บทที่ 102 หมดสิ้นเรี่ยวแรง
หลังใช้เวลาเพียงชั่วครู่ ไป๋ชิวหรานอธิบายเรื่องราวสั้น ๆ ให้กับถังรั่วเวยและจั่วเหยียนเฟยฟัง ก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า
“เจ้าได้นำเครื่องมือสำรวจทำแผนที่ติดมาด้วยหรือไม่?”
“แน่นอน ข้านำมันติดตัวไปทุกหนทุกแห่ง”
ถังรั่วเวยตอบกลับ
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าไปพักก่อนเสียก่อนเถิด หากพักจนหายเหนื่อยล้าแล้ว ข้าจะพาเข้าไปยังปากทางเข้าด่านนั่น”
ไป๋ชิวหรานลูบศีรษะนาง
“หลังจากเข้าไปแล้ว ข้าจะหยุดยั้งอสูรร้ายเหล่านั้น ส่วนเจ้าและแม่นางหลีร่วมมือกันรับผิดชอบในการคัดลอกกลไกของค่ายกล”
ถังรั่วเวยพยักหน้ารับก่อนเดินไปด้านข้างพร้อมกับจั่วเหยียนเฟย ตระเตรียมปรับลมหายใจเพื่อฟื้นฟูพลังปราณแก่นแท้ ส่วนไป๋ชิวหรานเดินไปด้านข้าง และเริ่มสั่งสอนให้หลินฟานฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่คมทองคำ
ขณะเดียวกันนั้นเอง ถังรั่วเวยกลับได้ยินหลีจิ่นเหยาร้องเรียกนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบายิ่ง
“รั่วเวย รั่วเวย เจ้ามานี่หน่อยสิ”
นางรีบหันกลับไปตามเสียง พบว่าศิษย์พี่จากสำนักฝ่ายมารขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง
ถังรั่วเวยยืนขึ้นก่อนเดินตามนางออกไปด้านข้าง ขณะที่จั่วเหยียนเฟยมองด้วยสายตาฉงน แต่กลับไม่ได้ห้ามปรามไว้
ถึงอย่างไรไป๋ชิวหรานก็อยู่ที่นี่ทั้งคน แม้ว่าหลีจิ่นเหยาจะมาจากสำนักฝ่ายมาร อย่างน้อยนางก็คงไม่กล้ากระทำเรื่องเลวร้ายกับลูกศิษย์สายตรง… ภายใต้สายตาของบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงเป็นแน่
ถังรั่วเวยเดินตามหลีจิ่นเหยาเข้าไปยังมุมลึกที่อยู่ภายในถ้ำ ครั้นเห็นว่านางหยุดเดินแล้ว จึงโพล่งถามขึ้น
“ศิษย์พี่หลี ท่านมีเรื่องใดจะบอกกล่าวแก่ข้าหรือ?”
หลีจิ่นเหยาลอบเหลือบมองไปอีกทางหนึ่ง โหยวเหมยเฉียวดูเหมือนกำลังจัดระเบียบถุงเก็บสมบัติอยู่ จึงหันหลังให้กับนางโดยที่ไม่กวาดสายตามองไปยังจุดอื่น หลีจิ่นเหยาจึงเอ่ยขึ้น
“รั่วเวย ระหว่างที่เจ้าไม่อยู่ ข้าได้รับรู้เรื่องราวมาบางอย่าง เจ้าสำนักซูเซียงเสวี่ยแห่งสำนักเหอฮวนยังเป็นหญิงสาวพรหมจารี!”
“อ้อ แล้วอย่างไรหรือ?”
ถังรั่วเวยกะพริบตาปริบอย่างไม่เข้าใจนัก
“เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้ว”
“ว่าอย่างไรนะ? เจ้ารู้เรื่องนี้อยู่แล้วหรอกหรือ?”
หลีจิ่นเหยาคว้าไหล่ทั้งสองข้างของนาง จากนั้นกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เช่นนั้น เรื่องที่ว่าเจ้าสำนักซูเซียงเสวี่ยสนใจในตัวท่านอาจารย์ของเจ้า… แล้วรับรู้เรื่องนั้นด้วยหรือไม่?”
“ไร้สาระน่า เว้นอาจารย์ของข้าไว้คนหนึ่ง มีผู้ใดบ้างที่มองไม่ออก”
ถังรั่วเวยกลอกตา
“เหตุใดเจ้าถึงไม่แสดงอาการอย่างไรเลยเล่า?”
หลีจิ่นเหยาเอ่ยถามด้วยความรู้สึกเกลียดชัง คล้ายดั่งเหล็กที่นึกแค้นเคืองที่ไม่อาจกลายเป็นเหล็กกล้า
“แล้วเหตุใดข้าต้องแสดงอาการใดด้วยล่ะ?”
ถังรั่วเวยนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวออก
“โอ้ หรือข้าควรแสดงความยินดีกับอาจารย์ที่ในที่สุดเขาก็มีคนต้องการ?”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นเสียหน่อย รั่วเวย เจ้าไม่มีความรู้สึกอื่นใดกับบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงเลยอย่างนั้นหรือ?”
หลีจิ่นเหยาเลิกคิ้วพร้อมกล่าวต่อไป
“เจ้าไม่มีความรู้สึกหึงหวงสักนิดเลยหรือ ที่ก่อนหน้านี้ข้าแสดงออกอย่างชัดแจ้งถึงความปรารถนาดีในตัวบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง?”
ถังรั่วเวยตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบปฏิเสธ
“ข้าเปล่าเสียหน่อย”
หลีจิ่นเหยากวาดสายตาสำรวจมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เช่นนั้นเจ้ามีความคิดที่จะใฝ่หาคู่ครองบ้างหรือไม่?”
ถังรั่วเวยเหลือบตามองต่ำลงไปยังหน้าอกของตนเอง จากนั้นจึงโคลงศีรษะ
“ในเมื่อการฝึกตนยังไม่บรรลุอย่างสมบูรณ์ แล้วข้าจะกลับบ้านไปด้วยเหตุใด?”
“ข้ามั่นใจแล้ว”
หลีจิ่นเหยาเปล่งเสียงหัวเราะอย่างตลกร้าย
“ที่แท้เจ้ากับบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงก็ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่… สมควรแล้วที่เป็นอาจารย์และศิษย์สายตรง”
ในที่สุด นางก็ตระหนักว่าถังรั่วเวยผู้นี้ไม่ได้ชิงชังรังเกียจอาจารย์ของตนเสียทีเดียว แต่เป็นเพราะรู้สึกถึงข้อบกพร่องทางกายภาพ ส่วนไป๋ชิวหรานเองรู้สึกว่าขอบเขตการฝึกตนของเขายังต่ำต้อย ทำให้เจียมเนื้อเจียมตนโดยสัญชาตญาณ เป็นปมด้อยที่ซ้อนทับอยู่ภายในอีกหนึ่งปมด้อย
“แล้วเหตุใดศิษย์พี่หลีถึงพึงใจในตัวอาจารย์ของข้านัก?”
ถังรั่วเวยเหลือบมองไป๋ชิวหรานแวบหนึ่งก่อนเอ่ยถามกลับ
“เขามีสิ่งใดน่าชื่นชอบหรือ?”
“อืม คงเป็นเพราะความร่ำรวยไปด้วยอำนาจบารมี รูปร่างหน้าตาดี มีความสามารถ ทั้งยังทรงพลังยิ่ง ถึงแม้ฝีปากจะเจ็บแสบชอบกล่าววาจาทิ่มแทงใจดำของผู้อื่น หรือมีอายุแก่กว่าหลายพันปี นอกจากสองสิ่งนี้ก็ไม่มีข้อบกพร่องอื่นอีก ข้ามักมองโลกในแง่ดีเสมอไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น… เราทั้งคู่ล้วนเป็นผู้ฝึกตน ดังนั้นย่อมไม่แยแสช่องว่างระหว่างอายุที่แตกต่างกันหรอก”
หลีจิ่นเหยาเอ่ยตอบโดยไร้ซึ่งความลังเล ราวกับครุ่นคิดเกี่ยวกับเหตุผลดังกล่าวมานานแล้ว
“และที่สำคัญ ถึงแม้ฝีปากจะคมกริบราวกับมีด ทว่าผู้อาวุโสไป๋ก็ใส่ใจความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นอยู่เสมอ อีกทั้งยังปฏิบัติดีต่อคนรอบข้างเป็นอย่างยิ่ง ทั้งหมดนี้นับเป็นข้อได้เปรียบในการเลือกสามีที่ดี บุรุษซึ่งมีความเพียบพร้อมถึงเพียงนี้ สตรีเช่นเจ้าสำนักซูเซียงเสวี่ยจะไม่ชื่นชอบได้อย่างไร… ข้ากล่าวถูกหรือไม่? รั่วเวย”
ถังรั่วเวยไตร่ตรองตามอย่างรอบคอบ และพบว่าสิ่งที่หลีจิ่นเหยากล่าวมานั้นสมเหตุสมผลไม่น้อย
“ศิษย์น้องรั่วเวย…”
ขณะนั้นเอง หลีจิ่นเหยาพลันคว้ามือนางไว้อีกครั้ง
“เราเป็นสหายกันใช่หรือไม่?”
ถังรั่วเวยกลับลังเล
“ทำนองนั้นกระมัง”
“ดีแล้ว”
หลีจิ่นเหยาจับมือถังรั่วเวยไว้ ก่อนกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ช่วยข้ามัดใจท่านอาจารย์ของเจ้าทีเถอะ!”
“ว่าอย่างไรนะ?”
ถังรั่วเวยหรี่ตาเรียวเล็กลง สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสนมึนงงไม่น้อย
“ช่วยข้ากำจัดสหายเก่าของเขาไปให้พ้นทางด้วย”
หลีจิ่นเหยาจับมือถังรั่วเวยกระชับแน่นอีกครั้ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่งกว่าเก่า
“เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ข้ายินดีเป็นพันธมิตรของเจ้า หากวันใดที่ประสบกับความยากลำบาก ข้าพร้อมจะช่วยเหลือทันที!”
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองเดินออกมาจากถ้ำ ก่อนตรงไปรวมกลุ่มกับผู้คน
“โอ้ ข้ากำลังนึกอยู่ว่าพวกเจ้าหายไปไหน”
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองหญิงสาวทั้งสอง ก่อนเอ่ยถาม
“พักผ่อนกันเพียงพอแล้วหรือ?”
“อืม ข้าคลายความเหนื่อยล้าลงแล้ว”
หลีจิ่นเหยาและถังรั่วเวยต่างพยักหน้าพร้อมตอบรับ
“เช่นนั้นเราเข้าไปกันเถอะ”
ชายหนุ่มเป็นผู้นำศิษย์ต่างสำนักกลุ่มหนึ่งออกไปก่อน ทำให้ไม่ทันสังเกตการณ์สบตาระหว่างหลีจิ่นเหยากับถังรั่วเวย มีเพียงโหยวเหมยเฉียวซึ่งยืนอยู่ด้านข้างเท่านั้นที่สังเกตเห็นสิ่งนี้ ก่อนจะยกมือขึ้นแตะคางขาวผ่องของตนเพื่อครุ่นคิดบางอย่าง
…
ตูม! ตูม!
เสียงระเบิดดังกึกก้องติดต่อกันเป็นชุดดังขึ้นจากด้านนอกห้องโถง แรงสั่นสะเทือนทำให้ฝุ่นละอองมากมายที่ทับถมอยู่ภายในห้องโถงร่วงหล่นลงมานับไม่ถ้วน จนเปรอะเปื้อนตามร่างกายของชายในชุดสีดำสนิท ทว่าเขาไม่ใส่ใจมันแต่อย่างใด
เขากำลังเอนกายอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องโถง จ้องมองท้องฟ้าด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนหน้านี้เคยมีดวงตาเฉียบคมราวเทพเจ้า แต่ตอนนี้กลายเป็นประหนึ่งศพไร้ชีวิต ผนวกกับรูปร่างผอมแห้ง… จึงดูเหมือนคนที่ตายตกไปแล้วอย่างแท้จริง
เสียงระเบิดเมื่อครู่สงบลงอย่างรวดเร็ว เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งกำลังเดินตรงมา บุคคลผู้นั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงประตูพลางเขย่าถุงเก็บสมบัติ หินวิญญาณชั้นเลิศกระทบกันเกิดเป็นเสียงอันคมชัด
ผ่านด่านการทดสอบ ครั้งที่หนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ด
ชายชุดดำยังคงอยู่ในสภาพปางตาย นับจำนวนผู้คนที่อยู่ด้านนอกห้องโถงในใจด้วยความมึนงง
แต่เดิมหินวิญญาณชั้นเลิศเหล่านี้เป็นวัตถุสิ้นเปลือง ซึ่งเจ้าของที่แท้จริงของถ้ำเซียนแห่งนี้ได้จัดเตรียมไว้ เพื่อฟื้นฟูพลังปราณแก่นแท้และความแข็งแกร่งทางกายภาพของผู้ที่สัญจรผ่านมา
ทว่านับตั้งแต่ไป๋ชิวหรานผู้นั้นล้วงหินวิญญาณจากถุงเก็บสมบัติออกมานับตรงปากทางเข้าห้องโถงที่เขาอาศัยอยู่เมื่อครั้งก่อน หินวิญญาณเหล่านั้นกลับแปรเปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่มีค่าเพียงธรรมดาสามัญราวร่วงหล่นอยู่ตามพื้นทั่วไป
ครั้งที่ผ่านมา ไป๋ชิวหรานได้เข้าสู่ด่านการทดสอบห้าวิญญาณหยินโชติช่วงโดยเข้าออกกลับไปกลับมาทั้งหมดรวมหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดครั้ง และทุกครั้งที่เข้ามา เขาจะนำผู้คนมาสมทบเพิ่มอยู่เสมอ
หนแรกผู้ที่ติดตามเขาเข้ามาเป็นเพียงผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งเท่านั้น และจากนั้นจำนวนเพิ่มขึ้นกลายเป็นหลายสิบชีวิต กระทั่งในที่สุดบรรดาศิษย์ผู้ฝึกตนเกือบทั้งหมด ทั้งฝ่ายพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารที่เข้าร่วมในการสำรวจ ต่างมีชีวิตรอดจนมาถึงด่านการทดสอบสุดท้ายนี้
เมื่อจำนวนผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซ้ำยังเข้าสู่ด่านการทดสอบในเวลาเดียวกัน ในที่สุดขอบเขตพื้นที่และกลไกการทำงานของถ้ำเซียนไม่สามารถรองรับในปริมาณมากได้อีกต่อไป ความถี่การฟื้นฟูกลไกของค่ายกลในแต่ละครั้งต้องขยายระยะเวลาออกไปอีก เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานสมบูรณ์
ในอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาและสหายของเขาซึ่งเป็นเซียนปฐพีบางส่วนต่างซ่อนตัวอยู่ที่นี่ มีเพียงวิญญาณที่หลงเหลืออยู่และใช้วิธียึดครองร่างของผู้สัญจรผ่านมาหลายต่อหลายคนเพื่อรวมกลุ่มกันปะปนอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ แต่พวกเขากลับถูกเปิดโปงฐานะที่แท้จริงโดยชายแปลกหน้าเพียงคนเดียว ทั้งยังถูกสังหารจนหมดสิ้น
เดิมทีผู้ซึ่งเป็นถึงเซียนปฐพีมีจำนวนไม่มากนัก แม้แต่ในยุคสมัยเดิมของพวกเขา เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น เหล่าเซียนปฐพีจึงผนึกวิญญาณของตนเองลงในผลึกวิญญาณที่กลั่นออกมา ผลึกนั้นคือแท่งสี่เหลี่ยมสีดำ มีเพียงเซียนปฐพีเพียงไม่กี่คน รวมถึงเขาที่วิญญาณมีความแข็งแกร่งมากพอถูกตรึงไว้กับสิ่งอื่น รอคอยโอกาสที่จะยึดครองร่างใครสักคน และใช้ผลึกวิญญาณเพื่อปลดปล่อยบรรดาเซียนปฐพีคนอื่น ๆ
หลายคนที่ถูกไป๋ชิวหรานสังหาร ต่างเป็นเซียนปฐพีซึ่งแฝงตัวอยู่ในถ้ำเซียนโดยที่ไม่อาจยึดครองร่างของผู้ใดได้ ตอนนี้นอกจากโครงกระดูกซึ่งไม่อาจล่วงรู้ว่ายังมีวิญญาณสิงสู่อยู่หรือไม่ เซียนปฐพีซึ่งสถิตอยู่ภายในถ้ำเซียนจึงหลงเหลือเขาอยู่เพียงผู้เดียว
ซึ่งเขาจะสามารถอยู่รอดได้ ขึ้นอยู่กับการช่วยเหลือจากผู้อื่นเพียงเท่านั้น มิฉะนั้นวิญญาณจะเปรียบได้กับแสงเทียนท่ามกลางกระแสลม อาจดับสลายไปในวันใดวันหนึ่ง
ถึงกระนั้นก็ตาม ครั้งนี้เหตุการณ์คล้ายว่าจะแตกต่างออกไปจากเดิมเล็กน้อย
ขณะที่ชายชุดดำเหม่อลอยอยู่ในห้วงภวังค์ จู่ ๆ ใครคนหนึ่งผลักประตูห้องโถงใหญ่และเดินตรงเข้ามา