ดวงดาวในยามค่ำคืนช่างหายาก ดวงจันทร์สว่างไสวอยู่บนท้องฟ้า แสงยามค่ำคืนส่งให้ร่างของไป๋ชิวหรานเปรียบเสมือนภูตผี
เมืองที่จ้าวรุ่ยเจ๋ออยู่ เดิมทีเป็นฐานบัญชาการแนวหน้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองที่ถูกอสูรเผ่ามารยึดครอง ห่างออกไปเกือบห้าแสนลี้ สำหรับผู้ฝึกตนขั้นขอบเขตแกนทองคำอย่างคนอื่น ๆ คงจะสามารถไปที่นั่นด้วยกระบี่บินเพียงเวลาไม่นาน ทว่ากับไป๋ชิวหรานที่อยู่เพียงแค่ขั้นกลั่นลมปราณ อีกทั้งยังใช้กระบี่บินไม่ได้…
ผ่านไปครู่ใหญ่ ไป๋ชิวหรานจึงได้เข้าไปในเมืองแห่งหนึ่งที่อสูรเผ่ามารยึดครองอยู่ และอสูรเผ่ามารที่เฝ้าประตูต่างสัมผัสได้เพียงสายลมที่พัดผ่านหน้าไปเท่านั้น
ชายหนุ่มเดินผ่านกองกำลังในเมืองและซ่อนตัวอยู่ในตรอกมุมถนน
อันที่จริง ไป๋ชิวหรานไม่ชอบการลอบสอดแนมเช่นนี้ การล่องหนเป็นวิชาที่ผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานขึ้นไปถึงทำได้ โดยประโยชน์ของทักษะนี้คือศัตรูจะไม่สามารถรับรู้ที่อยู่ของอีกฝ่ายได้
เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของศัตรู ต้องอาศัยความเร็วที่เกินขีดจำกัดของการมองเห็น และฝีเท้าอันวิจิตรที่ต้องเหยียบจุดบอดสายตา
ความเร็วที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดภาพติดตา หากขยับฝีเท้าไม่ระวังล่ะก็… อาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ อันที่จริงการใช้ทักษะเช่นนี้จะเหนื่อยกว่าการพรางตัว ทั้งยังทิ้งร่องรอยที่เสี่ยงต่อการถูกเปิดโปง
หากอสูรเผ่ามารพบเจอร่องรอยของไป๋ชิวหรานเข้า ชายหนุ่มจะสามารถใช้ทักษะต้องห้ามเพื่อพรางตัวได้ แต่ชายหนุ่มตั้งใจจะไม่ทำเช่นนั้นจนกว่าสถานการณ์จะบีบบังคับ!
ไป๋ชิวหรานยืนอยู่บนถนนสายหนึ่ง ส่งสัมผัสเทวะออกไปจนพบว่า… มีมารอสูรกระจายอยู่ทั่วเมือง ต่อมาชายหนุ่มก็กระโดดขึ้นบนหลังคาบ้านเรือน เพราะต้องการจะลักลอบเข้าไป ไป๋ชิวหรานเปลี่ยนชุดเป็นสีดำสนิท ผมสีขาวอันเด่นชัดถูกพันด้วยผ้าโพกหัวสีดำเช่นกัน แต่หากเขาย่างกรายออกไปโทง ๆ คงหลีกเลี่ยงสายตาของอสูรเผ่ามารได้ยาก
ไป๋ชิวหรานขึ้นไปบนหลังคาพร้อมเริ่มสังเกตสถานการณ์ในเมืองทันที
ในเมืองส่วนใหญ่เป็นมนุษย์ แต่ก็มีมารอสูรปะปนอยู่ด้วย ซึ่งน่าจะเป็นพ่อค้าที่มาทำการค้า
มันง่ายมากที่จะแยกแยะมารอสูรกับมนุษย์ เนื่องจากแนวคิดทั่วไปในอสูรเผ่ามารจะมีความรู้สึกว่าตนเหนือกว่าเผ่ามนุษย์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะด้านกายภาพหรือความสามารถ แม้หลังจากแปลงร่างแล้ว… พวกมันก็ยังคงรักษาลักษณะเฉพาะของมารอสูรไว้
ตัวอย่างเช่น อสูรจิ้งจอกขาวที่ไป๋ชิวหรานเคยพบ ทาสรับใช้ของนางเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูร แม้พวกนางจะพยายามเลียนแบบมนุษย์โดยซ่อนหางกับหูไว้ แต่เมื่อใดที่ตื่นตระหนกหูกับหางจะเปิดเผยออกมาอีกครั้ง
ทว่าความเหนือกว่าทางเผ่าพันธุ์แบบนี้ได้ถูกไป๋ชิวหรานยับยั้งไว้… ด้วยการแขวนคอราชินีอสูรเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว แต่อสูรเผ่ามารยังไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยนี้ในการรักษาคุณลักษณะของตนเองได้ ผู้ที่มีหางหรือเกล็ดจะเป็นอสูร ส่วนผู้ที่ไม่มีจะเป็นมนุษย์เลือดบริสุทธิ์
ไป๋ชิวหรานเฝ้าสังเกตดู ตามที่จ้าวรุ่ยเจ๋อกล่าว… เผ่ามนุษย์ในเมืองนี้ยังมีชีวิตอยู่และสบายดี เมื่อมองดูใบหน้าของพวกเขา นอกจากจะมีท่าทีหวาดกลัวอสูรเผ่ามารเพียงเล็กน้อยแล้ว แต่กลับไม่เคยถูกทารุณกรรมหรือรังแกเลย
แม้แต่หน่วยลาดตระเวนที่เดินอยู่ตามถนนต่างระมัดระวังตัวแจ ราวกับว่ากลัวใครกันที่จะตกเป็นเป้าหมายของอสูรเผ่ามาร!
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ไป๋ชิวหรานงงงวย
ชายหนุ่มเดินไปตามหลังคา เมื่อเลี้ยวไปตามถนนสองสาย จึงพบกับอสูรมีเขาชนเด็กตัวน้อยข้างกายมีย่ามใบเล็ก ๆ ก่อนที่ร่างน้อยนั้นจะล้มลงบนพื้น
อสูรกระทิงดูเหมือนจะสืบทอดอารมณ์แปลกประหลาดของเผ่าพันธุ์มา ทันทีที่เห็นเด็กตัวเล็กคนนี้ ทำให้อยากโจมตีคล้ายนึกโมโหอยู่ในใจที่มีคนมาขว้างหน้า
อสูรที่สามารถแปลงร่างได้ อย่างน้อยคงจะมีความแข็งแกร่งขั้นสร้างรากฐาน หากโจมตีผู้คน เด็กตัวน้อยที่มีรูปร่างผอมบางไม่สามารถต้านทานได้อย่างแน่นอน เมื่อเห็นดังนั้น ไป๋ชิวหรานจึงลดกระบี่ในมือลงความลังเลตีตื้นเข้ามา
หน่วยลาดตระเวนเดินกันขวักไขว่ บนร่างสวมชุดเกราะของอสูรเผ่ามารเสือโคร่งอยู่ พวกเขาได้รีบเข้ามาห้ามปราบอสูรกระทิง จนฝ่ายนั้นล้มลงพื้น
“โง่เขลานัก!”
ผู้นำกลุ่มอสูรเสือโคร่งคำรามด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“ลืมคำสั่งของราชาอสูรแล้วหรือ? อย่าทำร้ายใคร อย่าคิดแม้แต่จะสังหารผู้ใดด้วย! หากทำลายชื่อเสียงดีงามของราชาอสูรล่ะก็ เจ้าจะไม่สามารถปกป้องชีวิตของตัวเองได้อีก!”
อสูรกระทิงลุกขึ้นจากพื้นดิน ทันทีที่ดวงตาสีแดงเห็นกลุ่มอสูรเสือโคร่ง เขาก็ทรุดตัวลงทันทีพร้อมกับคำนับขอโทษ
เมื่อเห็นท่าทีที่ถ่อมตนของอสูรกระทิง สีหน้าของผู้นำอสูรเผ่ามารเสือโคร่งก็มีท่าทีอ่อนลงเล็กน้อย เขาเดินไปหาเด็กสาวตัวน้อยด้วยท่าทางที่น่าเกรงขาม ก่อนจะช่วยนางเก็บสมุนไพรทั้งหมดที่ตกลงมาจากตะกร้าพร้อมเผยยิ้มใจดี
ไป๋ชิวหรานพนันเลยว่า นั่นเป็นรอยยิ้มที่เป็นมิตรที่สุดเท่าที่เคยเห็นบนใบหน้าของอสูรเสือโคร่งเลยก็ว่าได้
เมื่อเห็นอสูรเสือโคร่งกระทำเช่นนั้น เปรียบได้ดังคุณน้าผู้ใจดีที่คอยช่วยเหลือเด็กในหมู่บ้าน เขาช่วยเหลือเด็กสาวพร้อมปล่อยตัวนางไปโดยไม่แยแสอสูรกระทิงแม้แต่น้อย เมื่อเห็นเช่นนั้น อสูรกระทิงก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย
“ท่านผู้บัญชาการกองทัพ บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงของเผ่ามนุษย์น่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
“ครอบครัวของพ่อข้าเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในอสูรเผ่ามารตะวันตก แต่กลับถูกพวกเขาฆ่าล้าง จนเหลือเพียงลูกชายคนเล็กเท่านั้น เจ้าคิดว่าน่ากลัวหรือไม่?”
อสูรกระทิงตกตะลึงทันที อสูรเสือโคร่งกล่าวต่ออย่างไม่สุภาพนัก
“ให้ข้าอธิบายให้ชัด… สิ่งที่บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงเกลียดที่สุด คือการเห็นเผ่าพันธุ์อื่นฆ่าฟันเผ่ามนุษย์ แล้วจากนั้นเผ่าพันธุ์ของเจ้าก็จะถูกเขาฆ่าล้าง!”
ชายเผ่ากระทิงถึงกับพูดไม่ออก
“ข้าขอบอกว่า บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงของเผ่ามนุษย์นั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก แม้แต่ราชายังอดไม่ได้ที่จะหวาดหวั่น”
ในเวลานี้ อสูรเสือโคร่งเหยียดมือออกไป พร้อมลูบแขนราวกับรู้สึกหนาวสั่น
“บางทีตอนนี้เขาอาจจะอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง และกำลังมองมาที่เรา! หากเจ้าโจมตีตอนนี้ หัวอาจจะไม่ได้อยู่บนบ่าอีกต่อไป!”
อสูรกระทิงตัวสั่นเทาเล็กน้อย พลางประสานมือสองข้างพร้อมกล่าวเสียงต่ำ
“ท่านผู้บัญชาการ ท่านพูดราวกับว่าเขาเป็นผีอย่างไรอย่างนั้น”
“แล้วเจ้าคิดว่าไม่ใช่หรือ?”
อสูรเสือโคร่งมองซ้ายขวาก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ
“เป็นผีแท้แน่นอน ข้าได้ยินมาว่าเขามีชีวิตอยู่มานานกว่าสามพันปีแล้ว เป็นผีที่ครอบงำอสูรเผ่ามารของเรานี่เอง!”
อสูรกระทิงตกใจจนหน้าซีด ไม่คิดว่าบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงจะแกร่งกล้าถึงเพียงนี้… อสูรเสือโคร่งไม่ได้ทำให้เขาอับอายมากนัก หลังจากตำหนิไม่กี่คำก็ปล่อยอีกฝ่ายไป
ไป๋ชิวหรานพลันลูบคมกระบี่ในมือเมื่อเห็นอสูรเสือโคร่งเอ่ยถึง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มลดมือลง จากนั้นก็ปล่อยพลังกระบี่ออกจากปลายนิ้ว
“โอ้ วันนี้ท่านไป๋ชิวหรานไม่คิดจะลงมือเลยหรือ?”
จื้อเซียนกล่าวพลางติดตลก
ไป๋ชิวหรานตบศีรษะอีกฝ่ายพร้อมกล่าว
“อืม วันนี้ยังไม่ดีกว่า…แหะ ๆ”