บทที่ 46 เจ้าจะมากความสามารถถึงขั้นนั้นได้อย่างไร?
ปลายหอกคมกริบของจั่วเหยียนเฟยปะทะเข้ากับชั้นอักขระเลือนรางของอีกฝ่ายจนกระทั่งเกิดเสียงดังกังวาน
หอกยาวที่มีลักษณะคล้ายมังกรเงินพ่นพลังปราณแก่นแท้ออกมาอย่างเต็มเปี่ยม แม้ว่าศิษย์ผู้เงียบขรึมจะเตรียมตั้งรับไว้แต่แรกแล้ว ทว่าก็ยังส่งเสียงฮึดฮัดออกมาเมื่อถูกจั่วเหยียนเฟยผลักให้ถอยร่นไปหนึ่งก้าว
เมื่อเผยต้าวที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งเห็นดังนั้นจึงคำรามออกมา ฝ่ามือทั้งสองเปล่งแสงสีแดงจาง ๆ ขณะพุ่งตัวเข้าหาจั่วเหยียนเฟย
ฝ่ามือทั้งสองกวัดแกว่งไปมาพร้อมระเบิดพลังปราณส่งออกจากฝ่ามือไปอย่างต่อเนื่อง แต่จั่วเหยียนเฟยก็ยังกวัดแกว่งหอกยาวป้องกันเอาไว้ได้ทั้งหมด
ระดับการฝึกตนของเผยต้าวสูงกว่าจั่วเหยียนเฟยถึงสองระดับ นางจึงอาศัยประโยชน์จากช่วงจังหวะดังกล่าวถอยกลับไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะทุ่มแรงกายทั้งหมดลงน้ำหนักไปที่ขาอีกข้าง แล้วทะยานพุ่งหลบหลีกเข้าไปในเขตป่าทึบบนภูเขาติ่งเจียง
“เผยชาน ไล่ตามไป!”
เมื่อเห็นจั่วเหยียนเฟยหายตัวไป เผยต้าวก็กระทืบเท้าไล่ตามไปทันที ศิษย์อีกคนที่เงียบขรึมขยับเคลื่อนร่างก่อนฝังตนลงสู่พื้นดิน แล้วใช้ทักษะพิเศษของสภาวะธาตุดินเพื่อไล่ตามจั่วเหยียนเฟยไป
เผยหยวนและเผยชิงที่ยังอยู่ขวางหน้าถังรั่วเวยไว้ เผยรอยยิ้มเยาะพลางจับจ้องไปยังถังรั่วเวยตาไม่กะพริบ
“แม่นาง วางใจเถิด พวกเราไม่ทำอะไรเจ้าอย่างแน่นอน”
เผยชิงหัวเราะ
“ถึงอย่างไร พวกเราย่อมไม่อาจหาญล่วงเกินสำนักกระบี่ชิงหมิง ดังนั้นโปรดมอบยุทธภัณฑ์เวทที่มีมาให้ข้าแล้วยอมจำนนเสียเถิด ถึงเวลานั้นทางเราจะแจ้งผู้อาวุโสของสำนักกระบี่ชิงหมิงมารับตัวเจ้ากลับสำนักไป”
“ฮ่าฮ่า ข้าเชื่อเจ้า…”
ถังรั่วเวยเผยรอยยิ้มกว้าง แต่แล้วกลับแปรเปลี่ยนสีหน้าอย่างฉับพลัน
“เชื่อก็โง่เต็มทนแล้ว!”
นางเปิดริมฝีปากอ้าออกเล็กน้อย แสงสว่างวาบของกระบี่สีดำสนิทพุ่งออกมา ลำแสงนั้นพุ่งตรงดิ่งเข้าหาร่างเผยหยวน ทว่าม่านพลังปราณสีเขียวจางกลับปรากฏขึ้นตรงหน้าเผยหยวน หยุดการโจมตีจากกระบี่บินเล่มนั้นไว้ได้ทันการณ์
ถึงกระนั้นเผยหยวนก็ยังถูกแรงกระแทกของกระบี่นี้โจมตีจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว ภายในใจนึกตระหนกไม่น้อย ทว่าริมฝีปากกลับโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มพลางกล่าวออก
“หึ! คิดว่าข้าเสียเปรียบอีกครั้งงั้นหรือ? แม่นาง… ข้าไม่อาจหยุดยั้งกระบี่บินได้ ทว่ายันต์ผนึกวิญญาณที่ปล่อยออกจากฝ่ามือที่ได้รับมาจากอาจารย์ผู้บรรลุขั้นขอบเขตแกนทองคำในระดับปลาย การที่มันหยุดยั้งการโจมตีของเจ้าได้นับว่ายอดเยี่ยมนัก จงยอมแพ้เสียเถอะ เจ้า…”
ยังกล่าวไม่ทันจบประโยค จู่ ๆ ถังรั่วเวยอันตรธานแวบมาหยุดอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นตบเข้าไปที่หน้าอกอย่างแรง!
ฝ่ามือซึ่งมีพลังแม่เหล็กสีดำเลือนรางทะลวงผ่านม่านพลังปราณสีเขียวสำเร็จ ทันทีที่ประทับลงบนหน้าอกของเผยหยวน พลังอันแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ พลันพุ่งเข้าทำลายเส้นเอ็นและกระดูกของผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐาน ทำให้พลังปราณแก่นแท้ภายในร่างถูกทำลายจนแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!
ทวารทั้งเจ็ดของเผยหยวนกระอักจนเลือดไหลทะลักออกมาพร้อมกันก่อนจะล้มลงกับพื้น ถังรั่วเวยฉวยโอกาสนี้กระทืบเท้าก่อนบังคับร่างให้จมหายลงสู่พื้นดินเพื่อหลบหนีไปไกล
“เผยหยวน!?”
ขณะนั้นเอง เผยชิงที่ตกตะลึงนิ่งไปครู่ใหญ่พลันได้สติตอบสนอง รีบร้องเรียกศิษย์น้องทันที
“บัดซบ! อย่าหนีนะ!”
จิตสังหารถูกกระตุ้นโดยสมบูรณ์… เขาหยิบยันต์ออกมาแผ่นหนึ่งก่อนจะฉีกออก หลังจากแจ้งเรื่องราวไปยังสหายร่วมสำนักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยกมือขึ้นเรียกกระบี่ทองออกมาเล่มหนึ่ง ก่อนพาตัวเองเหาะเหินไปยังทางถังรั่วเวยใช้หลบหนี
เวลานี้ ศิษย์หลายคนของสำนักไป่เยว่ถูกจั่วเหยียนเฟยและถังรั่วเวยหลอกล่อติดตามลึกเข้าไปในป่าทึบบนภูเขาติ่งเจียง คงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของเผยหยวนที่ถังรั่วเวยตบจนนอนตายอย่างเดียวดาย ไม่นานโพรงใต้พื้นดินเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางแสงแห่งพลังวิญญาณ ไป๋ชิวหรานมุดออกมาจากใต้แท่นรูปปั้นหินด้วยท่าทีผ่อนคลาย ยืนนิ่งอยู่ข้างรูปปั้นหิน
“เฮ้อ เหตุใดเจ้าถึงดื้อรั้นไม่ฟังคำเตือนเสียบ้าง? คนเราจะโลภมากไปด้วยเหตุใดกัน?”
เขาจับจ้องไปยังศพของเผยหยวนที่นอนอยู่ด้านข้าง สายตาอันมีพรสวรรค์พิเศษซึ่งเกิดขึ้นหลังจากข้ามความเป็น ความตายมาหลายต่อหลายหน มองเห็นวิญญาณเผยหยวนที่โดนมัดด้วยโซ่เหล็กจากยมทูตหลายตน เห็นเช่นนั้นแล้วทำได้เพียงโคลงศีรษะ…
“ข้าควรสอนรั่วเวยให้จัดการกับผู้อื่นโดยใช้วิธีที่ไม่ถึงแก่ชีวิตดีหรือไม่…”
เมื่อเขามองไปทางนั้นอีกครั้งหนึ่ง วิญญาณของอีกฝ่ายก็จ้องมองมาทางเช่นกัน หนึ่งวิญญาณกับยมทูตอีกสองสามตน หันมาสบตาเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น แต่แล้วยมทูตเหล่านั้นถึงกลับหวาดกลัวประหนึ่งเห็นภูตผีที่น่ากลัวกว่า รีบลากวิญญาณของเผยหยวนหนีหายไปในอากาศทันที
ไป๋ชิวหรานเห็นเช่นนั้นแล้วไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ปล่อยให้วิญญาณของเผยหยวนถูกยมทูตพาจากไปตามครรลองที่ควรจะเป็น คราวนี้ศิษย์ของสำนักไป่เยว่ผู้นี้นับว่าสิ้นชีพในสภาพที่น่าสยดสยอง
แม้ว่าไป๋ชิวหรานจะไม่สนับสนุนการทำร้ายฆ่าฟันกันเองในมวลเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทว่าในโลกแห่งการฝึกตนแล้ว เรื่องน่าอนาถนี้ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้… ถังรั่วเวยเคยสังหารศิษย์สำนักไป่เยว่ไปหนึ่งคนตอนที่ถูกลอบโจมตีบนเรือครั้งก่อน กล่าวตามหลักแล้วอีกฝ่ายควรตระหนักได้ว่านางมากความสามารถเพียงใด
อีกทั้งก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น ถังรั่วเวยและจั่วเหยียนเฟยก็เอ่ยถึงชื่อสำนักของตน พร้อมกล่าวเตือนจนจบความไว้แล้ว ถังรั่วเวยยังเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าหากยังดึงดันต่อสู้กันโดยใช้กระบวนท่านี้ต่อไป ตนอาจตายด้วยน้ำมือนางได้ ทว่าศิษย์ของสำนักไป่เยว่กลับเลือกลงมือ เช่นนั้น จะกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของนางก็ไม่ได้เสียทีเดียว
เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรจากการที่คนคนหนึ่งกระโดดโลดเต้นไปมาต่อหน้าผู้อื่น ซ้ำยังตะโกนท้าทายว่า ‘มาสังหารข้าเร็วเข้า’ ซึ่งเมื่อคนผู้นี้ถูกสังหารเข้าจริง ก็คงไม่มีผู้ใดนึกเห็นอกเห็นใจ
ไป๋ชิวหรานไม่ลืมสังเกตศิษย์ที่เหลือซึ่งไล่ติดตามพวกนางไป คนที่ไล่ตามจั่วเหยียนเฟยอยู่เป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานระดับกลางกับผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานระดับปลาย ส่วนคนที่ไล่ตามถังรั่วเวยอีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานระดับสูงสุด อีกเพียงระดับเดียวเท่านั้นจะบรรลุเข้าสู่ ‘ขั้นแก่นเสมือน’ ห่างจากขั้นขอบเขตแกนทองคำเพียงก้าวเดียวเท่านั้น!
เมื่อบรรลุเข้าสู่ขั้นการฝึกตน พลังปราณแก่นแท้ของผู้ฝึกตนจะหลอมรวมเข้ากับกระแสลมปราณที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย ทั้งยังมีแนวโน้มจะแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยตนเอง ซึ่งผู้ฝึกตนเหล่านี้จะได้รับทักษะเฉพาะบางอย่างที่มีในตัวของผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นขอบเขตแกนทองคำคอยเสริมด้วย
ถึงอย่างไรก็ตาม ไป๋ชิวหรานก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับศิษย์สายตรงของตน ตราบใดที่นางยังอยู่ในขั้นสร้างรากฐาน ไม่ได้บรรลุเข้าสู่ระดับขั้นการฝึกตนอันยิ่งใหญ่ไปกว่าที่เป็นอยู่ ด้วยกระบวนท่าต่าง ๆ ที่เคยฝึกสอนแล้ว หากใช้ไหวพริบเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อย… ย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้แน่!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ไป๋ชิวหรานก็กวาดสายตามองสำรวจรูปปั้นหินรูปฮ่องเต้องค์ก่อนแห่งรัฐติ่งกั๋วเพียงผ่าน ๆ อย่างไม่ใส่ใจมากนัก จากนั้นจึงทรุดกายนั่งลงบนเชิงแท่นหินซึ่งอยู่ด้านใต้ของรูปปั้น
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เสียงลมหวีดหวิวพลันดังขึ้นจากบนฟากฟ้า หลายคนที่แต่งกายด้วยอาภรณ์คล้ายกันกับศิษย์สำนักไป่เยว่ก่อนหน้านี้ ต่างห้อมล้อมผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นขอบเขตแกนทองคำไว้ พวกเขาเหยียบอยู่บนกระบี่บินหลากสี ขณะค่อย ๆ ร่อนลงมาจากเบื้องบน
“ท่านอาจารย์ นี่คือสถานที่ซึ่งศิษย์พี่เผยชิงฉีกยันต์แจ้งข้อความส่งมาให้กับพวกเราขอรับ”
ศิษย์คนหนึ่งหันมองทั้งทางซ้าย ขวา จากนั้นจึงพบเข้ากับร่างไร้วิญญาณของเผยหยวนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดิน ข้างกันนั้นคือไป๋ชิวหรานที่นั่งอยู่บนแท่นหินใต้รูปปั้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“นั่นคือ… เผยหยวน? ท่านอาจารย์ เขาตายแล้ว!”
“ระงับจิตใจลงก่อนเถิด พวกเจ้าจัดการย้ายศพเผยหยวนออกไปเสีย”
ผู้ฝึกตนขั้นขอบเขตแกนทองคำที่เดินนำหน้าออกคำสั่ง จากนั้นจึงหันมองไปที่ไป๋ชิวหรานพร้อมเอ่ยถามเขาว่า
“สหายน้อย… บอกข้าได้หรือไม่ว่าชายผู้นี้ถูกใครสังหารกัน?”
หึ ถึงขั้นนี้ยังแสร้งทำทีสุภาพ
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดในใจ ยังคงเงยหน้าทอดสายตามองไกลไปยังท้องฟ้า ทำท่าทางหยิ่งยโสสองแสนแปดพันเหรียญ*[1]
“สวรรค์เท่านั้นที่ล่วงรู้ บางที่ผู้ที่สังหารเขาอาจเป็นข้าก็ได้”
“สหายน้อยล้อเล่นกันเสียแล้ว”
ผู้ฝึกตนชรายกมือข้างหนึ่งลูบเครา ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นไพล่หลังขณะกล่าวต่อไป
“ให้ตาแก่เช่นข้าลองเดาดู ก่อนหน้านี้เผยชิงรายงานว่าเผยชานตายด้วยน้ำมือของผู้ฝึกตนหญิงขั้นสร้างรากฐาน จากข้อมูลที่ทราบมา ครั้งนี้คดีของรัชทายาทแห่งติ่งกั๋ว ในบรรดาผู้ที่อาสาตามล่าฆาตกรเพื่อรับรางวัล มีกลุ่มหนึ่งเป็นหญิงสองหนึ่งชาย สองคนบรรลุขั้นสร้างรากฐาน ส่วนอีกคนหนึ่งบรรลุเพียงขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น ผู้ที่ฆ่าเผยหยวนคือศิษย์พี่หญิงของเจ้า ส่วนเผยชิงและคนอื่น ๆ ไม่ได้อยู่ที่นี่ เป็นเพราะไล่ติดตามพวกนางไป สหายน้อย… หากพวกเราจับตัวเจ้าไว้ ศิษย์พี่หญิงเจ้าเดือดร้อนเพียงใดกัน?”
“กล่าวได้ยากยิ่ง”
ไป๋ชิวหรานยักไหล่
“หากข้อเท็จจริงของคดียังไม่ปรากฏ ศิษย์พี่หญิงข้าไม่มีวันยอมรามือจากการตามสืบเป็นแน่แท้”
“เฮ้อ… กล่าวกันตามตรง ตามที่คาดการณ์ไว้ องค์ชายรัชทายาทแห่งรัฐติ่งกั๋วถูกศิษย์พี่ข้าร่ายคาถาทำลายหัวใจเข้าอย่างจัง ก่อนจะใส่ร้ายป้ายสีความผิดให้กับเจ้าอสูรจิ้งจอก… ด้วยวิธีนี้ สำนักไป่เยว่ไม่เพียงสนับสนุนให้องค์ชายอื่นมีโอกาสขึ้นครองราชย์ได้เท่านั้น แต่ยังควบคุมรัฐติ่งกั๋วจากเบื้องหลังได้ อีกทั้งยังเสาะหาข้ออ้างในการแก้แค้น จับอสูรเหล่านั้นมากลั่นเอาแกนผลึกไปการปรุงยาอีก ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว”
ผู้ฝึกตนชราถอนหายใจ
“แต่พวกเจ้ารู้แล้วอย่างไร? ต่อให้โน้มน้าวฮ่องเต้ชวีเผิงเปิดทรวงอกขององค์รัชทายาท จนกระทั่งหาสาเหตุการตายที่แท้จริงได้ ทว่าผู้ที่ตายด้วยคาถานี้ไม่มีทางพิสูจน์ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดจากฝีมือของผู้ใด… พวกเจ้าต่างมาจากสำนักที่มีชื่อเสียง ทว่าสำนักไม่ได้อยู่ที่นี่เสียหน่อย เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่บรรลุขั้นขอบเขตแกนทองคำ คงไม่อาจต่อกรใด ๆ ได้ทั้งสิ้น… แม้จะไม่อาจกำจัดพวกเจ้าได้โดยตรง หลังเหตุการณ์ผ่านไปสักระยะหนึ่ง เมื่อเรื่องคลี่คลายลงแล้ว… ค่อยให้ผู้อาวุโสจากสำนักเจ้ามารับตัวกลับไปยังไม่สาย ความแข็งแกร่งระหว่างเจ้ากับข้ายังห่างชั้นกันมากโข… สหายน้อย หากไม่ยอมดื่มจิ้งจิ่ว คงต้องให้ดื่มฝาจิ่วแทนแล้วกระมัง*[2]”
กล่าวจบแล้ว เขาจึงส่งสัญญาณให้ศิษย์ที่บรรลุขั้นสร้างรากฐานอีกกลุ่มหนึ่งตีวงล้อมรอบเข้ามา
“เฮ้อ ช้าก่อน”
ไป๋ชิวหรานยื่นมือออกไปเพื่อห้ามปราม
“เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ผู้ไม่เห็นเหตุการณ์ให้ล่วงรู้ชัด ข้าขออธิบายให้ชัดเจน ก่อนอื่น… ศิษย์พี่หญิงข้ามาจากสำนักกระบี่ชิงหมิง ส่วนพี่สาวอีกนางหนึ่งมาจากกองทัพเทพยุทธ์ พวกท่านควรคิดใคร่ครวญให้รอบคอบก่อนลงมือ อีกอย่างตัวข้าไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณธรรมดาสามัญ ไม่แน่ว่าศพที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นเป็นข้าเองที่สังหาร”
“เอาล่ะ สหายน้อย…หยุดพูดพล่ามเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้เสียที”
ผู้ฝึกตนชรามองไปยังร่างไร้วิญญาณของเผยหยวนก่อนกล่าวต่อไป
“คิดหรือว่าพวกเราจะเชื่อถือคำพูดของเจ้า? ดูจากศพเผยหยวนแล้ว ทวารทั้งเจ็ดแตกออกเป็นเสี่ยง จุดโจมตีเกิดขึ้นตรงบริเวณหน้าอก เห็นได้ชัดว่าถูกสังหารด้วยเคล็ดวิชาฝ่ามือที่โหดเหี้ยมรุนแรงยิ่ง นอกจากนี้ภายในร่างยังมีร่องรอยพลังปราณแก่นแท้ที่หนาแน่นหลงเหลืออยู่ ส่วนเจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนตัวน้อยเท่านั้น จะมากความสามารถถึงขั้นนั้นได้อย่างไร?”
[1] สองแสนแปดพันเหรียญ เป็นสุภาษิตเปรียบเทียบโดยอ้างอิงมาจากการเล่นไพ่นกกระจอก
[2] ความหมายโดยนัยคือ ในเมื่อเจรจาโดยดีแล้วไม่ยอมทำตาม ก็คงต้องใช้กำลังบังคับ จิ้งจิ่ว คือ เหล้าที่ใช้ดื่มอวยพร ส่วนฝาจิ่ว คือ เหล้าที่บังคับให้ดื่มเมื่อถูกปรับแพ้หรือทำโทษ
** มาแล้วผู้อ่านจ๋าาา เปิดนิยายให้อ่านฟรี กว่า 700 ตอน **
คัดสรรนิยาย 4 เรื่อง 4 แนว สุดฮิตมาให้อ่านกันตลอดช่วงซัมเมอร์นี้ ต้องรีบไปอ่านแล้ววว
⏰ ตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย – 18 เม.ย. นี้
ติดตามผลงานและข่าวสารจากเราได้ที่ เพจ EnjoyBook