ย้อนไปราวสองพันปีก่อน ราชาอสูรพ่ายแพ้ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน โลกมารในยามนั้นจึงระส่ำระสาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับถูกองค์ชายอสูรหยุดยั้งเอาไว้ ราชาอสูรจึงยังอยู่รอดต่อไปได้
ทุกฝ่ายในโลกมารรู้ดีแก่ใจ พวกเขาต่างเฝ้ารอการตายของราชาอสูรผู้ไร้ซึ่งความหวัง
ท้ายที่สุดเมื่อพ้นช่วงไว้ทุกข์แก่ราชาอสูรให้หลังเจ็ดวัน พระศพได้ถูกฝังในสุสานราชาอสูรที่อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา เป็นที่ที่ราชาอสูรองค์ก่อนถูกฝังเอาไว้ องค์ชายอสูรทั้งสี่นำกองกำลังอสูรจากยี่สิบแปดเขต แต่งตั้งให้องค์ชายหมีขาวเป็นองค์ชายอสูรคนใหม่ ก่อนจะรวบรวมกำลังพลขึ้นเพื่อแข็งข้อ
ภายใต้ปณิธาน ‘ความเท่าเทียมให้หมู่อสูรทั้งปวง’ พวกเขาได้สังหารองค์ชายมังกรเก้าหัวที่ได้รับการให้เกียรติเป็นสายเลือดชั้นสูง และกำหนดกฎเกณฑ์สำหรับอสูรเผ่ามารขึ้นใหม่
ในเวลาเดียวกันอัครเสนาบดีอวิ๋นคุนผู้รักษาการแทนราชาอสูรที่สิ้นชีพ ได้พามังกรไร้เขาสามหัวที่เป็นเชื้อสายของราชาอสูรกลับมายังโลกมาร
ภายใต้การจัดการของเขา องค์ชายจึงสามารถขึ้นครองบัลลังก์และกลับกลายเป็นราชาได้ องค์ชายมังกรกับองค์ชายวานรที่ปกครองโลกมารตะวันออกได้ให้การสนับสนุนราชาอสูรองค์ใหม่ และกำลังฟาดฟันกับกบฏทางตอนเหนือ
ยามนี้องค์ชายอสรพิษดำ และพรรคพวกในโลกมารตะวันตกได้ทำข้อตกลงกับไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ย โดยให้ซูเซียงเสวี่ยขึ้นเป็นผู้นำ
ขณะเดียวกันพวกเขาก็เรียกองค์ชายหมีขาวผู้แข็งข้อทางตอนเหนือและอวิ๋นคุนที่มีอำนาจในราชสำนักหลวงว่าเป็นกบฏ กล่าวว่าอัครเสนาบดีอวิ๋นคุนสบโอกาสไร้ผู้ครองบังลังก์ราชาอสูรเพื่อควบคุมราชสำนัก เป็นขุนนางฉ้อฉล โลกมารควรมีซูเซียงเสวี่ยเป็นผู้นำคนใหม่เท่านั้น
คำกล่าวขององค์ชายอสรพิษดำเป็นที่เลื่องลือ แม้ซูเซียงเสวี่ยจะตามไป๋ชิวหรานเข้าโลกมารเป็นคราแรกในชีวิต ทว่าโลกมารกลับรู้จักนางเป็นอย่างดี ถึงอย่างไรราชาอสูรก็สิ้นชีวิตไปแล้ว เช่นนั้นดินแดนในปกครองของเขาควรจะตกเป็นของซูเซียงเสวี่ย
ทว่าดินแดนที่ควรตกอยู่ใต้การปกครองของซูเซียงเสวี่ยหมายรวมถึงยี่สิบแปดเขตในโลกมารทางเหนือ ซึ่งยามนี้ถูกองค์ชายอสูรยึดครองอยู่
เรียกได้ว่าเวลานี้โลกมารแบ่งออกเป็นกองกำลังสามฝ่าย ทั้งหมดล้วนหวังช่วงชิงบัลลังก์ อสูรบางเผ่าพันธุ์ลอบแข็งข้อ ครอบครองพื้นที่หุบเขา ยกตนขึ้นเป็นราชา โลกมารกำลังจะลุกโชนด้วยไฟสงครามในไม่ช้า
องค์ชายหมีขาวทางตอนเหนือรวบรวมกำลังพลจากทั่วพื้นที่ทางเหนือได้เกือบสองหมื่นนาย ทั้งหมดต่างเป็นอสูรแปลงกาย อานุภาพของกองทัพทัดเทียมกับไป๋ชิวหราน นับได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนอย่างน้อยขั้นขอบเขตแกนทองคำ
องค์ชายหมีขาวนำกองกำลังผู้ฝึกตนขั้นขอบเขตแกนทองคำสองหมื่นนายมุ่งหน้าลงทางใต้ สถานการณ์ราวผ่านกระบอกไม้ไผ่*[1] ส่วนกองทัพหลวงจากราชสำนักอสูรไม่คิดหยุดยั้งเช่นกัน
แน่นอนว่าเมื่อสองฝ่ายบุกกระหน่ำ ฝ่ายตรงข้ามอีกฝ่ายคือกองกำลังที่นำโดยองค์ชายอสรพิษดำ และพรรคพวกย่อมไม่คิดยอมแพ้
ภายในสองเดือนกองกำลังกบฏทางเหนือ และกองทัพหลวงทางตะวันออกได้บุกเข้ามาถึงโลกมารตะวันตกอย่างต่อเนื่อง พวกเขามุ่งหน้ามาทางค่ายหลักขององค์ชายอสูรทั้งสี่
“พวกท่านช่างเก่งกาจยิ่งนัก…”
ภายในโถงปราสาทขององค์ชายอสรพิษดำ ไป๋ชิวหรานมองหน้าองค์ชายอสูรทั้งสี่ที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ปีกซ้ายขวา
“ท่านบอกว่าเซียงเสวี่ยเป็นตัวแทน และพวกท่านจะออกไปสู้รบเอง เราตกลงกันเช่นนั้น ทว่าเวลานี้กลับต่อสู้อย่างนี้หรือ? ตั้งใจไปสู้รบจริงหรือไม่?”
เพราะซูเซียงเสวี่ยถูกหนุนให้ขึ้นเป็นผู้นำ ที่นั่งขององค์ชายอสูรจึงถูกปรับเปลี่ยน องค์ชายอสรพิษดำยกที่นั่งของตนให้นาง และย้ายไปนั่งข้างองค์ชายอสูรอีกสามตน ซูเซียงเสวี่ยนั่งแทนที่เขาโดยมีไป๋ชิวหรานยืนมือไพล่หลังขนาบข้างคล้ายเป็นผู้อารักขาความปลอดภัย
เมื่อได้ยินคำตำหนิของไป๋ชิวหราน องค์ชายอสูรทั้งสี่จึงเผยใบหน้าที่แตกต่างกัน องค์ชายเหยี่ยวปีกทองไม่มีท่าทีตอบสนอง ราวกับไม่แยแสว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ องค์หญิงผึ้งเพียงหนึ่งเดียวฟึดฟัดขึ้นอย่างไม่พอใจ หากแต่ไร้ซึ่งเสียงโวยวาย องค์ชายจระเข้ดูเหมือนต้องการแก้ตัว แต่เมื่อเห็นหน้าไป๋ชิวหราน กลับกลืนคำพูดของตนลงไป มีเพียงองค์ชายอสรพิษดำที่อธิบายขึ้นด้วยรอยยิ้มเจื่อน
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง พวกเราถูกรุมล้อม ดูเหมือนองค์ชายหมีขาวกับอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนจะแอบสมคบคิดกัน พวกเขาร่วมมือกันโจมตีมาตั้งแต่ต้น ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพของเรายังไม่ถนัดต่อสู้ในภูมิศาสตร์ซับซ้อนเช่นนี้”
“เอาล่ะ องค์ชายอสรพิษดำไม่ต้องอธิบายอีกแล้ว ชิวหราน ท่านควรพูดให้น้อยกว่านี้”
ซูเซียงเสวี่ยเอ่ย
“เป็นเช่นนี้เพราะกองกำลังทั้งสองฝ่ายมารวมกันที่หุบเขาเหยียนชาน ขั้นต่อไปให้เราสองคนจัดการคงจะเกิดผลดีกว่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าขององค์ชายองค์หญิงอสูรทั้งหลายเต็มเปี่ยมยินดี องค์ชายอสรพิษดำเอ่ยถามขึ้นเสียงตื่น
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงจะลงมือเองหรือ?”
“ไม่เช่นนั้นจะทำเช่นไร? ท่านจะให้ตนเองถูกบุกเข้ามาหรือ?”
ไป๋ชิวหรานเหยียดมองหน้าอสูรทั้งสี่ ก่อนหันไปกล่าวกับซูเซียงเสวี่ย
“เซียงเสวี่ย เดินทัพครั้งหน้าให้ข้าเป็นผู้นำทัพใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่มีความเห็นเรื่องนี้”
ซูเซียงเสวี่ยมองหน้าเหล่าอสูรเบื้องหน้า
“พวกท่านคิดคัดค้านหรือไม่?”
สุนัขตัวผู้ตัวเมีย!*[2]
องค์ชายองค์หญิงทั้งสี่สบถในใจพร้อมกัน แต่องค์ชายอสรพิษดำยับยั้งพรรคพวกเอาไว้ ก่อนรีบพยักหน้ารับ
“ย่อมไม่คัดค้าน!”
…
“ฝ่าบาท!”
ด้านนอกหุบเขาเหยียนชานภายในกระโจมขององค์ชายหมีขาว อสูรหมีเร่งรุดเข้ามาพร้อมกับคุกเข่าลง
“เกิดสิ่งใดขึ้น?”
องค์ชายหมีขาวที่กำลังหันหลังสำรวจแผนที่หันกลับมาพร้อมกล่าวถาม
ในฐานะผู้นำอสูรที่ลุกขึ้นแข็งข้อต่อกฎเกณฑ์ของโลกมาร องค์ชายหมีขาวแปลงกายเป็นชายวัยกลางคนร่างบึกบึน ท่าทีสุขุม ทั้งเส้นผม ขนเคราขาวโพลน ตามเนื้อตัวและแก้มมีรอยแผลเป็นปรากฏชัดเจน
อสูรหมีเงยหน้าขึ้นมองหน้าผู้เป็นนาย ก่อนจะกล่าวรายงาน
“ผู้สำเร็จราชการแทนราชาอสูรส่งทูตมาขอรับ”
“ผู้สำเร็จราชการ” ที่ว่าคงหมายถึงผู้รักษาการแทนราชาอสูรองค์ใหม่อย่างอัครเสนาบดีอวิ๋นคุน ด้วยความเป็นกบฏ องค์ชายหมีขาวจึงไม่ยอมรับอำนาจของราชาอสูร
“ให้เขาเข้ามา”
องค์ชายหมีขาวออกคำสั่ง
ไม่ช้าอสูรในชุดเยี่ยงปัญญาชนก็เดินเข้ามาในกระโจมก่อนจะโค้งคำนับให้องค์ชายหมีขาว
“ได้เห็นองค์ชายหมีขาวกับตาเสียที”
“ราชาอสูรตายตกไปแล้ว ข้าไม่ใช่องค์ชายอสูรของเจ้าอีกต่อไป”
องค์ชายหมีขาวเอ่ยเสียงเรียบ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องแสร้งทำทีนอบน้อม”
“ถึงกระนั้นด้วยฐานะของท่าน ข้าราชบริพารอย่างข้าควรพูดจาให้สมเกียรติ”
ทูตผู้นั้นเอื้อนเอ่ยนอบน้อม
“ในสายตาข้าหลวงต่ำต้อย องค์ชายหมีขาวยังคงเป็นองค์ชายอยู่เสมอ ย่อมต้องปฏิบัติตนกับท่านตามธรรมเนียม”
“ท่านช่างกล้าหาญนัก”
องค์ชายหมีขาวทิ้งตัวนั่งลงบนที่นั่งซึ่งคลุมด้วยขนสีขาว
“อัครเสนาบดีอวิ๋นคุนส่งทูตสองคนมาก่อนหน้าท่าน ล้วนแล้วแต่เป็นคนโง่เขลาที่งาช้างไม่มีวันงอกจากปากสุนัข*[3] ไปบอกเขาเสียว่าอย่าส่งคนไร้ประประโยชน์มาพบข้าอีก”
“ข้าน้อยจะบอกกล่าวให้”
“ว่ามา อวิ๋นคุนส่งท่านมาด้วยเหตุใด?”
องค์ชายหมีขาวยกมือยันศีรษะก่อนจะถามขึ้นอย่างเหนื่อยหน่าย
“อัครเสนาบดีอวิ๋นคุนทราบแผนการของท่านแล้ว”
ทูตผู้นั้นกล่าวคำเนิบช้า
“อัครเสนาบดีส่งข้ามาที่นี่เพื่อบอกกล่าวกับท่านว่า… อัครเสนาบดียินดีร่วมมือกับท่าน และจะช่วยจับตัวบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่ามนุษย์”
[1] สถานการณ์ราวผ่านกระบอกไม้ไผ่ คือ บุกไปทางไหนก็แหลกราบไปทางนั้น
[2] สุนัขตัวผู้ตัวเมีย คือ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่ต่างกับสุนัขทั้งนั้น
[3] งาช้างไม่มีวันงอกจากปากสุนัข คือ คนเลวพูดอะไรก็มีแต่เรื่องต่ำทราม