ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 119 หาหนังจากเสือ

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

“แผนผังสุสานจักรพรรดิของบรรพบุรุษรุ่นแรกอย่างนั้นหรือ?”

ซูเซียงเสวี่ยถาม

“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังตามหาสิ่งนั้นอยู่?”

“องค์หญิง”

องค์ชายอสรพิษดำยกยิ้มเอ่ยคำ

“ใช่ว่ามีเพียงท่านที่มีสายสอดแนมอยู่ในโลกมาร ข้าเองก็มีสายในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินเช่นกัน”

“เช่นนั้นหรือ?”

ซูเซียงเสวี่ยเหลือบมองไป๋ชิวหรานตอบรับ

“เช่นนั้นข้า…”

“เดี๋ยวก่อน!”

ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นห้าม ชายหนุ่มสบตาซูเซียงเสวี่ยก่อนกล่าวถาม

“ก่อนที่ท่านจะนึกถึงข้า…ท่านควรถามตนเองก่อนว่าต้องการขึ้นเป็นราชินีอสูรหรือไม่?”

“ทั้งเจ้าสำนักและบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงขอจงไร้กังวลเรื่องนี้”

องค์ชายอสรพิษดำเอ่ย

“ชุ่ยหลัวไปเชิญเจ้าสำนักกลับมาหลายครา แต่กลับปฏิเสธที่จะกลับมารับตำแหน่งตลอด เราไม่ได้โง่เขลา และรู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าสำนักไม่มีเจตนาอื่น ดังนั้นขอเพียงเจ้าสำนักอยู่ที่นี่ในช่วงนี้…อยู่เป็นตัวแทนของเรา หลังจากนั้นไม่ว่าจะต้องการดำรงตำแหน่งต่อหรือไม่ เราจะไม่คัดค้านแต่อย่างใด”

“เช่นนั้นหมายความว่าท่านอยากให้ข้าอยู่ที่นี่ เพียงเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ผู้คนใช่หรือไม่?”

ซูเซียงเสวี่ยกล่าวเสียงเรียบ

“ไม่ใช่เพียงเท่านั้น เมื่อมีท่านอยู่ข้างเรา เราจึงไม่ต้องกังวลว่าบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงจะเอาใจออกจาก!”

องค์ชายอสรพิษดำหันมองไป๋ชิวหราน

“ตอนนี้องค์ชายอสูรทั้งสิบในอสูรเผ่ามาร นอกจากอีกฝ่ายยังมีเราสี่ตน มันถูกแบ่งออกเป็นสองค่าย ค่ายหนึ่งคือพันธมิตรฝ่ายธรรม นำโดยหมีดำไร้ปรานี ส่วนอีกค่ายดูแลโดยราชาวานรและราชันมังกร ทั้งบุตรชายนอกสมรสของราชาอสูรยังได้รับการสนับสนุน พรรคพวกของราชาอสูรน่าจะโอนอ่อนไปทางนั้น”

“บุตรชายนอกสมรสของราชาอสูรอย่างนั้นหรือ?”

ซูเซียงเสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะอุทานออกมา

“เป็นผู้ใดกัน?”

“อืม… ตั้งแต่ท่านพลัดพรากจากราชาอสูรไปหลังสงครามเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ท่านจะมีน้อง”

องค์ชายอสรพิษดำมองหน้าซูเซียงเสวี่ย

“ข้าตรวจสอบแล้ว เด็กคนนี้เป็นสายเลือดของราชาอสูรจริง แม่คือนิลมังกร เขามีสามหัว แต่ละหัวสามารถแปลงรูปเป็นมังกรได้ จึงได้ชื่อว่ามังกรไร้เขาสามหัว”

“น่ายินดีนัก”

ไป๋ชิวหรานเอ่ยกับซูเซียงเสวี่ย

“เจ้ากำลังจะได้เป็นพี่สาวแล้ว”

ทว่าซูเซียงเสวี่ยไม่นึกใส่ใจ

หลังได้ฟังคำองค์ชายอสรพิษดำ ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยเข้าใจเจตนาในการตามหาตนเองของอีกฝ่ายทันที

ราชาอสูรแห่งโลกมารสิ้นชีพไปแล้ว แต่ยังไม่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงไม่มีใครมีอำนาจเด็ดขาด ผู้ที่จะขึ้นเป็นราชาอสูรต้องเป็นคนมีความสามารถ องค์ชายทั้งสี่ รวมถึงองค์ชายอสรพิษดำก็หมายอยากจะลองด้วยเช่นกัน

ทว่าในยามนี้ โลกมารแบ่งแยกเป็นสองฝั่ง และทั้งสองหวังจะช่วงชิงตำแหน่งราชาอสูร ฝ่ายหนึ่งมีทายาทสืบสายเลือดเดียวกับราชาอสูร ซึ่งนับเป็นเชื้อสายกับราชาอสูรองค์ก่อนได้ ขณะที่อีกฝ่ายเป็นอสูรที่เกิดจากสามัญชนหาใช่มีสายเลือดสูงส่ง เป็นเพียงเผ่าพันธุ์ชั้นล่างในโลกมารที่ครานี้สบโอกาสก่อกบฏ จึงคิดท้าทายกฎเกณฑ์แห่งโลกมารด้วยหมายจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้

ด้วยเหตุนี้องค์ชายอสรพิษดำ และองค์ชายอื่น ๆ จึงตกอยู่ในสถานการณ์ระส่ำระสาย แม้สายเลือดของพวกเขาจะสูงส่ง แต่ใช่ว่าจะมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชาอสูร ทำให้กลุ่มอสูรรูปงามผู้มั่งคั่งไม่อาจรวบรวมกองกำลังอสูรเป็นหนึ่งเดียวได้

ไม่เพียงแต่คนเหล่านี้จะรังเกียจพวกนอกรีต แต่ผู้คนที่พ่ายแพ้ก็คิดไม่ต่างกัน หากเป็นอสูรรูปงามมั่งคั่งโดยไร้ซึ่งชื่อเสียงโจษจัน การที่จะยกระดับจากสามัญชนไปสู่ชนชั้นเหนือกว่า แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ ใครเล่าจะนับหน้าถือตา?

อย่างซูเซียงเสวี่ย พวกเขาเลือกซูเซียงเสวี่ยมาเป็นราชินีเพียงเพราะนางมีชื่อเสียงเลื่องลือ นั่นมีเหตุผลเพียงพอให้พวกเขาได้เข้าร่วมศึกชิงบัลลังก์ครั้งนี้

ส่วนเรื่องอานุภาพการโจมตี พละกำลังขององค์ชายทั้งสี่รวมกันแล้วไม่อาจเทียบกำลังพลของทางราชสำนักกับอสูรชั้นสูงได้ แต่หากมีไป๋ชิวหรานอยู่เคียงข้าง ต่อให้ถูกตีล้อมอย่างเมื่อก่อนก็ไร้ซึ่งปัญหา

สิ้นคำองค์ชายอสรพิษดำ เขาไม่เอ่ยสิ่งใดอีกและปล่อยให้ทั้งสองได้มีเวลาไต่รตรอง

ไป๋ชิวหรานหารือกับจื้อเซียนที่ชายหนุ่มนำออกมาวางไว้บนโต๊ะเล็กด้านข้าง เขาให้อีกฝ่ายช่วยตรวจสอบชิ้นส่วนแผนผังที่อสูรรับใช้สาวนำมาให้…จากนั้นจื้อเซียนยืนยันว่าเป็นของจริง

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ได้บอกกล่าวกับซูเซียงเสวี่ย เช่นนั้นนางจึงพยักหน้าให้องค์ชายอสรพิษดำ

“ข้ายอมตกลง และเป็นตัวแทนให้ท่าน แต่จะไม่ยอมทำตามคำสั่งใด ๆ”

“ไม่สำคัญหรอก เจ้าสำนักเพียงแค่อยู่เบื้องหลังให้สำราญใจก็พอ”

เมื่อได้ยินคำตอบของนาง องค์ชายอสรพิษดำเผยท่าทีผ่อนคลายลง

โลกมารอยู่ใกล้เก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน องค์ชายอสรพิษดำ และคนอื่น ๆ ต่างคอยจับตามองเส้นทางสู่เก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินอยู่ สายสอดแนมของพวกเขาแข็งแกร่งที่สุดในหมู่อสูรเผ่ามาร เมื่อหลายร้อยปีก่อน สายสอดแนมได้ส่งข่าวมาว่าซูเซียงเสวี่ยผู้เป็นองค์หญิงได้สนิทสนมกับบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่ามนุษย์

หากซูเซียงเสวี่ยยอมตกลงเข้าร่วม ย่อมมีโอกาสสูงที่ไป๋ชิวหรานจะอยู่เคียงข้างนาง

องค์ชายอสรพิษดำจึงหันมองไป๋ชิวหราน

“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ท่านคิดเห็นอย่างไร?”

ไป๋ชิวหรานไม่หันมองอีกฝ่าย ทว่ากลับหันไปสบตาซูเซียงเสวี่ยที่หันมาเช่นกัน

หลังจากทั้งคู่สบตากันชั่วขณะ ไป๋ชิวหรานละสายตาก่อนจะกล่าวตอบ

“ข้าไม่อาจช่วยเหลือท่านได้มากเท่าใดนักในการดันให้ท่านขึ้นเป็นราชาอสูร เพราะถึงอย่างไรข้าก็เป็นเผ่ามนุษย์ ทว่าเมื่อถึงคราวสงคราม… ข้าสามารถเข้าร่วมสมรภูมิและกำจัดศัตรูให้ท่านได้”

“เรื่องนั้น…”

องค์ชายอสรพิษดำชะงัก คำพูดของไป๋ชิวหรานฉายชัดออกมาว่าเขากำลังสงวนท่าที เช่นนี้จึงทำให้องค์ชายอสรพิษดำเกรงว่าชายหนุ่มจะตลบหลังตน

“องค์ชายอสรพิษดำ…”

เวลานี้ชายร่างบึกบึนที่มีเขี้ยวคมข้างกายเขาโน้มตัวมากระซิบบางอย่าง

“หาหนังจากเสือ*[1] ต้องระวังให้มาก บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่ามนุษย์ไม่เคยเป็นคนซื่อตรง”

“พวกท่านใส่ความข้าเกินไปแล้ว”

ไป๋ชิวหรานกล่าวอย่างไม่แยแส

“มนุษย์อย่างเราต่างจากพวกท่าน เราให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะคุณธรรม สติปัญญา ร่างกาย ความสง่างาม และพละกำลัง หมั่นฝึกสงบจิตใจ ในบรรดาพวกเรา อย่าคิดว่าข้ากล่าวเกินจริง ต่อให้ท่านชี้หน้าด่า แต่พวกเรายังไม่คิดบาดหมางแต่อย่างใด ไม่ว่าอย่างไรไม่มีทางโกหก… ข้าผู้แซ่ไป๋จริงใจกับผู้คนเสมอ หากโป้ปดขอให้ถึงคราวตกต่ำ!”

“องค์ชายอสรพิษดำ บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงช่วยท่านฟาดฟันศัตรู ย่อมหมายถึงชัยชนะอยู่ในเงื้อมมือแล้ว”

ซูเซียงเสวี่ยกล่าวโน้มน้าว

“หากท่านไม่อาจกวาดล้างพรรคพวกที่เหลืออยู่ ต่อให้ครองโลกมารได้ มันก็ไม่อาจยั่งยืน”

“แท้จริงแล้ว ข้าไม่อาจร้องขอท่านมากเกินไปนัก อย่างไรเสียพวกเราก็อ่อนแอกว่า”

องค์ชายอสรพิษดำหันไปกล่าวกับไป๋ชิวหราน

“เช่นนั้นตกลงกันตามนี้ เราทั้งสี่ขอใช้ชิ้นส่วนแผนผังสุสานจักรพรรดิของบรรพบุรุษอสูรเผ่ามาร แลกกับการใช้นามเจ้าสำนัก และให้บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงช่วยต่อสู้ในศึกชิงบัลลังก์ครานี้”

[1] *หาหนังจากเสือ = เมื่อผลประโยชน์ขัดกัน ไม่มีทางได้ผลตามที่หวัง

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท