เช้าวันรุ่งขึ้น ซูเซียงเสวี่ยนำกองทัพบุกเข้าโจมตีเมืองทันที
หากไม่นับกฎเกณฑ์และความกังวลจากความเสียหายในการสู้รบ ดูเหมือนว่าซูเซียงเสวี่ยจะมีอุดมการณ์อันแน่วแน่มั่นคงว่า จะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะโจมตีเมืองของศัตรูได้สำเร็จ
พละกำลังไม่ใช่กลยุทธ์เดียวที่จะสามารถเอาชนะในสงครามได้ หากปราศจากการวางแผน เพราะดูแล้วกองทัพขององค์ชายอสรพิษดำกับองค์ชายอสูรอีกสี่ตนอ่อนแอกว่ากองทัพโลกมารฝ่ายเหนือและกองทัพจักรวรรดิอสูรเล็กน้อย แม้ว่าตอนนี้กองกำลังของอีกฝ่ายจะถูกไป๋ชิวหรานสังหารไปเป็นส่วนใหญ่ ทว่ากำลังพลที่เหลือก็ได้ถอยทัพเข้ามาอยู่ในตัวเมืองแล้ว ภายใต้คำสั่งอันชาญฉลาดของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน ทำให้พวกเขายึดครองเมืองได้สำเร็จ จึงได้เปรียบในด้านทำเลที่ตั้งมากกว่า
ถึงแม้จะเผชิญความล้มเหลว แต่ซูเซียงเสวี่ยกลับไม่คิดจะยอมแพ้ ในเวลาเดียวกันของวันรุ่งขึ้น นางนำกองทัพเข้าโจมตีอีกครั้ง ซึ่งผลลัพธ์ในครั้งนี้ก็ยังคงเป็นความล้มเหลวเช่นเคย…
เป็นเวลาสามวันติดต่อกันแล้วที่นางไม่พักกองกำลังรบของตน หอคอยของเมืองที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนเต็มไปด้วยกระดูกของกองทัพโลกมารฝ่ายตะวันตกที่ทับถมเป็นกองพะเนิน ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ กองทัพโลกมารฝ่ายเหนือและกองทัพจักรวรรดิอสูรจึงประสบกับความสูญเสียอีกครั้ง
สามวันต่อมา ซูเซียงเสวี่ยยังคงยืนกรานที่จะบุกเข้าโจมตี ทว่าความโกลาหลกลับปะทุขึ้นกับบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของนาง แม่ทัพหลายตนนำกองทหารในสังกัดก่อการจลาจลเพื่อต่อต้านผู้นำที่โหดเหี้ยมของพวกเขา
แต่การก่อกบฏในครั้งนี้กลับไม่สัมฤทธิผล ภายใต้ช่องว่างขนาดมหึมาระหว่างขั้นพลัง แม่ทัพอสูรหลายตนจึงถูกสังหารโดยไม่อาจตอบโต้กลับ อีกทั้งกองทหารที่อยู่ภายใต้สังกัดยังถูกซูเซียงเสวี่ยล้างสมองเสียใหม่ กลายเป็นหุ่นเชิดในสงคราม และทั้งหมดล้วนล้มตายอยู่ข้างกำแพงกั้นระหว่างชายแดนของเมืองแห่งนี้!
วันที่สี่ หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับความกลัวและความสิ้นหวังจากการทำสงคราม กองกำลังส่วนใหญ่ในกองทัพของซูเซียงเสวี่ยต่างเสียขวัญเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาพากันหลบหนีออกจากสนามรบ หนีกลับไปทางโลกมารฝ่ายตะวันตกเพื่อเอาชีวิตรอด
อย่างไรก็ตาม ซูเซียงเสวี่ยก็ไม่ได้แยแสความขี้ขลาดของนายทหารเหล่านั้น คราวนี้นางยังคงออกคำสั่งกองกำลังที่เหลืออยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตนอย่างเงียบเชียบเพื่อทำการโจมตีต่อไป
ท้ายที่สุด ในวันที่ห้า ซูเซียงเสวี่ยนำนายทหารที่เหลืออยู่เพียงยี่สิบนาย ตรงเข้าไปอยู่ใต้กำแพงเมืองกั้นระหว่างชายแดนด้วยตนเอง
ขณะเดียวกัน อสูรจิ้งจอกขาวได้ปีนขึ้นไปสู่ยอดหอคอย เพื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีระลอกสุดท้ายของนาง
เช้าตรู่ของวันนี้ องค์ชายหมีขาวที่ตื่นขึ้นแต่เช้าเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ในภาพเขียนจิตรกรรมน้ำหมึกเซียน พบว่าไป๋ชิวหรานนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงบริเวณตีนเขาของห้วงมิติในภาพนั้น
จิตรกรรมน้ำหมึกเซียนไม่ปรากฏตัวขึ้นโจมตีชายหนุ่มอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ยุทธภัณฑ์นี้ยังเชื่อว่าไป๋ชิวหรานสูญสิ้นพลังในการต้านทานไปแล้ว
องค์ชายหมีขาวจึงรีบเรียกให้องค์ชายอสูรตนอื่น ๆ เข้ามาประชุมกันทันที เมื่อทุกคนเข้ามาถึงห้องลับภายในชั้นใต้ดินของเมือง ที่แห่งนี้มีค่ายกลต้องห้ามหลายร้อยรูปแบบ องค์ชายหมีขาวสะบัดภาพเขียนเบา ๆ เพื่อนำร่างไป๋ชิวหรานออกมาจากจิตรกรรมน้ำหมึกเซียนอย่างระมัดระวัง
ภายในพริบตาเดียวเท่านั้น ร่างของไป๋ชิวหรานที่หมดสติตกลงสู่พื้นน้ำแข็ง ทันใดนั้นค่ายกลสารพันอย่างในห้องลับก็เปิดใช้งานทันที ปราการหลายสิบด่านพุ่งออกมากดทับร่างกายชายหนุ่มไว้อย่างรวดเร็ว ทว่าไป๋ชิวหรานยังคงไร้การตอบสนอง
องค์ชายหมีขาวค่อย ๆ ยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง สัมผัสเส้นเลือดแดงที่อยู่บริเวณลำคอของไป๋ชิวหรานเพียงแผ่วเบา พบว่าหัวใจของชายหนุ่มไร้การสูบฉีด เหมือนกับสิ้นชีวิตไปแล้ว ตามร่างกายม่วงคล้ำราวกับศพ จุดหลิงถาย*[1] และคฤหาสน์ม่วง*[2] นิ่งสนิท พลังปราณแก่นแท้หดเล็กลงอยู่ภายในคฤหาสน์ม่วง ไม่มีการขยับเคลื่อนไหวใด ๆ
องค์ชายพยัคฆ์บินโผบินไปรอบกายอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา จากนั้นเปล่งเสียงตะโกนพลางกระทืบเข้าที่มือของไป๋ชิวหราน!
แรงกระทืบนั้นแรงมากเสียจนพื้นดินทั้งเมืองสั่นสะเทือนเล็กน้อย องค์ชายพยัคฆ์บินบิดขยี้ส้นเท้าไปมาให้แน่ใจ ก่อนจะชักฝ่าเท้าของตนกลับ
องค์ชายอสูรหลายตนต่างหันมองสบตากันและกันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุด องค์ชายหมีขาวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“สหาย เราประสบความสำเร็จแล้ว!”
องค์ชายอสูรหลายตนต่างเผยสีหน้าปีติยินดียิ่ง ขณะที่อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนรีบเร่งก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะก้มลงไปดึงถุงเก็บสมบัติออกมาจากบั้นเอวของไป๋ชิวหราน
เนื่องจากปราศจากพลังวิญญาณแท้จริง ถุงเก็บสมบัติใบนี้จึงอยู่ในสถานะไร้เจ้าของ โดยพื้นฐานแล้วกลายเป็นสมบัติอิสระที่ใครสามารถหยิบจับก็ได้ อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนจึงส่งกระแสจิตศักดิ์สิทธิ์ให้เจาะเข้าไปภายในอย่างง่ายดาย เขาไม่สนใจหินวิญญาณ เสื้อผ้าสำรองสำหรับผลัดเปลี่ยน สุราสองสามไห หรือกระบี่อีกจำนวนมากที่อยู่ภายใน ครั้นเห็นชิ้นส่วนของแผนที่ที่ไป๋ชิวหรานวางไว้ด้านในสุด จึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ภายในถุงนั้นมีของดีอะไรหรือไม่?”
เมื่อเห็นการกระทำของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน องค์ชายอสูรทั้งหลายต่างขยับเข้ามาใกล้ พร้อมเอ่ยถาม
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนไม่กล่าวตอบคำใด เพียงยื่นถุงเก็บสมบัติในมือเขาออกไปตรงหน้า จากนั้นกระแสจิตขององค์ชายอสูรหลายตนก็ได้แทรกซึมเข้าไปโดยพร้อมเพรียงกัน แต่แล้วทุกคนกลับเผยสีหน้าผิดหวัง
“เหตุใดถึงได้ยากไร้เช่นนี้?”
ราชามังกรถอนหายใจ
“นอกเหนือจากหินวิญญาณเหล่านี้ ไหบรรจุสุรา และหยกชิ้นใหญ่ที่ยังไม่ผ่านการแปรรูปแล้ว ยังมีสิ่งใดอีกบ้าง? ยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ เล่า? ไหนจะสารอันเป็นความลับอื่น ๆ? กองกระบี่ธรรมดาพวกนี้หมายความว่าอย่างไรกัน? เขามีสถานะเป็นถึงเสาหลักของมวลมนุษยชาติเลยเชียวนะ”
“บางทีเขาอาจไม่เคยเรียกใช้สิ่งเหล่านั้นเลยก็เป็นได้”
องค์ชายหมีขาวหยิบสุราสองสามไหออกมาจากถุงเก็บสมบัติ
“มาเถิด ทุกท่าน ค่ำคืนนี้เราจะกลับไปทานอาหารเย็นกันให้สำราญ โดยจะร่ำสุราของบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่ามนุษย์ผู้นี้ในการเฉลิมฉลอง!”
“ดี ดี ข้าเองก็คิดว่าองค์หญิงผู้ไร้เทียมทานคงจะพ่ายแพ้ให้กับพวกเราในวันนี้เช่นเดียวกัน หลังจากที่อสูรจิ้งจอกขาวจับตัวนางไว้ได้แล้ว เราค่อยจัดงานสมโภชกันอย่างยิ่งใหญ่!”
เมื่อเห็นองค์ชายอสูรหลายตนพูดคุยกันพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะ อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนจึงโพล่งถามขึ้น
“ทุกท่าน แล้วเราควรจัดการกับบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงผู้นี้อย่างไร?”
“เห็นทีร่างกายของบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงคงไม่สามารถทำลายให้สิ้นด้วยกระบี่ได้ ตอนนี้เรายังสังหารเขาไม่ได้เพราะเงื่อนไขดังกล่าว”
องค์ชายหมีขาวไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง
“ก่อนอื่นควรนำตัวเข้าไปขังอยู่ในคุกใต้ดิน รอจนกว่าจะเข้ายึดครองเมืองหลวงของจักรวรรดิได้ แล้วค่อยใช้เตาหลอมอาวุธเพื่อทำลายร่างของเขา”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนเกิดความลังเลครู่หนึ่ง เขามีลางสังหรณ์ไม่สู้ดีบางอย่าง
“ข้าคิดว่าคงเป็นการปลอดภัยกว่า หากนำร่างของเขาเข้าไปอยู่ในภาพเขียนจิตรกรรมน้ำหมึกเซียน”
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกันในตอนแรก”
องค์ชายหมีขาวแค่นเสียงเย้ยหยัน
“ทว่าท่านอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคิดว่ายุทธภัณฑ์เซียนโบราณชิ้นนี้ควบคุมได้ง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ?”
“องค์ชายหมีขาวหมายความว่าอย่างไร?”
“เพื่อที่ข้าจะสามารถควบคุมมันได้ จึงได้ทำข้อตกลงกับจิตวิญญาณของยุทธภัณฑ์ชิ้นนี้ โดยการเติมเต็มพลังจิตวิญญาณด้วยเส้นชีพจรวิญญาณทั้งหมด และเสนอนายทหารผู้ภักดีหลายร้อยคนเพื่อเป็นเครื่องสังเวยเลือด ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวแทบไม่เพียงพอต่อการควบคุมให้ต่อสู้เพื่อข้าได้ด้วยซ้ำ เพื่อที่จะกำจัดบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง จิตวิญญาณภายในยุทธภัณฑ์ชิ้นนี้ได้หมดพลังงานในตัวเองไปเสียแล้ว หากท่านต้องการเรียกใช้อีกครั้ง… ต้องเติมเต็มเข้าไปเช่นที่เคยทำ ทว่าตอนนี้ข้าจะเสาะหาชีพจรวิญญาณและสังเวยเลือดให้มันได้จากหนใดเล่า?”
องค์ชายหมีขาวอธิบายอย่างจนปัญญา
“เช่นนั้น… ก็ได้”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนถอนหายใจ
“ข้าจะรับหน้าที่เก็บชิ้นส่วนของแผนที่ส่วนนี้ไว้ก่อน องค์ชายหมีขาว แล้วแผนที่ในส่วนของเจ้าอยู่ที่ใดหรือ?”
“อยู่กับข้า มีสิ่งใดหรือไม่?”
องค์ชายหมีขาวเผลอตอบกลับโดยไม่รู้ตัว
“ข้าจะไม่มอบให้กับท่านในเวลานี้ ทันทีที่การต่อสู้ในครั้งนี้สิ้นสุดลง และกวาดล้างโลกมารฝ่ายตะวันตกได้แล้ว เราจะเปิดสุสานองค์จักรพรรดิอสูรพร้อมกัน รวมไปถึงทำการประลอง ใครก็ตามที่เป็นผู้ชนะจะได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิอสูร”
“เฮ้อ…”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนถอนหายใจ
“ข้าเก็บชิ้นส่วนหนึ่งของแผนที่ไว้กับตัวเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว”
เขาหันหลังกลับก่อนจะเดินจากไป องค์ชายหมีขาวโอบไหล่องค์ชายอสูรอีกสองสามตนเข้ามาใกล้ จากนั้นเดินติดตามออกไปพลางระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ทหารยามหลายคนเดินเข้ามา ยกร่างของไป๋ชิวหรานที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นขึ้น เพื่อนำตัวเขาไปขังไว้ภายในคุกใต้ดิน
ในมุมมองของอสูรเผ่ามารแล้ว ดูเหมือนว่าทุกสิ่งอย่างจะราบรื่นไปด้วยดี ทว่าไม่มีผู้ใดเลยที่สังเกตเห็นว่าไป๋ชิวหรานที่ร่างกายแข็งทื่อราวคนเป็นอัมพาตและหมดสติ ขณะถูกทหารแบกร่างออกไป ใบหูของชายหนุ่มกลับขยับเล็กน้อย
[1] จุดหลิงถาย คือ จุดฝังเข็มบนแนวกึ่งกลางสันหลัง อยู่ตรงร่องใต้ปุ่มกระดูกสันหลัง
[2] คฤหาสน์ม่วง คือ เป็นที่อยู่ของชีวิตเซียนภายในร่างกาย