ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 135 จี้หยกชิ้นนี้เป็นของใครกัน

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ไป๋ชิวหรานยื่นมือออกไปคว้ามันมาทันที จี้หยกเนื้อสีน้ำเงินในมือของชายหนุ่มแปลกหน้าได้ตกเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ ไป๋ชิวหรานพินิจดูอย่างละเอียดแล้วจึงเอ่ยถามว่า

“เจ้าได้รับจี้หยกชิ้นนี้มาจากที่ใด?”

ดวงตาของชายผู้นั้นเลื่อนไปมองอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนซึ่งอยู่ด้านข้างแทนการตอบคำถาม

“ข้าเข้าใจแล้ว มันถูกมอบให้โดย ‘ผู้ที่ไม่อาจกล่าวถึง’ ใช่หรือไม่?”

ไป๋ชิวหรานเก็บจี้หยกไว้กับตัวพลางกล่าวเบา ๆ

“ทว่าจี้หยกชิ้นนี้แลกได้เพียงหนึ่งชีวิตเท่านั้น… ครานี้ใช้แลกกับชีวิตของเขา แล้วชีวิตของเจ้าจะทำอย่างไร?”

“จี้หยกนี้เป็นชีวิตของเขา ไม่ใช่ของข้า”

อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนหยัดกายลุกขึ้นจากพื้น ขณะกล่าวก็ยกมือขึ้นแตะบริเวณลำคอ

“พอเถอะ อัครมหาเสนาบดีอวิ๋น คราวนี้ท่านต้องฟังคำของข้าบ้าง”

ชายหนุ่มผู้นั้นเผยรอยยิ้มขมขื่น

“หากเปรียบเทียบท่านกับข้าแล้ว โลกมารจะสูญเสียท่านไปไม่ได้… ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ข้าคิดว่าบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงคงไม่ลงมือสังหารข้าหรอก ใช่หรือไม่?”

“โอ้? ไปมีความมั่นใจมาจากไหนกันว่าข้าจะไม่สังหารเจ้า?”

ไป๋ชิวหรานเอียงคอมอง

“อย่าบอกเชียวว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างเจ้ากับซูเซียงเสวี่ย เจ้าคงตระหนักดีว่านางไม่แยแสเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจะไม่แยแสเช่นเดียวกัน”

“แน่นอน ข้าคงไม่ฝากความหวังไว้กับทายาทของจักรพรรดิอสูรนางนั้นแน่ แล้วข้าก็ไม่สนใจเรื่องนั้น ไม่จำเป็นต้องพาดพิงถึงหญิงสาวครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูรคนนั้นด้วย”

ชายหนุ่มแปลกหน้ายังคงรักษาท่าทีนิ่งสงบ ทว่าไป๋ชิวหรานสังเกตเห็นว่าเขาประหม่าเล็กน้อย ถึงกระนั้นอีกฝ่ายยังคงรวบรวมความกล้าพร้อมกล่าวต่อไป

“เหตุที่มั่นใจว่าท่านไม่มีทางสังหารข้า นั่นเป็นเพราะการที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อท่านหรือต่อมวลมนุษยชาติมากกว่า จริงหรือไม่?”

ไป๋ชิวหรานเพียงมองอีกฝ่ายนิ่งสงบโดยไม่กล่าวตอบคำใด

“เมื่อองค์ชายวานรกับองค์ชายมังกรพบข้าระหว่างทาง เราได้กลับไปยังพระราชวังพร้อมกัน แล้วจึงพบว่าท่านไม่ได้สังหารองค์ชายหมีขาว แต่เพียงนั่งคอยให้เขาถูกองค์ชายจิ้งจอกขาวพาตัวไป ข้าจึงตระหนักว่าคราวนี้ท่านไม่ได้ต้องการเพียงแผนที่ของหลุมศพจักรพรรดิอสูรองค์แรกเท่านั้น… อีกสิ่งที่ต้องการ คือการที่โลกมารทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ได้รับความสูญเสียอย่างหนัก และเกิดความขัดแย้งกัน”

ชายหนุ่มหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อไป

“ด้วยเหตุดังกล่าว ท่านถึงไว้ชีวิตองค์ชายหมีขาว ปล่อยให้ดำรงชีวิตต่อไปในฐานะผู้นำของโลกมารฝ่ายเหนือ และธงแห่งจิตวิญญาณของอสูรเผ่ามารระดับกลางกับระดับต่ำอันกว้างใหญ่ไพศาลในโลกมาร ขณะเดียวกันก็ต้องการตัวข้า จักรพรรดิอสูรผู้สืบสายเลือดของจักรพรรดิองค์ก่อนโดยตรง ให้ดำรงชีวิตอยู่ในฐานะผู้นำของอสูรเผ่ามารระดับสูง เป็นหัวเรือใหญ่สำหรับต่อต้านองค์ชายหมีขาว ช่องว่างระดับนี้กำหนดโดยลำดับชั้นทางสายเลือด หากไม่มีการใช้ความรุนแรงก็ไม่มีทางแก้ไขได้ภายในหนึ่งปีครึ่ง… ส่วนความแข็งแกร่งของการต่อสู้ภายในโลกมารของเรานั้น โดยพื้นฐานแล้ว จากสงครามกลางเมืองไม่กี่ครั้งที่ผ่านมา ท่านสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด ครั้งต่อ ๆ ไปก็เช่นกัน ทำให้อสูรเผ่ามารต้องเอาชีวิตรอดให้ได้ในช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดนี้ และไม่มีทางที่จะเป็นภัยคุกคามต่อเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินอย่างแน่นอน”

“เจ้าคาดเดาทั้งหมดนี้ด้วยตนเองงั้นหรือ?”

ไป๋ชิวหรานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ จึงโพล่งถามขึ้น

“เปล่าหรอก ข้าไม่มีความสามารถมากถึงเพียงนั้น”

ชางหวงอวี่ประสานมือก่อนกล่าวออกไป

“ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการระดมความคิดตามแผนการของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน และจากการจับสังเกตการกระทำขององค์หญิงเพียงเล็กน้อย”

“อืม เจ้าชื่อแซ่ใด?”

“ข้าแซ่ชาง ชื่อหวงอวี่”

“ชางหวงอวี่งั้นหรือ…”

ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นพร้อมกล่าวว่า

“แต่ในเมื่อแลกจี้หยกชิ้นนี้แทนชีวิตของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน และให้คำบอกเล่าเหล่านี้เพื่อช่วยชีวิตของตัวเจ้าเอง เช่นนั้นจะขอสิ่งใดเพื่อรักษาชีวิตขององค์ชายอสูรทั้งสองที่ยังลอยนวลอยู่ข้างนอกนั่น? รู้หรือไม่? ชีวิตของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนผู้นี้ รวมถึงเจ้าลิงกับเจ้ามังกรแล้ว ประโยชน์ช่างน้อยนิดว่าชีวิตของเจ้ากับองค์ชายหมีขาวเสียอีก”

“นี่คือชิ้นส่วนสุดท้ายของแผนที่… ทางราชวงศ์เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีจากรุ่นสู่รุ่น”

ชางหวงอวี่หยิบชิ้นส่วนของแผนที่ออกมาจากแขนเสื้อด้วยท่าทีสุภาพ ก่อนเดินเข้าไปหาไป๋ชิวหราน

“ข้า ชางหวงอวี่ยินดีที่จะให้ชิ้นส่วนแผนที่นี้ เพื่อแลกกับชีวิตของท่านอาจารย์และท่านลุงมังกรจากเงื้อมมือของบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง”

ไป๋ชิวหรานได้ยินเช่นนั้นจึงยกหัวกะโหลกจื้อเซียนขึ้นเพื่อให้ระบุตัวตนของชิ้นส่วนแผนที่ หลังจากได้รับคำตอบในเชิงบวกจากจื้อเซียนแล้ว ชายหนุ่มจึงเก็บชิ้นส่วนแผนที่ที่ได้มาจากชางหวงอวี่ไว้ในหีบสมบัติ แล้วกล่าวว่า

“ข้อแลกเปลี่ยนถือเป็นอันสมบูรณ์ ข้าจะทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้”

ครั้นเห็นว่าไป๋ชิวหรานกระโดดดำดิ่งลงไปในทะเลสาบใต้ดินและอันตรธานหายลับไป ชางหวงอวี่จึงรีบก้าวเดินเข้าไปพร้อมยื่นมือออกไปช่วยประคองอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนให้ลุกขึ้น

“องค์จักรพรรดิ พระองค์ไม่ควรมอบแผนที่หลุมศพจักรพรรดิอสูรองค์แรกแก่เขา”

อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนผ่อนลมหายใจออกสองครั้ง ก่อนจะกล่าวต่อไป

“นั่นถือเป็นรากเหง้าสายเลือดมังกรเก้าเศียรของจักรพรรดิอสูร”

“ความรุ่งโรจน์เปี่ยมไปด้วยเกียรติยศของราชวงศ์อสูรหรืออะไรทำนองนั้น เป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจเข้าใจได้ อีกทั้งยังเป็นเพียงโอรสชั้นปลายแถว…”

ชางหวงอวี่ตอบกลับ

“ข้ารู้เพียงว่าสถานการณ์ในโลกมาร ณ ตอนนี้อยู่ในช่วงวิกฤต เมื่อเทียบกับหลุมฝังศพจักรพรรดิอสูรองค์แรกที่เป็นเพียงสิ่งลวงตาแล้ว… ข้ากลับสนใจผู้มีพรสวรรค์เช่นท่านมากกว่า เพราะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูโลกมารขึ้นมาอีกครั้ง… ชีวิตของท่านจึงสำคัญมากกว่าหลุมศพของคนตายเสียอีก”

ไป๋ชิวหรานย้อนกลับไปในตัวเมืองที่จากมาก่อนหน้านี้ และพบว่าซูเซียงเสวี่ยนำทัพบุกเข้ามาในเมืองได้สำเร็จ!

เมื่อองค์ชายจิ้งจอกขาวพบว่าไป๋ชิวหรานไม่ถูกปราบปรามแต่อย่างใด เพียงแสร้งทำเป็นว่าสิ้นลมหายใจไปชั่วขณะเท่านั้น องค์ชายจิ้งจอกขาวที่อยู่ตกในสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงได้เล็ดลอดเข้าไปภายในพระราชวังเพื่อช่วยชีวิตองค์ชายหมีขาวที่ได้รับบาดเจ็บจนหมดสติ

เมื่อองค์ชายมังกรกับองค์ชายวานรเห็นว่าเหตุการณ์กลับตาลปัตรเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงรีบออกจากเมืองเพื่อไปตามหาชางหวงอวี่ หลังพบจักรพรรดิอสูรกำลังช่วยประคองร่างอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน องค์ชายอสูรทั้งสองจึงหวาดกลัวว่า ไป๋ชิวหรานอาจตามสังหารพวกเขาในภายหลัง ดังนั้นจึงทำให้ไม่กล้าย้อนกลับไปที่เมือง และต่างคนต่างหาที่หลบซ่อน

เป็นเช่นนี้แล้วกองกำลังทหารที่หลงเหลืออยู่ของฝั่งโลกมารฝ่ายเหนือกับกองทัพจักรวรรดิอสูรที่อยู่ในตัวเมือง จึงเลือกที่จะยอมศิโรราบเมื่อเผชิญหน้ากับซูเซียงเสวี่ยที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าองค์ชายอสูร!

เมื่อกลับไปยังพระราชวังหลวง ซูเซียงเสวี่ยก็ได้นำกำลังทหารอีกยี่สิบนายที่เหลือรอดจากฝั่งโลกมารฝ่ายตะวันตก ไปจับกุมตัวเชลยศึกตามซากปรักหักพังของพระราชวังหลวง

ในสงครามครั้งนี้ องค์ชายหมีขาวแห่งโลกมารฝ่ายเหนือได้จัดสรรนักรบอสูรที่บรรลุขั้นขอบเขตแกนทองคำไว้ทั้งหมดสองหมื่นนาย ในขณะที่กองทัพจักรวรรดิอสูรได้จัดสรรกำลังพลด้วยทหารชั้นยอดประมาณหนึ่งหมื่นนายเท่านั้น จึงเป็นผลให้ไป๋ชิวหรานสามารถควบคุมสถานการณ์ในช่วงระหว่างทำสงครามได้อย่างง่ายดาย เมื่อกองทัพทั้งสองฝ่ายจัดกระบวนทัพขึ้นอีกครั้งทำให้มีจำนวนคนน้อยลงไปมากกว่าครึ่ง อีกทั้งยังต้องคอยต้านทานการโจมตีอันรุนแรงจากซูเซียงเสวี่ย ทำให้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา พวกเขาประสบกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง

เวลานี้ ท่ามกลางบริเวณที่ถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน กองทัพของโลกมารฝ่ายเหนือกับกองทัพจักรพรรดิอสูร มีเหล่านักรบอสูรเหลืออยู่เพียงหนึ่งถึงสองพันนายเท่านั้น ทั้งสองกองกำลังต่างยืนรวมกันเป็นกลุ่มเดียว

ในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ อสูรเผ่ามารที่มีกองกำลังน้อยนิดเช่นนี้คงไม่อาจเข้าโจมตีพื้นที่เก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินได้เป็นแน่ และเกรงว่าแม้แต่จะก่อความโกลาหลขึ้นในโลกมารอีกครั้งคงจะเป็นการยากแน่

ไป๋ชิวหรานไม่ได้ปิดบังตำแหน่งหรือตัวตนแต่อย่างใด ซูเซียงเสวี่ยผู้ซึ่งกำลังกวาดต้อนเชลยศึกจึงมองเห็นชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว นางผละจากสถานการณ์ตรงหน้าไว้เบื้องหลัง ก่อนเดินตรงไปหาเขาด้วยรอยยิ้มสดใส

“เจ้ากลับมาแล้ว”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้ารับ เมื่อซูเซียงเสวี่ยเหลือบไปเห็นชางหวงอวี่กับอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนติดตามชายหนุ่มมาด้วย รอยยิ้มบนใบหน้าของนางพลันจางลงอีกครั้ง สตรีดึงแขนของไป๋ชิวหรานให้หลบไปด้านข้าง ก่อนตั้งคำถามด้วยเสียงแผ่วต่ำ

“เหตุใดเจ้าไม่กำจัดอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนผู้นี้ทิ้งเสีย?”

“เพราะสิ่งนี้อย่างไรล่ะ”

ไป๋ชิวหรานชูจี้หยกสีน้ำเงินในมือขึ้น

ซูเซียงเสวี่ยพินิจมองจี้หยกอยู่ครู่หนึ่งด้วยความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วจึงกล่าวออกด้วยความตกตะลึง

“ตราประทับบนจี้หยกชิ้นนี้… มาจากสำนักกระบี่ชิงหมิงของเจ้ามิใช่หรอกหรือ?”

“ใช่ สำหรับสำนักกระบี่ชิงหมิง เมื่อศิษย์ทุกคนผ่านเข้าสู่ประตูสำนัก อาจารย์ของพวกเขาจะแกะสลักจี้หยกไว้ให้เป็นการส่วนตัว ซึ่งจะใช้เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงตัวตนและสถานะของคนผู้นั้น หรืออาจใช้เป็นเครื่องบ่งบอกถึงบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดกับคนภายในสำนัก”

ไป๋ชิวหรานอธิบาย

“ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น จี้หยกชิ้นนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงสารของอาจารย์ที่อำนวยพรให้แก่ศิษย์ ในช่วงแรกจี้หยกของสำนักกระบี่ชิงหมิงไม่ได้ถูกใช้เพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์เช่นนี้ จนกระทั่งท่านอาจารย์ของข้าเป็นผู้คิดค้นขึ้น และแกะสลักจี้หยกดังกล่าวให้เป็นชิ้นแรก”

ขณะกล่าวเช่นนั้น ชายหนุ่มก็หยิบจี้หยกของตนเองออกมาจากถุงเก็บสมบัติและกล่าวต่อไป

“คุณสมบัติข้างต้นทั้งหมดถูกเพิ่มเข้ามาในภายหลัง ตอนแรกเป็นแค่จี้หยกธรรมดาสามัญชิ้นหนึ่ง ถ้อยคำที่ท่านอาจารย์มอบให้คือ ‘นิรันดร์’ อันเป็นหมายความว่าข้าไม่ควรหยุดการฝึกฝน จงอดทน และสักวันหนึ่งจะต้องบรรลุไปสู่ระดับขั้นที่สูงขึ้น”

จี้หยกดังกล่าวจึงถูกใช้เป็นประเพณีที่สืบเนื่องต่อมาเป็นระยะเวลากว่าสามพันปีภายในสำนักกระบี่ชิงหมิง แม้แต่กลุ่มศิษย์รุ่นถังรั่วเวยที่เพิ่งฝากตัวเข้าเป็นศิษย์ได้ไม่นานนัก ไป๋ชิวหรานยังแกะสลักจี้หยกไว้ให้ถังรั่วเวยเช่นกันในฐานะอาจารย์และศิษย์ ซึ่งถ้อยคำที่ชายหนุ่มมอบให้กับนางคือคำว่า ‘แข็งแกร่ง’

แม้ว่าไป๋ชิวหรานจะอธิบายให้ถังรั่วเวยฟังว่า… ให้นางเพียรพยายามและฝึกฝนอย่างหนัก แต่แท้ที่จริงแล้วตอนนั้นชายหนุ่มกลับนึกถึงคำว่า ‘ยากเย็น’ ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“จี้หยกนี้ใช้ทักษะการแกะสลักที่เป็นกลวิธีอันเป็นพื้นฐานของสำนักกระบี่ชิงหมิง”

ไป๋ชิวหรานเหลือบมองไปที่จี้หยกที่ซูเซียงเสวี่ยกำลังถืออยู่ แล้วกล่าวต่อไป

“สังเกตจากปฏิกิริยาของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน กับน้องชายที่มีสายเลือดห่าง ๆ ของเจ้าแล้ว จี้หยกชิ้นนี้คงได้รับมาจากมหาวิหารฝูซางในแถบทะเลตะวันออก แต่ปัญหาคือภายในระยะเวลากว่าสามพันปีนับตั้งแต่ข้าเข้าเป็นศิษย์ของกระบี่ชิงหมิง จากความทรงจำอันยาวนาน ไม่มีศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิงคนใดที่เคยเดินทางผ่านทะเลตะวันออก และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเดินทางข้ามมหาสมุทร ดังนั้นคำถามคือ… จี้หยกชิ้นนี้เป็นของใครกัน?”

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท