บทที่ 49 บรรพชนกระบี่ชิงหมิง
ไม่ห่างจากรูปปั้นหินของฮ่องเต้องค์ก่อนแห่งติ่งกั๋ว ไป๋ชิวหรานสะบัดแขนเสื้อก่อนปรี่เข้าหาผู้ฝึกตนขอบเขตแกนทองคำที่โดนโจมตีจนสลบไป และเอื้อมมือคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นก่อนตบใบหน้าเรียกสติ
“นี่! ฟื้นขึ้นมาได้แล้ว!”
ใบหน้าของผู้ฝึกตนชราเต็มไปด้วยเลือด ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือ เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานอยู่ตรงหน้าก็ยิ่งตื่นตกใจหนักจนตื่นตัวในทันที ก่อนจะยกมือขึ้นโบกเอ่ยละล่ำละลัก
“ท่านผู้อาวุโส โปรดไว้ชีวิตด้วย!”
“หากข้าไม่ไว้ชีวิต เจ้าคงตายตกไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว… จะลืมตาขึ้นมาได้เช่นนี้อีกหรือ?”
ไป๋ชิวหรานยังคงคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายและเค้นความถามต่อไป
“ข้าขอถามเจ้า สำนักเจ้ายังมีศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งกำลังตามมาสมทบใช่หรือไม่?”
“ใช่ ใช่ ใช่!”
ผู้อาวุโสสำนักไป่เยว่รีบอ้อนวอนขอความเมตตา
“ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าจะเกลี้ยกล่อมพวกเขาให้ย้อนกลับไป พวกเราไม่ต้องการชีวิตเจ้าอสูรจิ้งจอกแล้ว สำนักไป่เยว่ไม่คิดก้าวก่ายอีก ขอมอบมันให้แก่ท่านผู้อาวุโส…”
“เลิกพล่ามเสียที!”
ไป๋ชิวหรานตั้งคำถามต่อไป
“คนจากสำนักเจ้าจะมาถึงจากทิศทางใด?”
“ข้า… ก่อนหน้านี้ได้นำบรรดาศิษย์ไปเฝ้ายามทางด้านทิศตะวันออก เจ้าสำนักประจำอยู่ทางทิศเหนือ ส่วนศิษย์น้องอีกคนประจำอยู่ทางทิศตะวันตก”
ผู้อาวุโสกล่าวตอบ
“พวกเขาอาจมาบรรจบพบกันตรงกลางทางจากทางทิศเหนือ”
“ประหลาดนัก”
ไป๋ชิวหรานปล่อยมือที่จับคอเสื้อของผู้อาวุโสชรา ก่อนหยัดกายลุกขึ้นยืนพร้อมตั้งข้อสังเกต
“ตามหลักแล้ว ศิษย์สำนักไป่เยว่เพิ่งจะส่งยันต์สื่อสารออกไปเมื่อครู่นี้ ซึ่งน่าจะได้รับสารขอความช่วยเหลือในเวลาไล่เลี่ยกัน เจ้ามาถึงที่นี่นานแล้ว เหตุใดพวกเขายังมาไม่ถึงอีก…”
“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่อาจล่วงรู้…”
ผู้อาวุโสเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ
ไป๋ชิวหรานทำเมินเฉยต่ออีกฝ่ายเสีย แล้วหลับตาลงพร้อมปลดปล่อยกระแสจิต แผ่รัศมีออกเป็นวงกว้างออกไปตามภูเขาติ่งเจียง จนเห็นภาพเถาวัลย์ที่เลื้อยคดปกคลุมไปทั่วทั้งขุนเขา
“ตายยากเสียจริง”
เขาลืมตาขึ้นพร้อมกล่าวพึมพำ
“นางอสูรผู้นั้นเสียสติไปแล้ว”
ไป๋ชิวหรานก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนเงยหน้าขึ้นตะโกนไปทางผู้อาวุโสสำนักไป่เยว่
“นี่ พวกเจ้า!”
“ยะ… อยู่ที่นี่แล้ว!”
ผู้อาวุโสรีบขานรับ
“เจ้าและเหล่าศิษย์จงอยู่ที่นี่ อย่าได้จากไปที่ใดทั้งนั้น และห้ามแตะต้องอสูรจิ้งจอกด้วย เข้าใจหรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานคว้าเอากระบี่ด้ามเหล็กธรรมดาสามัญเล่มหนึ่งออกมาจากถุงเก็บสมบัติพลางกวัดแกว่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
“เข้าใจแล้ว”
ผู้อาวุโสพยักหน้ารับเป็นมั่นเป็นเหมาะ
“ข้าจะไปสะสางธุระ ประเดี๋ยวจะกลับมา”
ว่าแล้วไป๋ชิวหรานก็โยนกระบี่เหล็กที่มีสภาพคงเหลืออยู่เพียงด้ามขึ้นไป ก่อนเหวี่ยงตัวขึ้นเหยียบแล้วเหาะทะยานขึ้นสูง พลันหายลับไปจากสายตาของผู้อาวุโส
…
อีกด้านหนึ่ง จั่วเหยียนเฟย ถังรั่วเวย และศิษย์สำนักไป่เยว่ต่างจ้องมองไปยังเถาวัลย์ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขาด้วยความประหลาดใจยิ่ง
“นะ… นี่เป็นอสุรกายระดับใดกัน?!”
จั่วเหยียนเฟยสูดลมหายใจเข้าลึก
“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่คงเป็นนางอสูรที่มีฤทธิ์มากกว่าเจ้าอสูรจิ้งจอกพวกนั้นแน่”
ถังรั่วเวยชำเลืองมองเผยต้าวและเผยชานแวบหนึ่ง
“ข้าเอาชนะอสูรวัยหนุ่มสาวกับวัยชรามานักต่อนัก เกรงว่าอสูรเฒ่าผู้นี้จะมีความสามารถเหนือกว่าที่พวกเจ้าคาดไว้เสียอีก”
เถาวัลย์ที่เลื้อยปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขากระเพื่อมไหวประหนึ่งหนวดเครา ทันใดนั้นมันก็คายสิ่งหนึ่งออกมาจากรอยแยกนั่น
ทั้งสี่เพ่งมองตรงหน้า ก่อนจะพบว่าเป็นท่อนแขนมนุษย์ที่ขาดเหลือเพียงฝ่ามือ ในมือถือด้ามธงบัญชาการสีทองอร่าม
“นะ… นั่นคือธงบัญชาการของท่านเจ้าสำนักนี่!”
สีหน้าของเผยชานตอนนี้ดำคล้ำเสียยิ่งกว่าขี้เถ้า
“เป็นไปได้อย่างไรกัน? ท่านเจ้าสำนัก…”
“อย่าใส่ใจเลยว่าผู้โชคร้ายคนนั้นมีฐานะเป็นถึงเจ้าสำนักหรือไม่”
จั่วเหยียนเฟยเผยรอยยิ้มจืดเจื่อน
“ตอนนี้ข้าคิดหาวิธีต่อกรไม่ออกแม้สักทาง เกรงว่าพวกเราอาจจะกลายเป็นผู้โชคร้ายลำดับต่อไปเสียเอง รั่วเวยเคล็ดวิชาการหลบซ่อนเร้นกายในผืนดินเจ้ายังมีประโยชน์ในยามนี้หรือไม่?”
ถังรั่วเวยลองเรียกใช้เคล็ดวิชา แต่แล้วกลับตอบด้วยความผิดหวัง
“ไม่ได้ ใต้ชั้นดินถูกผนึกไว้ด้วยพลังมหาศาลของอสูรตนนี้… อ๊ะ!”
“มีอะไรรึ?”
“ไม่นะ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเพิ่งฝังศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขาไว้ใต้ผืนดินนี้”
ถังรั่วเวยชำเลืองมองเผยชานและเผยต้าวอีกครั้งหนึ่ง
“ตอนนี้คง…”
สีหน้าศิษย์สำนักไป่เยว่ทั้งสองยิ่งบิดเบี้ยวราวกับถูกบังคับให้กลืนสิ่งปฏิกูลลงคอไป
“อย่ากังวลเรื่องนั้นไปเลย”
จั่วเหยียนเฟยกล่าว
“ระวัง! มันคืบคลานมาทางนี้แล้ว!”
ทั่วทั้งภูเขาสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ชั้นดินแตกกระจายราวกับคลื่นลูกใหญ่ เถาวัลย์จำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากใต้ดิน ถักทอเป็นตาข่ายขนาดใหญ่เลื่อนเข้าปกคลุมเหนือร่างของจั่วเหยียนเฟย ถังรั่วเวย และคนอื่น ๆ
ไม่ว่าจะเป็นหอกยาวของจั่วเหยียนเฟย หรือกระบี่บินคุนหมิงของถังรั่วเวย เมื่อเผชิญหน้ากับตาข่ายเถาวัลย์นี้ล้วนแต่มีสถานะไม่ต่างอะไรไปจากมดปลวกตัวเล็กที่ไร้ซึ่งประโยชน์ใด ๆ
ขณะที่ทั้งสี่กำลังจะโดนตาข่ายเถาวัลย์กลืนกิน ปราณกระบี่พลันปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า แสงสว่างวาบพุ่งตัดผ่านก่อนจะก่อตัวกลายเป็นเมฆทรงกระบี่ที่ทอดยาวหลายสิบลี้ พุ่งทะยานมาทางพวกเขาท่ามกลางความมืดมิดของชั้นบรรยากาศ ก่อนตกลงสู่เบื้องหน้า ทำให้ตาข่ายเถาวัลย์ขนาดใหญ่ รวมถึงเถาวัลย์ที่เลื้อยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงขาดกระจุยจนไม่เหลือชิ้นดี
เถาวัลย์ที่ได้รับความเสียหายหดขนาดเล็กลง จากนั้นสุ้มเสียงอันเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้นก็ดังเกรี้ยวกราดออกมาจากกลุ่มเถาวัลย์สีเขียวมรกตนั่น
“บรรพชนชิงหมิง!”
“ข้าคงไม่อาจหาญรับคำสรรเสริญ เป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณธรรมดาสามัญเท่านั้น”
เงาร่างสีขาวปรากฏขึ้นตรงหน้าคนทั้งสี่ ก่อนที่ทุกคนจะทันได้สติรู้ตัว เรือนผมสีขาว คิ้วขาวราวหิมะกลับสยายออกสู่สายตา พร้อมกับอาภรณ์ที่โบกสะบัดปลิวว่อน ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไป๋ชิวหราน!
“อะไรกัน!?”
จั่วเหยียนเฟยถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
“ศิษย์น้องไป๋ชิวหราน!”
“แท้จริงแล้วเขาไม่ใช่ศิษย์น้อง ทว่าเป็นท่านอาจารย์ของข้า”
ถังรั่วเวยคว้าข้อมือของจั่วเหยียนเฟยก่อนกล่าวกำชับ
“ไปกันเถอะพี่จั่ว พวกเราควรหลบหนีออกให้ห่างจากที่นี่ ปล่อยให้ท่านอาจารย์รับช่วงต่อเอง”
จั่วเหยียนเฟยหันมองไป๋ชิวหรานอีกครั้งอย่างไม่เชื่อสายตา ฉับพลันกลับทำท่าทางราวกับนึกอะไรขึ้นได้ นึกอยากถามแต่ก็ต้องระงับความข้องใจนั้นไว้ก่อน หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินตามถังรั่วเวยไปหลบซ่อนอยู่ในระยะไกล ส่วนเผยชานและเผยต้าวหันมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนรีบสาวเท้าติดตามสตรีสองนางไปทันที
เมื่อได้ยินศิษย์สายตรงกล่าวเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวกับเถาวัลย์ที่เลื้อยปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขาว่า
“ไม่พบเจอเจ้านานทีเดียว… ชุ่ยหลัว”
“ใช่แล้ว ไม่ได้พบเจ้าเสียนาน!”
หญิงสาวนางนั้นเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น
“สองพันปีที่ผ่านมานี้ ข้าครุ่นคิดตลอดทั้งวันคืนว่าจะฉีกหน้าเจ้าให้แหลกละเอียดเป็นจุณอย่างไรดี!”
“อืม…”
ไป๋ชิวหรานลูบคางพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าเข้มงวดจริงจัง
“เช่นนั้นจะลองดูหรือไม่? เดี๋ยวนี้เลย บอกตามตรงว่าพลังของข้าค่อนข้างถดถอยพอสมควร ดังนั้นจะออกแรงต่อกรกับเจ้าด้วยพลังปราณหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น นับเป็นโอกาสอันดีเชียวล่ะ”
“หึ”
หญิงสาวแค่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา
“คิดว่าข้าจะหลงคารมเจ้ารึ?! ท่ามกลางสงครามเมื่อสองพันปีก่อน อสูรเผ่ามารกี่ตนที่ต้องสิ้นชีพลงภายใต้กลลวงของบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง?”
“เฮ้อ”
ไป๋ชิวหรานโบกมือ
“คำพูดที่เอื้อนเอ่ยออกจากปากของไป๋ชิวหรานผู้นี้ล้วนมีความจริงใจ ทว่าอสูรเผ่ามารกลับไม่เชื่อถือ แล้วก้าวเหยียบลงไปในกับดักด้วยตนเองทั้งสิ้น ไม่ว่าหนทางใดข้าก็ไม่อาจยื้อชีวิตของพวกเขาให้กลับคืนมาได้”
เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ
“แต่ครั้งนี้ไม่ได้โกหกแต่อย่างใด ข้าใช้พลังทั้งหมดเพื่อฝึกตนให้บรรลุไปได้อีกหนึ่งระดับ ทว่ายังไม่อาจบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานได้แต่อย่างใด พลังที่แสดงออกมาได้ในตอนนี้นั้นน้อยกว่าหนึ่งในสิบส่วนอย่างแท้จริง!”
ไป๋ชิวหรานมองตรงไปอย่างไร้ทิศทางด้วยสีหน้าท่าทางที่พร้อมยั่วยุโทสะ
“เช่นนั้นแล้วเจ้าจะลองทำตามใจปรารถนาหรือไม่?”
“ฮึ่ม!”
หญิงสาวนางนั้นแค่นเสียงหัวเราะแผ่วเบา ก่อนจะเปล่งเสียงแข็งกร้าวดังลั่น
“คิดว่าข้าไม่กล้างั้นรึ?!”
สิ้นเสียงกรีดร้อง เถาวัลย์ที่เลื้อยปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขาก็พากันลุกชันขึ้น ภูเขาที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงปริออกเผยให้เห็นเถาวัลย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายใน ผืนดินไม่ไกลกันถูกอสูรตนนี้พลิกตลบเนื้อในออกมาจนมองเห็นเปลือกหอยจำนวนมหาศาล เถาวัลย์ถือกำเนิดขึ้นจากเปลือกหอยเหล่านี้ ก่อนจะก่อตัวเป็นร่างยักษ์สูงตระหง่านค้ำฟ้า พร้อมส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด หมัดเถาวัลย์แน่นทึบทุ่มแรงทั้งหมดเหวี่ยงชกไปที่ไป๋ชิวหราน