บทที่ 56 แผ่นหินจารึก
ถังรั่วเวยหยิบจี้หยกออกมาแสดงต่อหน้าศิษย์นอกสำนักกระบี่ชิงหมิงทั้งสองคน เมื่อเห็นดังนั้น ทั้งสองจึงปล่อยนางให้เดินเข้าไปภายในสำนักด้วยท่าทีนอบน้อมให้เกียรติ นางเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางบนภูเขา รับภารกิจที่สองจากทางสำนัก ก่อนมุ่งตรงไปยังห้องโถงใหญ่ซึ่งอยู่ในจุดที่สูงที่สุดของยอดเขา
เดินไปได้ครึ่งทางเท่านั้น ห้วงความคิดก็ปรากฏภาพนิมิตขึ้นมา เป็นร่างเงาของเทพปีศาจที่ยืนตระหง่านอยู่บนท้องฟ้า บรรยากาศโดยรอบนั้นอยู่ภายใต้เมฆฝน สายฟ้า และกระแสพายุที่หมุนวนเป็นเกลียว มีรูปร่างสามหัวหกแขน สีหน้าดุร้าย ทุกหัวล้วนมีเขางอกออกมาจากหน้าผากทั้งสองข้าง ในมือแต่ละข้างถือกระบี่ไว้หนึ่งเล่ม
เทพปีศาจตนนั้นเปล่งเสียงคำรามออกมา พร้อมกับแผ่พลังอันไร้ที่เปรียบกระจายออก สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสำนักกระบี่ชิงหมิงจนผู้คนอกสั่นขวัญแขวน
แน่นอนว่าถังรั่วเวยเป็นหนึ่งในผู้ที่ตื่นตระหนกกับภาพนิมิตนั้นเช่นกัน แต่เมื่อสังเกตให้ดี จึงเห็นว่าใต้ฝ่าเท้าของเทพปีศาจตนนั้นคือยอดเขาชีซิงที่ไป๋ชิวหรานพำนักอยู่ รู้ดังนั้นแล้วหญิงสาวจึงกลับมาสงบจิตใจให้นิ่งอีกครั้ง
เป็นไปตามที่นางคาดการณ์ไว้ เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา ปราณกระบี่อันไร้ที่เปรียบพลันพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ประหนึ่งแส้ที่ฟาดลงเหนือศีรษะของเทพปีศาจจากบนลงล่าง กระทั่งเงาอันเป็นภาพมายาแตกสลายไป กลุ่มเมฆทะมึนเกิดเสียงระเบิดดังกัมปนาท พร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้พ่ายแพ้
ถังรั่วเวยถอนสายตากลับมา ก่อนเดินขึ้นไปยังหอตำราส่วนตัวของเจ้าสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ
“โอ้ อาจารย์ป้ารั่วเวยกลับมาแล้ว”
ขณะนั้นเจวี๋ยอวิ๋นจื่อกำลังสะสางภาระงานตรงหน้าอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นกิจวัตรที่พบเห็นได้ยากยิ่ง เมื่อเห็นว่าถังรั่วเวยกลับมาแล้ว เขาจึงวางพู่กันในมือลงพร้อมเผยรอยยิ้มต้อนรับ
“ท่านเจ้าสำนัก ศิษย์ถังรั่วเวยกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่เป็นถึงท่านเจ้าสำนัก ถังรั่วเวยย่อมไม่แสดงท่าทีหยิ่งทะนงแต่อย่างใด ยังคงปฏิบัติตามมารยาทอันพึงกระทำ ประสานมือคารวะเจวี๋ยอวิ๋นจื่อพร้อมโค้งกายคำนับเล็กน้อย
“อาจารย์ป้ารั่วเวยลำบากมากแล้ว ดูเหมือนว่าพลังบำเพ็ญเพียรจะยิ่งก้าวหน้าขึ้นอีก”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อสำรวจมองถังรั่วเวยตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ข้าคาดว่าอีกไม่นานนี้ อาจารย์ป้าคงบรรลุผ่านระดับการฝึกตนอีกขั้นหนึ่งเป็นแน่แท้”
“ถึงอย่างไรความสามารถของข้านับว่ายังห่างไกลจากความสามารถของท่านอาจารย์มากนัก”
ถังรั่วเวยถอนหายใจ
“อย่ารีบร้อน อย่ารีบร้อน ความสามารถของเราตามหลังเขาเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อยิ้มปลอบใจพลางโบกมือ ก่อนเอ่ยถามต่อไปว่า
“แล้วข้อมูลแผนที่ที่ข้าต้องการเล่า?”
“อยู่นี่แล้วเจ้าค่ะ”
ถังรั่วเวยล้วงเอาม้วนกระดาษที่ผูกไว้ด้วยเชือกแพรออกมาจากแขนเสื้อ
“โชคดีเหลือเกินที่ยังสมบูรณ์แบบ”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเอื้อมมือไปรับม้วนกระดาษนั้นมาพร้อมพยักหน้า
“อาจารย์ป้าทำได้ดีทีเดียว จากข้อมูลการสำรวจ สำนักขนาดเล็กเหล่านี้ลอบกระทำการลับหลังอย่างแท้จริง พวกเขาลอบวางแผนการบางอย่างอยู่ นี่คือวัฏจักรพลังงานค่ายกล… สิ่งที่เจ้าได้เรียนรู้เพิ่มพูนประสบการณ์ค่อนข้างแข็งแกร่งมากทีเดียว ต้องขอบคุณเจ้าแล้วที่ช่วยเหลือข้าในการเดินทางครั้งนี้”
“ท่านเจ้าสำนักกล่าวหนักเกินไป ข้าเป็นเพียงศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิงเท่านั้น”
ถังรั่วเวยเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
หลังเดินทางลงจากภูเขาเป็นหนแรก บางทีอาจเป็นเพราะซูเซียงเสวี่ยกับจั่วเหยียนเฟยที่ช่วยกระตุ้นจิตสำนึกให้ หรือบางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกว่าตนเองจะพลั้งมือสังหารผู้คนอีกหากไร้ซึ่งความรู้ความเข้าใจในกระบวนท่าอื่น นอกจากสิ่งที่ไป๋ชิวหรานอบรมสอนสั่งให้แล้ว ถังรั่วเวยตั้งใจว่าจะเริ่มศึกษาร่ำเรียน เพิ่มพูนความรู้อื่น ๆ ภายในสำนักกระบี่ชิงหมิงด้วยตนเอง
ในฐานะอดีตองค์หญิง ถังรั่วเวยภาคภูมิในเกียรติยศของตนเองพอสมควร มีความปรารถนาว่าสักวันหนึ่งจะได้รับการยอมรับจากไป๋ชิวหรานและสำนักกระบี่ชิงหมิง ทว่าก็ตระหนักดีว่าการจะไล่ตามความสามารถของไป๋ชิวหรานในแง่ของระดับขั้นการฝึกตนนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ไม่ว่าพรสวรรค์ของตนจะประเสริฐเลิศล้ำเพียงใด นางและไป๋ชิวหรานก็ถือว่ามีประสบการณ์ที่ห่างชั้นกันมากถึงสามพันปี!
ดังนั้นหญิงสาวจึงเริ่มเสาะหาสถานที่ซึ่งสามารถฝึกฝนได้ ส่วนการสร้างแผนที่ในครั้งนี้ขึ้นมาถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่อาจจะทำให้ค้นพบอะไรใหม่ ๆ ก็เป็นได้
การสำรวจเพื่อทำแผนที่ เป็นการรวบรวมข้อมูลและบันทึกทุกสิ่งอย่างที่สามารถอธิบายได้จากข้อมูลการสำรวจในอัตราส่วนที่สะดวกต่อการค้นคว้าทางทฤษฎี ไม่ว่าจะเป็นความแม่นยำในทักษะพลังงาน ความถี่ของปราณพลังงานด้านต่าง ๆ วัฏจักรพลังงานค่ายกล หรือความเข้มข้นของพลังงานที่ใช้ในการเล่นแร่แปรธาตุ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการทำแผนที่เพื่อบันทึกข้อมูล รื้อฟื้นองค์ความรู้ และทำการศึกษาให้ถ่องแท้มากยิ่งขึ้น
หากกล่าวถึงความแข็งแกร่งของค่ายกล ทักษะกระบวนกระบี่ หรือหลอมกลั่นโอสถ ถังรั่วเวยรู้ดีว่าตนไม่มีทางควบม้าห้อตะบึงไล่ตามไป๋ชิวหรานทันแน่ แต่เมื่อกล่าวถึงการสำรวจเพื่อจัดทำแผนที่เช่นนี้ขึ้น ต่อให้ไป๋ชิวหรานทำขึ้นด้วยตนเองได้ เกรงว่าคนของสำนักกระบี่ชิงหมิงคงไม่มีความกล้าพอที่จะรบกวนท่านอาจารย์ลุงให้ช่วยทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้
หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาระยะหนึ่ง เวลานี้นางได้เรียนรู้อะไรมามากมายเชียวล่ะ อีกทั้งยังมีข้อมูลแผนที่ลับซึ่งเจวี๋ยอวิ๋นจื่อมอบหมายอีกด้วย!
“วันนี้รบกวนอาจารย์ป้ารั่วเวยมากแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเก็บม้วนแผนที่ไว้ในลิ้นชัก ขณะเดียวกันก็หันไปกล่าวกับถังรั่วเวยว่า
“ตอนนี้ท่านอาจารย์ลุงอยู่ที่ยอดเขาชีซิงแล้วเช่นกัน”
“อืม”
ถังรั่วเวยพยักหน้า นางเดินไปถึงหน้าประตูแต่แล้วกลับหยุดชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยถาม
“ท่านเจ้าสำนัก ครู่นี้ข้าเพิ่งเดินลัดเลาะไปตามแนวสันเขา เห็นภาพนิมิตเป็นเงาของเทพปีศาจอยู่เหนือยอดเขาชีซิง เขาเป็นใครกันที่กำลังสู้กับท่านอาจารย์อยู่?”
“อ๋อ เอ่อ… เรื่องนั้นอาจารย์ป้าอย่าได้ใส่ใจเลย”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อแปรเปลี่ยนสีหน้าและท่าทีไปจากเดิมทันที
“เขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนสายมารที่สมองได้รับความกระทบกระเทือน อยู่ดีไม่ว่าดีกลับมาขอให้ผู้อื่นทุบตีตนเท่านั้น ป่านนี้ท่านอาจารย์ลุงคงจัดการสั่งสอนเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
…
“กระบวนกระบี่ของเจ้าพัฒนาขึ้นมากทีเดียว”
ไป๋ชิวหรานโยนท่อนไม้ในมือทิ้งไป ก่อนจะหันมองไปทางหวงฝู่เฟิงที่นอนสิ้นสภาพอยู่ในหลุมลึก
ท่าทางของหวงฝู่เฟิงในยามนี้ ดูเหมือนเพิ่งจะตระหนักรู้และเข้าใจถึงบทเรียนอันใหญ่หลวงหลังผ่านพ้นความสับสนในช่วงระหว่างความเป็นกับความตาย ในฐานะผู้นำแห่งสำนักอสูรสวรรค์ กลับรู้สึกเหมือนตนเองเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ตรัสรู้สัจธรรมอย่างแจ่มแจ้ง ก่อนจะทอดสายตาเหม่อมองไปบนท้องฟ้าเป็นเวลานาน จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่กล่าวถึงเรื่องนี้ แต่เห็นทีคงไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณแล้วเป็นแน่แท้ หรือท่านบุกเบิกระดับขั้นการฝึกตนแขนงใหม่ได้รึ?”
“เหลวไหลน่า”
ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หากเป็นเช่นนั้นจริง คงข้ามผ่านความทรมานจากทัณฑ์สวรรค์ไปนานแล้ว มีชีวิตอยู่มาตั้งนาน ไม่เห็นอสนีบาตจะฟาดฟันใส่ร่างแม้แต่น้อย ฮ่าฮ่าแม้แต่สวรรค์ยังคิดว่าเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณกระจอกงอกง่อย แทนที่เจ้าจะกังวลเรื่องข้า นึกหวนคำนึงถึงตนเองไม่เป็นการดีกว่ารึ หลังจากยุครุ่งเรืองในหน้าประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ใช้ปฏิทินเป็นเครื่องนับเวลา เจ้าคงเป็นผู้ฝึกตนสายมารคนแรกที่เอาชนะภัยพิบัติจากทัณฑ์สวรรค์มาได้”
“ฮ่าฮ่า นั่นหมายความว่าข้าเป็นผู้โชคดียิ่งรึ!”
หวงฝู่เฟิงระเบิดเสียงหัวเราะลั่น
“แม้แต่เทพเซียนยังไม่อยากจะพรากชีวิตข้าไป”
“คงเป็นเพราะเจ้ากระทำความผิดบาปเพียงเล็กน้อย ถึงได้รับทัณฑ์สวรรค์ที่ไม่ค่อยรุนแรงเท่าที่ควรจะเป็นน่ะสิ”
ไป๋ชิวหรานกล่าวอย่างไม่แยแส
“หากก่อนหน้านี้กระทำการชั่วช้าสามานย์ทุกประเภท คงไม่อาจเอาตัวรอดให้ผ่านพ้นความทรมานจากทัณฑ์สวรรค์ไปได้ วันนั้นข้าอาจไม่ยอมรับเจ้า แต่วันนี้ข้ายอมรับแล้ว”
“อืม”
หวงฝู่เฟิงหยัดกายลุกขึ้นจากหลุมยักษ์ ก่อนจะสัมผัสลูบไล้ไปตามร่างกายที่ยังคงปวดเมื่อยจากการโจมตีกลับอันน่าขยาดกลัวเมื่อครู่
“ข้าเชื่อเรื่องดังกล่าว”
“เจ้าลองพูดมาซิ”
ไป๋ชิวหรานหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยถาม
“เจ้าเคยคิดไว้หรือไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหนหลังจากผ่านพ้นยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์? เพราะดูเหมือนว่าจะไม่มีบันทึกในทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับผู้ฝึกตนสายมารที่สามารถทะยานขึ้นสู่โลกเซียนเลย”
“อ๊ะ! จริงสิ ซูเซียงเสวี่ยกำชับให้บอกเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟังให้จงได้ ที่จริงแล้วขณะข้าพยายามข้ามผ่านความหายนะแห่งห้วงนิพพานในเขตแดนรกร้างว่างเปล่า กลับค้นพบความลับบางอย่างที่ถูกฝังอยู่ภายใต้แดนรกร้างแห่งนั้นโดยบังเอิญ”
หวงฝู่เฟิงรีบลุกขึ้นยืนอย่างกระตือรือร้น
“ข้ายอมรับคำแนะนำจากนางจึงมาพบท่านในครั้งนี้ เพราะคิดว่าความลับดังกล่าวอาจช่วยให้ท่านบรรลุเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานก็เป็นได้”
“งั้นหรือ? ความลับอันใดกัน?”
เมื่อได้ยินว่ามีหนทางที่ตนจะสามารถฝึกฝนจนบรรลุเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานได้ ไป๋ชิวหรานจึงรีบถามกลับอย่างไม่รอช้า
“ครั้งนี้ข้าเข้าไปภายในวิหารบนหุบเขาต้วนหุนในแดนรกร้างเพื่อเตรียมตั้งรับทัณฑ์สวรรค์ ขณะที่คลื่นกระแสปราณกระบี่และอสนีบาตพุ่งเข้าปะทะกัน จนเกิดหลุมระเบิดใหญ่ขึ้นตรงบริเวณริมแม่น้ำต้วนหุน โชคชะตาอำนวยพรให้ข้า ภายในหลุมนั้นปรากฏแผ่นหินจารึกฝังอยู่”
หวงฝู่เฟิงล้วงหยิบม้วนกระดาษออกมาจากแขนเสื้อ
“ข้าอ่านแล้วไม่เข้าใจเนื้อความที่จารึกไว้บนแผ่นหินหรอก ทว่าคัดลอกเนื้อความทั้งหมดลงในม้วนกระดาษครบถ้วนแล้ว”