ไป๋ชิวหรานยื่นมือออกไปคว้ามันมาทันที จี้หยกเนื้อสีน้ำเงินในมือของชายหนุ่มแปลกหน้าได้ตกเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ ไป๋ชิวหรานพินิจดูอย่างละเอียดแล้วจึงเอ่ยถามว่า
“เจ้าได้รับจี้หยกชิ้นนี้มาจากที่ใด?”
ดวงตาของชายผู้นั้นเลื่อนไปมองอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนซึ่งอยู่ด้านข้างแทนการตอบคำถาม
“ข้าเข้าใจแล้ว มันถูกมอบให้โดย ‘ผู้ที่ไม่อาจกล่าวถึง’ ใช่หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานเก็บจี้หยกไว้กับตัวพลางกล่าวเบา ๆ
“ทว่าจี้หยกชิ้นนี้แลกได้เพียงหนึ่งชีวิตเท่านั้น… ครานี้ใช้แลกกับชีวิตของเขา แล้วชีวิตของเจ้าจะทำอย่างไร?”
“จี้หยกนี้เป็นชีวิตของเขา ไม่ใช่ของข้า”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนหยัดกายลุกขึ้นจากพื้น ขณะกล่าวก็ยกมือขึ้นแตะบริเวณลำคอ
“พอเถอะ อัครมหาเสนาบดีอวิ๋น คราวนี้ท่านต้องฟังคำของข้าบ้าง”
ชายหนุ่มผู้นั้นเผยรอยยิ้มขมขื่น
“หากเปรียบเทียบท่านกับข้าแล้ว โลกมารจะสูญเสียท่านไปไม่ได้… ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ข้าคิดว่าบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงคงไม่ลงมือสังหารข้าหรอก ใช่หรือไม่?”
“โอ้? ไปมีความมั่นใจมาจากไหนกันว่าข้าจะไม่สังหารเจ้า?”
ไป๋ชิวหรานเอียงคอมอง
“อย่าบอกเชียวว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างเจ้ากับซูเซียงเสวี่ย เจ้าคงตระหนักดีว่านางไม่แยแสเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจะไม่แยแสเช่นเดียวกัน”
“แน่นอน ข้าคงไม่ฝากความหวังไว้กับทายาทของจักรพรรดิอสูรนางนั้นแน่ แล้วข้าก็ไม่สนใจเรื่องนั้น ไม่จำเป็นต้องพาดพิงถึงหญิงสาวครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูรคนนั้นด้วย”
ชายหนุ่มแปลกหน้ายังคงรักษาท่าทีนิ่งสงบ ทว่าไป๋ชิวหรานสังเกตเห็นว่าเขาประหม่าเล็กน้อย ถึงกระนั้นอีกฝ่ายยังคงรวบรวมความกล้าพร้อมกล่าวต่อไป
“เหตุที่มั่นใจว่าท่านไม่มีทางสังหารข้า นั่นเป็นเพราะการที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อท่านหรือต่อมวลมนุษยชาติมากกว่า จริงหรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานเพียงมองอีกฝ่ายนิ่งสงบโดยไม่กล่าวตอบคำใด
“เมื่อองค์ชายวานรกับองค์ชายมังกรพบข้าระหว่างทาง เราได้กลับไปยังพระราชวังพร้อมกัน แล้วจึงพบว่าท่านไม่ได้สังหารองค์ชายหมีขาว แต่เพียงนั่งคอยให้เขาถูกองค์ชายจิ้งจอกขาวพาตัวไป ข้าจึงตระหนักว่าคราวนี้ท่านไม่ได้ต้องการเพียงแผนที่ของหลุมศพจักรพรรดิอสูรองค์แรกเท่านั้น… อีกสิ่งที่ต้องการ คือการที่โลกมารทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ได้รับความสูญเสียอย่างหนัก และเกิดความขัดแย้งกัน”
ชายหนุ่มหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อไป
“ด้วยเหตุดังกล่าว ท่านถึงไว้ชีวิตองค์ชายหมีขาว ปล่อยให้ดำรงชีวิตต่อไปในฐานะผู้นำของโลกมารฝ่ายเหนือ และธงแห่งจิตวิญญาณของอสูรเผ่ามารระดับกลางกับระดับต่ำอันกว้างใหญ่ไพศาลในโลกมาร ขณะเดียวกันก็ต้องการตัวข้า จักรพรรดิอสูรผู้สืบสายเลือดของจักรพรรดิองค์ก่อนโดยตรง ให้ดำรงชีวิตอยู่ในฐานะผู้นำของอสูรเผ่ามารระดับสูง เป็นหัวเรือใหญ่สำหรับต่อต้านองค์ชายหมีขาว ช่องว่างระดับนี้กำหนดโดยลำดับชั้นทางสายเลือด หากไม่มีการใช้ความรุนแรงก็ไม่มีทางแก้ไขได้ภายในหนึ่งปีครึ่ง… ส่วนความแข็งแกร่งของการต่อสู้ภายในโลกมารของเรานั้น โดยพื้นฐานแล้ว จากสงครามกลางเมืองไม่กี่ครั้งที่ผ่านมา ท่านสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด ครั้งต่อ ๆ ไปก็เช่นกัน ทำให้อสูรเผ่ามารต้องเอาชีวิตรอดให้ได้ในช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดนี้ และไม่มีทางที่จะเป็นภัยคุกคามต่อเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินอย่างแน่นอน”
“เจ้าคาดเดาทั้งหมดนี้ด้วยตนเองงั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ จึงโพล่งถามขึ้น
“เปล่าหรอก ข้าไม่มีความสามารถมากถึงเพียงนั้น”
ชางหวงอวี่ประสานมือก่อนกล่าวออกไป
“ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการระดมความคิดตามแผนการของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน และจากการจับสังเกตการกระทำขององค์หญิงเพียงเล็กน้อย”
“อืม เจ้าชื่อแซ่ใด?”
“ข้าแซ่ชาง ชื่อหวงอวี่”
“ชางหวงอวี่งั้นหรือ…”
ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นพร้อมกล่าวว่า
“แต่ในเมื่อแลกจี้หยกชิ้นนี้แทนชีวิตของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน และให้คำบอกเล่าเหล่านี้เพื่อช่วยชีวิตของตัวเจ้าเอง เช่นนั้นจะขอสิ่งใดเพื่อรักษาชีวิตขององค์ชายอสูรทั้งสองที่ยังลอยนวลอยู่ข้างนอกนั่น? รู้หรือไม่? ชีวิตของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนผู้นี้ รวมถึงเจ้าลิงกับเจ้ามังกรแล้ว ประโยชน์ช่างน้อยนิดว่าชีวิตของเจ้ากับองค์ชายหมีขาวเสียอีก”
“นี่คือชิ้นส่วนสุดท้ายของแผนที่… ทางราชวงศ์เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีจากรุ่นสู่รุ่น”
ชางหวงอวี่หยิบชิ้นส่วนของแผนที่ออกมาจากแขนเสื้อด้วยท่าทีสุภาพ ก่อนเดินเข้าไปหาไป๋ชิวหราน
“ข้า ชางหวงอวี่ยินดีที่จะให้ชิ้นส่วนแผนที่นี้ เพื่อแลกกับชีวิตของท่านอาจารย์และท่านลุงมังกรจากเงื้อมมือของบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง”
ไป๋ชิวหรานได้ยินเช่นนั้นจึงยกหัวกะโหลกจื้อเซียนขึ้นเพื่อให้ระบุตัวตนของชิ้นส่วนแผนที่ หลังจากได้รับคำตอบในเชิงบวกจากจื้อเซียนแล้ว ชายหนุ่มจึงเก็บชิ้นส่วนแผนที่ที่ได้มาจากชางหวงอวี่ไว้ในหีบสมบัติ แล้วกล่าวว่า
“ข้อแลกเปลี่ยนถือเป็นอันสมบูรณ์ ข้าจะทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้”
ครั้นเห็นว่าไป๋ชิวหรานกระโดดดำดิ่งลงไปในทะเลสาบใต้ดินและอันตรธานหายลับไป ชางหวงอวี่จึงรีบก้าวเดินเข้าไปพร้อมยื่นมือออกไปช่วยประคองอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนให้ลุกขึ้น
“องค์จักรพรรดิ พระองค์ไม่ควรมอบแผนที่หลุมศพจักรพรรดิอสูรองค์แรกแก่เขา”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนผ่อนลมหายใจออกสองครั้ง ก่อนจะกล่าวต่อไป
“นั่นถือเป็นรากเหง้าสายเลือดมังกรเก้าเศียรของจักรพรรดิอสูร”
“ความรุ่งโรจน์เปี่ยมไปด้วยเกียรติยศของราชวงศ์อสูรหรืออะไรทำนองนั้น เป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจเข้าใจได้ อีกทั้งยังเป็นเพียงโอรสชั้นปลายแถว…”
ชางหวงอวี่ตอบกลับ
“ข้ารู้เพียงว่าสถานการณ์ในโลกมาร ณ ตอนนี้อยู่ในช่วงวิกฤต เมื่อเทียบกับหลุมฝังศพจักรพรรดิอสูรองค์แรกที่เป็นเพียงสิ่งลวงตาแล้ว… ข้ากลับสนใจผู้มีพรสวรรค์เช่นท่านมากกว่า เพราะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูโลกมารขึ้นมาอีกครั้ง… ชีวิตของท่านจึงสำคัญมากกว่าหลุมศพของคนตายเสียอีก”
…
ไป๋ชิวหรานย้อนกลับไปในตัวเมืองที่จากมาก่อนหน้านี้ และพบว่าซูเซียงเสวี่ยนำทัพบุกเข้ามาในเมืองได้สำเร็จ!
เมื่อองค์ชายจิ้งจอกขาวพบว่าไป๋ชิวหรานไม่ถูกปราบปรามแต่อย่างใด เพียงแสร้งทำเป็นว่าสิ้นลมหายใจไปชั่วขณะเท่านั้น องค์ชายจิ้งจอกขาวที่อยู่ตกในสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงได้เล็ดลอดเข้าไปภายในพระราชวังเพื่อช่วยชีวิตองค์ชายหมีขาวที่ได้รับบาดเจ็บจนหมดสติ
เมื่อองค์ชายมังกรกับองค์ชายวานรเห็นว่าเหตุการณ์กลับตาลปัตรเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงรีบออกจากเมืองเพื่อไปตามหาชางหวงอวี่ หลังพบจักรพรรดิอสูรกำลังช่วยประคองร่างอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน องค์ชายอสูรทั้งสองจึงหวาดกลัวว่า ไป๋ชิวหรานอาจตามสังหารพวกเขาในภายหลัง ดังนั้นจึงทำให้ไม่กล้าย้อนกลับไปที่เมือง และต่างคนต่างหาที่หลบซ่อน
เป็นเช่นนี้แล้วกองกำลังทหารที่หลงเหลืออยู่ของฝั่งโลกมารฝ่ายเหนือกับกองทัพจักรวรรดิอสูรที่อยู่ในตัวเมือง จึงเลือกที่จะยอมศิโรราบเมื่อเผชิญหน้ากับซูเซียงเสวี่ยที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าองค์ชายอสูร!
เมื่อกลับไปยังพระราชวังหลวง ซูเซียงเสวี่ยก็ได้นำกำลังทหารอีกยี่สิบนายที่เหลือรอดจากฝั่งโลกมารฝ่ายตะวันตก ไปจับกุมตัวเชลยศึกตามซากปรักหักพังของพระราชวังหลวง
ในสงครามครั้งนี้ องค์ชายหมีขาวแห่งโลกมารฝ่ายเหนือได้จัดสรรนักรบอสูรที่บรรลุขั้นขอบเขตแกนทองคำไว้ทั้งหมดสองหมื่นนาย ในขณะที่กองทัพจักรวรรดิอสูรได้จัดสรรกำลังพลด้วยทหารชั้นยอดประมาณหนึ่งหมื่นนายเท่านั้น จึงเป็นผลให้ไป๋ชิวหรานสามารถควบคุมสถานการณ์ในช่วงระหว่างทำสงครามได้อย่างง่ายดาย เมื่อกองทัพทั้งสองฝ่ายจัดกระบวนทัพขึ้นอีกครั้งทำให้มีจำนวนคนน้อยลงไปมากกว่าครึ่ง อีกทั้งยังต้องคอยต้านทานการโจมตีอันรุนแรงจากซูเซียงเสวี่ย ทำให้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา พวกเขาประสบกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
เวลานี้ ท่ามกลางบริเวณที่ถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน กองทัพของโลกมารฝ่ายเหนือกับกองทัพจักรพรรดิอสูร มีเหล่านักรบอสูรเหลืออยู่เพียงหนึ่งถึงสองพันนายเท่านั้น ทั้งสองกองกำลังต่างยืนรวมกันเป็นกลุ่มเดียว
ในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ อสูรเผ่ามารที่มีกองกำลังน้อยนิดเช่นนี้คงไม่อาจเข้าโจมตีพื้นที่เก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินได้เป็นแน่ และเกรงว่าแม้แต่จะก่อความโกลาหลขึ้นในโลกมารอีกครั้งคงจะเป็นการยากแน่
ไป๋ชิวหรานไม่ได้ปิดบังตำแหน่งหรือตัวตนแต่อย่างใด ซูเซียงเสวี่ยผู้ซึ่งกำลังกวาดต้อนเชลยศึกจึงมองเห็นชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว นางผละจากสถานการณ์ตรงหน้าไว้เบื้องหลัง ก่อนเดินตรงไปหาเขาด้วยรอยยิ้มสดใส
“เจ้ากลับมาแล้ว”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้ารับ เมื่อซูเซียงเสวี่ยเหลือบไปเห็นชางหวงอวี่กับอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนติดตามชายหนุ่มมาด้วย รอยยิ้มบนใบหน้าของนางพลันจางลงอีกครั้ง สตรีดึงแขนของไป๋ชิวหรานให้หลบไปด้านข้าง ก่อนตั้งคำถามด้วยเสียงแผ่วต่ำ
“เหตุใดเจ้าไม่กำจัดอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนผู้นี้ทิ้งเสีย?”
“เพราะสิ่งนี้อย่างไรล่ะ”
ไป๋ชิวหรานชูจี้หยกสีน้ำเงินในมือขึ้น
ซูเซียงเสวี่ยพินิจมองจี้หยกอยู่ครู่หนึ่งด้วยความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วจึงกล่าวออกด้วยความตกตะลึง
“ตราประทับบนจี้หยกชิ้นนี้… มาจากสำนักกระบี่ชิงหมิงของเจ้ามิใช่หรอกหรือ?”
“ใช่ สำหรับสำนักกระบี่ชิงหมิง เมื่อศิษย์ทุกคนผ่านเข้าสู่ประตูสำนัก อาจารย์ของพวกเขาจะแกะสลักจี้หยกไว้ให้เป็นการส่วนตัว ซึ่งจะใช้เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงตัวตนและสถานะของคนผู้นั้น หรืออาจใช้เป็นเครื่องบ่งบอกถึงบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดกับคนภายในสำนัก”
ไป๋ชิวหรานอธิบาย
“ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น จี้หยกชิ้นนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงสารของอาจารย์ที่อำนวยพรให้แก่ศิษย์ ในช่วงแรกจี้หยกของสำนักกระบี่ชิงหมิงไม่ได้ถูกใช้เพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์เช่นนี้ จนกระทั่งท่านอาจารย์ของข้าเป็นผู้คิดค้นขึ้น และแกะสลักจี้หยกดังกล่าวให้เป็นชิ้นแรก”
ขณะกล่าวเช่นนั้น ชายหนุ่มก็หยิบจี้หยกของตนเองออกมาจากถุงเก็บสมบัติและกล่าวต่อไป
“คุณสมบัติข้างต้นทั้งหมดถูกเพิ่มเข้ามาในภายหลัง ตอนแรกเป็นแค่จี้หยกธรรมดาสามัญชิ้นหนึ่ง ถ้อยคำที่ท่านอาจารย์มอบให้คือ ‘นิรันดร์’ อันเป็นหมายความว่าข้าไม่ควรหยุดการฝึกฝน จงอดทน และสักวันหนึ่งจะต้องบรรลุไปสู่ระดับขั้นที่สูงขึ้น”
จี้หยกดังกล่าวจึงถูกใช้เป็นประเพณีที่สืบเนื่องต่อมาเป็นระยะเวลากว่าสามพันปีภายในสำนักกระบี่ชิงหมิง แม้แต่กลุ่มศิษย์รุ่นถังรั่วเวยที่เพิ่งฝากตัวเข้าเป็นศิษย์ได้ไม่นานนัก ไป๋ชิวหรานยังแกะสลักจี้หยกไว้ให้ถังรั่วเวยเช่นกันในฐานะอาจารย์และศิษย์ ซึ่งถ้อยคำที่ชายหนุ่มมอบให้กับนางคือคำว่า ‘แข็งแกร่ง’
แม้ว่าไป๋ชิวหรานจะอธิบายให้ถังรั่วเวยฟังว่า… ให้นางเพียรพยายามและฝึกฝนอย่างหนัก แต่แท้ที่จริงแล้วตอนนั้นชายหนุ่มกลับนึกถึงคำว่า ‘ยากเย็น’ ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“จี้หยกนี้ใช้ทักษะการแกะสลักที่เป็นกลวิธีอันเป็นพื้นฐานของสำนักกระบี่ชิงหมิง”
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองไปที่จี้หยกที่ซูเซียงเสวี่ยกำลังถืออยู่ แล้วกล่าวต่อไป
“สังเกตจากปฏิกิริยาของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน กับน้องชายที่มีสายเลือดห่าง ๆ ของเจ้าแล้ว จี้หยกชิ้นนี้คงได้รับมาจากมหาวิหารฝูซางในแถบทะเลตะวันออก แต่ปัญหาคือภายในระยะเวลากว่าสามพันปีนับตั้งแต่ข้าเข้าเป็นศิษย์ของกระบี่ชิงหมิง จากความทรงจำอันยาวนาน ไม่มีศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิงคนใดที่เคยเดินทางผ่านทะเลตะวันออก และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเดินทางข้ามมหาสมุทร ดังนั้นคำถามคือ… จี้หยกชิ้นนี้เป็นของใครกัน?”