าข้าจะไม่อาจสะกดรอยตามไปได้ แต่ข้าลงมือจัดการกับผู้ฝึกตนธาตุไฟในตอนที่ข้าประมือกับมันแล้ว”
จั่วเหยียนเฟยกล่าวด้วยความมั่นใจ
“ที่แห่งนี้รายล้อมไปด้วยน้ำ ส่วนเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนธาตุไฟ การต่อสู้กับผู้ฝึกตนที่มีสถานะเป็นธาตุน้ำเช่นข้า นั่นจะไม่ถือว่าขุดหลุมฝังตนเองหรอกหรือ?”
“พี่สาวช่างร้ายกาจเสียจริงเชียว”
ดวงตาของถังรั่วเวยเปล่งประกายขณะกล่าวชมเชย
จั่วเหยียนเฟยรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อมองเห็นท่าทีของนาง
“ผู้ฝึกตนธาตุไฟคนนั้นคงหลบหนีออกจากประตูเมืองไป๋หยวนไปแล้ว พวกเรารีบตามไปเร็วเข้าเถิด!”
…
ห่างออกไปหลายร้อยลี้เหนือเมืองหลวงแห่งรัฐติ่งกั๋ว เมฆเพลิงร่วงตกลงมาจากฟากฟ้ากลายเป็นผู้ฝึกตนธาตุไฟ เขาแบกร่างผู้ฝึกตนอีกคนไว้บนบ่า และเดินลัดเลาะไปตามแนวภูเขา
ทันใดนั้นชายหญิงหลายคนที่สวมชุดแบบเดียวกันก็พากรูกันเข้ามาล้อมรอบ ครั้นเห็นผู้ฝึกตนธาตุไฟโฉบลงมาถึงพื้น พวกเขาจึงรีบถามไถ่
“เผยหยวน พวกเจ้ากลับมาแล้ว… เกิดสิ่งใดขึ้นกับเผยชานกัน?”
“ศิษย์พี่เผยชิง”
ผู้ฝึกตนธาตุไฟที่ถูกเรียกชื่อว่าเผยหยวนกล่าวด้วยความเศร้าโศก
“ข้าล้มเหลว ครั้งนี้ผู้ที่ติดตามคดีดังกล่าวไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป แม่นางทั้งสองแข็งแกร่งยิ่งนัก เผยชานพลาดพลั้งจนถูกพวกนางฆ่าตาย”
ผู้ฝึกตนชายที่เอ่ยถามในตอนต้นเริ่มตื่นตัวขึ้นมาทันที
“เจ้าไม่ได้ถูกสะกดรอยตามมาใช่หรือไม่?”
“ไม่ขอรับ ข้ากลืนกินยาฟื้นลมปราณมาตลอดทาง เหาะทะยานจากรัฐติ่งกั๋วมาถึงที่นี่ในคราวเดียว”
สีหน้าของเผยหยวนเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทางจิตใจ
“พวกนางทั้งสองเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น ไม่มีทางติดตามข้าได้ทันแน่”
“เช่นนั้นก็ดี”
ผู้ฝึกตนชายที่ลักษณะคล้ายเป็นผู้นำช้อนร่างของเผยชานที่ถูกถังรั่วเวยสังหารขึ้นมาจากพื้นดิน
“วางใจเถิด ในอนาคตศิษย์พี่จะแก้แค้นแทนเขาอย่างแน่นอน สำนักไป่เยว่จะจดจำเกียรติยศความเสียสละครั้งนี้ไว้ให้ดี อาจารย์อาและอาจารย์ลุงออกคำสั่งเรียกประชุมแล้ว หากเสาะหาที่หลบภัยของเจ้าพวกอสูรนั่นพบเมื่อไร ให้ล่วงหน้าไปปิดล้อมพวกมันไว้ก่อน ในอาณาเขตเก้าถึงสิบมหาทวีปไม่เคยได้ยินว่า มีอสูรที่สามารถแปลงกายได้มาเป็นเวลานานโขแล้ว ครั้งนี้หากได้รับแกนผลึกจากอสูรตัวใดตัวหนึ่งในบรรดาพวกมัน สิ่งนั้นจะช่วยให้อาจารย์อาและอาจารย์ลุงบรรลุเข้าสู่ขั้นขอบเขตแกนทองคำได้ หากเป็นเช่นนั้นสำนักไป่เยว่จะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นพวกเราอาจจะเข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนสายธรรมได้อย่างราบรื่น”
“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว”
เผยหยวนมอบศพของเผยชานให้กับศิษย์น้องที่มีพลังปราณน้อยกว่ารับช่วงจัดการต่อ ก่อนจะเอ่ยถามเพิ่มเติม
“ศิษย์พี่ สถานที่ที่พวกเราจะเข้าปิดล้อมอยู่หนแห่งใดกัน?”
“อยู่ทางตอนใต้ของรัฐติ่งกั๋ว”
เผยชิงเอ่ยตอบ
“ภูเขาติ่งเจียง”
ผู้ฝึกตนสองสามคนปรึกษารายละเอียดกันอีกสองสามประโยค ก่อนจะอุ้มศพของเผยชานออกจากที่นี่ไป
หลังจากนั้นไม่นาน ครั้นแน่ใจว่าผู้ฝึกตนเหล่านั้นจะไม่ย้อนกลับมาอีก เงาร่างของคนสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นบนพื้นดินของภูเขาแห่งนี้
“ข้าได้ยินเบาะแสดี ๆ เข้าแล้ว”
ถังรั่วเวยจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ขณะเดียวกัน ก็แอบล้วงเข้าไปในอกเสื้อของตน
“ภูเขาติ่งเจียง ที่แห่งนั้นตั้งอยู่ตรงไหนกัน?”
“ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเขตทางตอนใต้ของรัฐติ่งกั๋ว สมัยที่ฮ่องเต้องค์ก่อนแห่งติ่งกั๋วเสด็จกลับมาจากการยาตราทัพอันทรงเกียรติ ประชาชนต่างสรรเสริญในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างใหญ่หลวง จึงสร้างรูปปั้นของพระองค์ขึ้นในที่แห่งนั้น”
จั่วเหยียนเฟยออกความเห็น
“ถึงกระนั้นก็เถอะ ทักษะการหลบซ่อนกายาของเจ้าทำให้ข้าเปิดหูเปิดตาได้อีกครา สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิง”
“นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์สอนสั่งไว้เพื่อช่วยชีวิตข้า อีกทั้งยังเคยกล่าวว่าหากสู้ไม่ได้ อย่างน้อยต้องวิ่งให้รวดเร็วกว่าคนอื่น…”
ถังรั่วเวยกล่าวตอบ
“ทว่าข้าเองคาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะติดตามพวกเขามาถึงที่นี่ได้ทันภายในอึดใจเดียว”
เพราะการฝึกฝนวิชาหลอมสร้างร่างกายอย่างขยันหมั่นเพียรและสม่ำเสมอ ทำให้สมรรถภาพทางกายของถังรั่วเวยเหนือกว่าจั่วเหยียนเฟยที่มาจากกองทัพเทพยุทธ์ผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ในระยะประชิด เคล็ดวิชาพื้นฐานที่ไป๋ชิวหรานสอนเชิงบังคับให้นางฝึกฝนมีบทบาทสำคัญยิ่ง ทำให้พลังปราณแก่นแท้ของหญิงสาวลึกล้ำกว่าผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นสร้างรากฐานทั่วไปมากทีเดียว
“จะว่าไปแล้วพี่เหยียนเฟย ดูเหมือนว่าท่านจะเลื่อมใสในสำนักกระบี่ชิงหมิงของข้าอยู่ไม่น้อยเลย”
ถังรั่วเวยตั้งข้อสังเกต นางคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ
“ไม่ว่าจะเป็นเพลงกระบี่หรือเคล็ดวิชาหลบหนีที่ข้าใช้ ท่านเห็นแล้วก็มักจะชื่นชมเสมอว่า สมแล้วที่เจ้าเป็นศิษย์ของสำนักชิงหมิง หมายความว่าท่านชื่นชอบสำนักของเราไม่น้อยใช่หรือไม่?”
“ควรเริ่มต้นเท้าความอย่างไรดี? อันที่จริงแล้วข้าใฝ่ฝันเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เข้าร่วมเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิง ทว่าบ้านอยู่ไกลจากแคว้นกู่โจวมาก… ข้าจึงฝากตัวเป็นศิษย์ของกองทัพเทพยุทธ์แทน”
จั่วเหยียนเฟยยกมือขึ้นเกาใบหน้าตนเองพลางเล่าต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น
“สมัยที่ข้ายังไม่เกิด ผู้คนในหมู่บ้านถูกอสูรเผ่ามารตนหนึ่งที่อาศัยอยู่บนภูเขาอาละวาดหลายครั้ง เจ้าอสูรนั่นยังแต่งตั้งตนว่าเป็นเทพแห่งขุนเขา ต้องการให้ชาวบ้านอย่างพวกเราส่งคนมาเซ่นเป็นเครื่องบรรณาการ ในตอนนั้นแม้แต่แม่แท้ ๆ ของข้าก็ยังถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในเครื่องสังเวย แต่แล้วท่านเซียนผู้หนึ่งจากสำนักกระบี่ชิงหมิงผู้มีเรือนผมขาว คิ้วขาวก็ได้สังหารอสูรตนนั้นพร้อมกับช่วยเหลือหมู่บ้านเอาไว้ ท่านพ่อ ท่านแม่ และท่านปู่บอกเล่าเรื่องราวนี้ให้ฟังตั้งแต่อายุยังน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะนึกชื่นชมเขา”
“เรื่องนี้…”
แววตาของถังรั่วเวยแปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อนในทันที
“เจ้าดูสิ ศิษย์น้องของข้าเองก็มีเรือนผมสีขาว คิ้วขาวเช่นเดียวกัน…”
“ไม่ ไม่ ไม่ นั่นคงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเสียมากกว่า”
จั่วเหยียนเฟยกล่าวกลั้วหัวเราะ
“ศิษย์น้องไป๋น่ารักน่าเอ็นดูถึงเพียงนั้น ต้องไม่ใช่เขาอย่างแน่นอน อีกทั้งระดับการฝึกตนอยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น แล้วเขาจะสังหารอสูรยักษ์ตนนั้นลงได้อย่างไร?”