ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 76 ขั้นกลั่นลมปราณไม่มีขั้นวิญญาณแท้จริง หากเจ้าไม่รู้เ

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 76 ขั้นกลั่นลมปราณไม่มีขั้นวิญญาณแท้จริง หากเจ้าไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่แปลก

ตกกลางคืน ไป๋ชิวหรานเพิ่งปรึกษาหารือกับตัวแทนจากสำนักอื่น ๆ เสร็จสิ้นแล้วกำลังจะกลับไปที่ห้องส่วนตัวเพื่อพักผ่อน ทันใดนั้นก็พลันสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่ที่ได้ทิ้งไว้ในเมืองโบราณ

“เอ๊ะ?”

เขารีบเดินไปที่โต๊ะและกางแผนที่ออกเพื่อทำการตรวจสอบ ตามความรู้สึกที่สัมผัสได้ ก่อนจะพบตำแหน่งโดยประมาณของเมืองโบราณบนแผนที่

“ครั้งนี้การปรากฏตัวของมันค่อนข้างเร็วทีเดียว อีกทั้งวิถีการเคลื่อนที่ยังแปรเปลี่ยนไปจากเดิม”

เขาทำเครื่องหมายตำแหน่งใหม่ไว้บนแผนที่ จากนั้นจึงหยิบแผนที่ขึ้นมาเพื่อเตรียมแจ้งเรื่องดังกล่าวให้ผู้อื่นทราบโดยทั่วกัน

หลังจากเดินวนไปมาอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มได้บอกกล่าวข่าวนี้ให้กับกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและฝ่ายมาร แต่กลับไม่พบเยว่เชียนเหลียนแห่งสำนักเทียนอวี้ ไป๋ชิวหรานจึงถามไถ่จากศิษย์ของสำนักเทียนอวี้

“เจ้าสำนักเยว่อยู่ที่ไหน?”

“หลังจากเจ้าสำนักเยว่กลับมาได้ไม่นาน เขาก็ไปยังโรงหลอมเหล็กเทียนอวี้ คาดเดาว่าต้องการสร้างศาสตราแห่งเต๋า”

ศิษย์สำนักเทียนอวี้กล่าวตอบไป๋ชิวหรานด้วยท่าทางนอบน้อม

“หากท่านผู้อาวุโสต้องการพบเขา ท่านต้องรอต่อไปอีกประมาณสองถึงสามวัน ทันทีที่ท่านเจ้าสำนักออกมาจากโรงหลอม ข้าจะแจ้งให้ทราบโดยทันที”

ไป๋ชิวหรานนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง

เขตเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินนั้นกว้างใหญ่ไพศาล แม้แต่ตัวเขาก็ไม่สามารถเดินทางไปยังเมืองโบราณซึ่งปรากฏขึ้นภายในชั่วอึดใจเดียว ทว่าสำหรับแผนการในวันนี้ คงต้องรอให้เชวียหลิงส่งกลไกการทำงานของเมืองโบราณแห่งนี้มาให้เสียก่อน จึงจะหาหนทางหยุดยั้งมันจากวงโคจรได้

เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วจึงหันไปกล่าวกับศิษย์สำนักเทียนอวี้

“เอาเถิด เช่นนั้นข้าจะรอต่อไปอีกสักสองถึงสามวัน เพื่อจะได้เห็นว่าชายผู้นี้กำลังยุ่งเหยิงอยู่กับสิ่งใดในการเปลี่ยนแปลงวิถีของเขากันแน่?”

ชายหนุ่มกลับไปยังห้องส่วนตัว เริ่มใช้กระแสจิตในการสัมผัสรู้และบันทึกวงโคจรที่เปลี่ยนแปลงไปของเมืองโบราณ หลังจากการเปลี่ยนแปลงวงโคจรครั้งนี้ ระยะการเคลื่อนที่ของเมืองโบราณเริ่มจำกัดอยู่เพียงสี่รัฐใหญ่ซึ่งมีพรมแดนติดต่อกัน ได้แก่ ชิงโจว กู่โจว หลินโจว และเหลียงโจว อาจเป็นเพราะระยะทางในการเคลื่อนที่สั้นลง ความถี่ที่เมืองโบราณนับตั้งแต่อันตรธานหายไปก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งจึงมีช่วงเวลาที่สั้นลง เหลือเพียงวันละหนึ่งครั้ง

ไม่กี่วันต่อมา แผนที่ของไป๋ชิวหรานเกิดสถานที่แห่งใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหลายจุด หนึ่งในนั้นคือเมืองขนาดเล็กบนภูเขาซึ่งเป็นเมืองที่ผู้คนอาศัยอยู่อย่างพลุกพล่าน ในขณะที่บางแห่งเป็นถิ่นทุรกันดารไร้มนุษย์อยู่อาศัย แม้ว่าเมืองโบราณแห่งนี้จะเปลี่ยนเส้นทางโคจร ทว่าจุดประสงค์เดิมไม่ได้แปรเปลี่ยนแต่อย่างใด มันต้องการปลุกบางสิ่งที่กำลังหลับใหลอยู่ภายในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินให้ตื่นขึ้น!

หลังจากจุดเคลื่อนที่บนแผนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไป๋ชิวหรานเริ่มแจ่มแจ้งถึงวิถีการเคลื่อนที่ของมัน

กลางดึก ขณะที่ไป๋ชิวหรานกำลังขีดเขียนจรดพู่กันอยู่ ทันใดนั้นกระแสลมหนาวกลับพัดเข้ามาขัดจังหวะความคิดที่ลื่นไหล

สายลมกระโชกแรงพัดผ่านผ้าม่านในห้อง ทำให้เกิดเสียงกระทบกันอย่างแผ่วเบา ในสายลมดังกล่าวมีกลิ่นอายแห่งความตายแทรกอยู่

ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ พร้อมวางพู่กันในมือลง

“ถึงแม้เจ้าจะเป็นภูตผี แต่ตอนที่เข้ามารบกวน…ช่วยเคาะประตูก่อนได้หรือไม่?”

“ไม่จำเป็น วิญญาณจากยมโลกไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทกับคนบนโลกมนุษย์”

ร่างของเชวียหลิงปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ก่อนจะโยนม้วนกระดาษใส่มือไป๋ชิวหราน

“นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายในยุคของเซียนปฐพี”

“ขอบคุณเจ้ายิ่งนัก หญิงสาวของเจ้าไม่ติดตามมาด้วยหรอกหรือ?”

ไป๋ชิวหรานรับมันมา ก่อนหันไปหยิบกระดาษเปล่าออกมาวางไว้ แล้วคัดลอกเนื้อหาลงบนแผ่นกระดาษที่ว่างเปล่า จากนั้นก็ม้วนเก็บกระดาษที่คัดลอกเนื้อความออกมาครบถ้วนแล้วใส่ไว้ในถุงเก็บสมบัติส่วนตัว เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงส่งคืนม้วนกระดาษเดิมให้กับเชวียหลิง

“นางช่วยข้าคุ้มกันยมโลก…นี่ถือเป็นข้อแลกเปลี่ยน เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณ เพียงช่วยตามจับดวงวิญญาณของเซียนปฐพีเหล่านั้นให้ได้ก็เพียงพอแล้ว”

ว่าแล้วเชวียหลิงกวาดสายตามองแผนที่ซึ่งอยู่บนโต๊ะของไป๋ชิวหราน

“เจ้ากำลังวาดเขียนสิ่งใด?”

“ข้ากำลังคาดคะเนเส้นทางการเคลื่อนที่แบบใหม่ของเจ้าหมอนั่น”

ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ

“หลังจากถูกข้าทำให้ตื่นตระหนกวันนั้น เขาก็เปลี่ยนแปลงวิถีการโคจรของเมืองโบราณทันที…เกรงว่าอาจต้องการปลุกสิ่งบางสิ่งจากยุคโบราณให้สำเร็จ”

เชวียหลิงสำรวจมองมันอีกครั้งก่อนกล่าวออกไป

“บางทีข้าอาจจะพอรู้ว่ามันเคลื่อนที่อย่างไร”

“หืม?”

ไป๋ชิวหรานรีบถามกลับ

“มันเคลื่อนที่อย่างไร?”

เชวียหลิงหยิบพู่กันบนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจรดปลายลงวงกลมบางจุดบนแผนที่

“นี่คือค่ายกลที่นิยมใช้กันอย่างดาษดื่นในสมัยก่อน ไม่นับว่าซับซ้อนแต่อย่างใด ในยมโลกยังใช้สืบมาจนปัจจุบัน หลักการคล้ายกับกุญแจ ทว่าเมื่อเวลาล่วงมาถึงยุคของพวกเจ้ามันกลับสาบสูญไปแล้ว ดูจากตำแหน่งของค่ายกลนี้ ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องการปลดปล่อยควรจะอยู่ที่นี่”

ไป๋ชิวหรานมองไปยังสถานที่ที่เชวียหลิงจรดพู่กันวงกลมไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า

“สถานที่แห่งนี้คือ… เมืองหลวงของรัฐซ่างหลิงที่แยกตัวออกมาจากรัฐชิงโจวหรอกรึ?”

“เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ คนรุ่นหลังในยุคสมัยนี้มักจะสร้างอารยธรรมขึ้นมาใหม่เหนือซากปรักหักพังของยุคก่อน”

เชวียหลิงโยนพู่กันลงบนโต๊ะ พร้อมกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

“เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน”

“ช้าก่อน!”

ไป๋ชิวหรานรีบรั้งไว้

“เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเซียนปฐพีช่วงชิงดวงวิญญาณของเยว่เชียนเหรินไปอย่างไร? ในเมื่อสามารถยืนยันได้ว่าจิตวิญญาณแรกกำเนิดของเขายังคงอยู่”

“เจ้าต้องรู้ก่อนว่า…แม้ผู้ฝึกฝนตนจะมีจิตวิญญาณที่ควบแน่น แต่ไม่ได้หมายความว่าสามจิตเจ็ดวิญญาณจะแปรสภาพเป็นวิญญาณแรกกำเนิดเสมอไป แต่จิตสำนึกแก่นแท้ซึ่งปกคลุมอยู่เหนือสามจิตเจ็ดวิญญาณต่างหาก ถึงจะแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นวิญญาณแรกกำเนิด…”

เชวียหลิงกล่าวพลางเหลือบมองไปยังไป๋ชิวหราน ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะเย้ยหยัน

“อ้อ ข้าเกือบลืมไปเสียสนิทว่าผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณไม่มีวิญญาณแท้จริงแต่อย่างใด… หากเจ้าไม่ล่วงรู้เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลก”

น้ำเสียงของไป๋ชิวหรานพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา

“ปีนี้เจ้าคงไม่อยากสร้างผลงานแล้วใช่หรือไม่?”

เชวียหลิงเพียงเบือนหน้าหนี หลีกเลี่ยงการตอบในประเด็นดังกล่าว

“เท่านี้แหละ ข้าต้องกลับไปแล้ว”

ก่อนที่อารมณ์โทสะของไป๋ชิวหรานจะกำเริบเสิบสาน อีกฝ่ายก็พลันรีบฉวยโอกาสก้าวเข้าไปในความว่างเปล่าและหายตัวไป

“บ้าเอ๊ย! เป็นเพียงยมทูตกลับมีนิสัยหยิ่งยโสถึงเพียงนี้

ไป๋ชิวหรานสบถเสียงต่ำก่อนละสายตากลับมาสำรวจมองแผนที่

“แต่…วิญญาณ? นั่นหมายความว่าสามจิตเจ็ดวิญญาณของเยว่เชียนเหรินถูกเซียนปฐพียึดครองโดยสมบูรณ์แล้ว เซียนปฐพีช่างมีฝีมือที่น่าอัศจรรย์เสียจริง”

เขามองไปที่เมืองหลวงโบราณของรัฐซ่างหลิงที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ จากนั้นเก็บแผนที่ลงแล้วหยิบม้วนกระดาษซึ่งบันทึกกลไกค่ายกลออกมาจากถุงสมบัติก่อนจะเริ่มทำการศึกษามัน

“นี่คือวิธีหยุดยั้งเมืองโบราณ”

ในห้องโถงใหญ่ของสำนักเทียนอวี้ ไป๋ชิวหรานหยิบม้วนกระดาษแผ่นใหม่ออกมา ก่อนจะแจกจ่ายให้กับตัวแทนจากบรรดาพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรม

“นอกจากนี้ ข้ายังมีกลไกของค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ว่าอยู่ในมือ ซึ่งได้ทำการทดลองแล้ว สิ่งของทั้งหมดบนนั้นล้วนเป็นของจริง ข้าจะจัดเก็บสำเนาชุดนี้ไว้ในหอตำราของพันธมิตรฝ่ายธรรม เพื่อให้ทุกสำนักในกลุ่มพันธมิตรได้ศึกษาเรียนรู้ต่อไป”

ไป๋ชิวหรานกล่าวต่อไป

“อย่างไรก็ตาม ค่ายกลประเภทนี้ค่อนข้างซับซ้อน จำเป็นต้องใช้ทักษะทางด้านเวทมนตร์ การคิดคำนวณ และกลไกในการก่อสร้างขั้นสูง ผู้ที่อ่อนด้านพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ไม่ควรยุ่งเกี่ยว แต่หากต้องการเรียนรู้ทักษะด้านคณิตศาสตร์จากมันให้ถ่องแท้ อย่างน้อยควรขัดเกลาจิตใจให้มั่นคงเพื่อไม่ให้เกิดความคิดฟุ้งซ่าน”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ตัวแทนจากหอหยกแห่งเซียนตู สำนักเสวียนฝ่า และกองทัพเทพยุทธ์พลอยยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี แม้แต่ท่านอาจารย์เว่ยเฉินแห่งสำนักพุทธเทียนเซิ่งยังเอ่ยคำว่า ‘ประเสริฐ’ ซึ่งพบได้ยากยิ่งในช่วงเวลาปกติ

พวกเขาไม่ได้ถามไป๋ชิวหรานว่าได้รับกลไกค่ายกลนี้มาจากหนใด เพราะบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงมีชีวิตอยู่มานานหลายสหัสวรรษ สหายของเขาย่อมไม่จำกัดอยู่เพียงเขตเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินเท่านั้น และแน่นอนว่าด้วยเป็นผู้มากด้วยพรสวรรค์ ไม่แน่ว่าอาจล่วงรู้มันด้วยตนเอง

ขณะเดียวกัน แม้ว่าสมาชิกจากพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารจะรู้สึกเขินอายอยู่บ้างที่จะเอื้อนเอ่ย แต่พวกเขาก็มองไปยังพันธมิตรฝ่ายธรรมะด้วยความอิจฉาริษยา บางคนเริ่มวางแผนสอดแนมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“พวกเจ้าอย่าได้คิดสังหารคนเพื่อชิงสมบัติ ขโมยสิ่งล่อตาล่อใจ ล้วงเอาข้อมูลมาเป็นของตน หรืออะไรทำนองนั้นเลย”

เมื่อเห็นสีหน้าของสหายฝ่ายเดียวกัน ซูเซียงเสวี่ยจึงชิงกล่าวขึ้นเสียก่อน

“ของสิ่งเดียวกันนั้น บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงได้มอบสำเนาไว้ให้แล้ว ข้าจะส่งกลไกค่ายกลนี้กลับไปยังสำนักอสูรสวรรค์และสำนักวิญญาณหยินตามลำดับ”

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ประกายรังสีอำมหิตในดวงตาของเหล่าผู้ฝึกมารที่กำลังวางแผนชั่วร้ายได้มอดดับลง พวกเขาต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะเดียวกันก็รู้สึกห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา

เป็นเวลานานแล้วที่พวกเขาไม่ได้ประพฤติชั่วช้า ต่างรู้สึกว่าตนเองเกือบจะถูกหลอมรวมเข้ากับฝ่ายเที่ยงธรรมในสักวันหนึ่ง

“ในเมื่อข้าล่วงรู้วิถีการโคจรของเมืองโบราณแล้ว หากพวกเจ้าล่วงรู้วิธีการหยุดยั้ง เช่นนี้พวกเราจะสามารถสกัดกั้นมันได้ในที่สุด”

ไป๋ชิวหรานปรบมือพร้อมกล่าวออก

“เมื่อเวลานั้นมาถึง การแก้แค้นที่มีความแค้นและแค้น… แต่เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ป่านนี้เสี่ยวเยว่จื่อ*[1] ยังไม่ออกมาจากโรงหลอมเหล็กอีกหรือ?”

“ยังเลย”

ซูเซียงเสวี่ยส่ายศีรษะ

“เช่นนั้นพวกเราควรรอต่อไปอีกสักสองถึงสามวัน รอให้ทุกคนเรียนรู้การสกัดกั้นค่ายกลอย่างถ่องแท้แล้ว ค่อยออกเดินทางไปหยุดยั้งเมืองโบราณพร้อมกัน”

ไป๋ชิวหรานเสนอขึ้นว่า

“ถึงอย่างนั้นกาลเวลาไม่เคยรอใคร… แม้ว่าเราอาจจะทำผิดต่อเสี่ยวเยว่จื่อ แต่คงไม่ผิดพลาดจนเสียเรื่อง”

[1] ชื่อรองเยว่เชียนเหลียน

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท