ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 152 อย่ามัวเล่นแง่ต่อกันไปหน่อยเลย!

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ร่างของไป๋ชิวหรานร่วงดิ่งลงไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในห้วงอวกาศ ทันทีที่เขาก็ร่อนลงไปใกล้กับฐานที่มั่นหลักอันน้อยนิดที่หลีจิ่นเหยาสร้างไว้ให้ ชายหนุ่มจึงรีบโยนเชือกเซียนให้พันเกี่ยวรอบแท่นหินนั้นอย่างรวดเร็ว ทว่าแรงกระแทกกลับรุนแรงเกินไป ทำให้พลอยดึงเอาแท่นหินร่วงดิ่งลงไปพร้อมกัน

ขณะนั้นจื้อเซียนเป็นอิสระจากช่องว่างแห่งห้วงเวลาแล้ว หลังจากที่เขาฟื้นคืนสติ ก็พบว่าตนเองกับไป๋ชิวหรานกำลังร่วงดิ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว จึงรีบออกปากเตือนโดยทันที

“ระวัง! ภายใต้ท้องฟ้าแห่งห้วงอวกาศนี้คือความว่างเปล่าภายนอก อย่าได้ตกลงไปในนั้นเป็นอันขาด!”

“ข้ารู้แล้ว!”

ไป๋ชิวหรานพุ่งข้ามผ่านทางช้างเผือกด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ดวงดาวที่เรียงรายอยู่ในทางช้างเผือกปัดผ่านร่างกายไป ทำให้วัตถุที่มีพลังงานความร้อนสูงเหล่านั้นจุดประกายไฟขึ้นบนผิวหนัง จนเชือกเซียนและแท่นหินที่อยู่ในมือไม่สามารถทานทนการทำลายล้างดังกล่าวได้ เสมือนถูกสิ่งที่อยู่ในทางช้างเผือกคอยจ้องจะทำลายอยู่ตลอดทางที่ข้ามผ่าน

ครั้นพุ่งผ่านไปจนถึงด้านล่างของทางช้างเผือก ทันทีที่เห็นความว่างเปล่าอันมืดมิดที่อยู่เบื้องหน้า ไป๋ชิวหรานก็รีบยกมือขึ้นทันที ก่อนจะออกแรงทุบตีความว่างเปล่าอันมืดมิดด้วยฝ่ามือ

พลังวิญญาณที่แท้จริงพลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นกระแสพลังงานสีขาวสว่างจ้า ซึ่งถูกกดดันอย่างหนักหน่วงจากความว่างเปล่าภายนอกของโลก พายุพลังงานที่หมุนวนอย่างไร้ระเบียบในความว่างเปล่า ได้ชนกระแทกเข้ากับกระแสพลังงาน แต่สะท้อนกลับบังคับให้ต้องล่าถอย

ด้วยแรงสะท้อนกลับที่ว่า ทำให้ไป๋ชิวหรานคล้ายถูกหนังยางดีดกลับอีกครั้ง เขาทะยานพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าในทิศทางตรงข้ามด้วยความเร็วที่รวดเร็วเสียยิ่งกว่าเก่า!

ชายหนุ่มข้ามผ่านทางช้างเผือกอีกครั้ง พุ่งไปยังบริเวณที่อยู่ในระดับสายตาของเทพเจ้ายักษ์แห่งทางช้างเผือก เขาเอื้อมมือออกไปคว้าเศษขยะที่ลอยอยู่ในอวกาศ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น

“บัดซบเอ๊ย! เจ้าบ้า! อย่ามัวเล่นแง่ไปหน่อยเลย!”

ขณะเดียวกัน หลังจากช่วงเวลาแห่งการรวบรวมพลังขึ้นใหม่ จิตวิญญาณที่ยังหลงเหลืออยู่ของเทพเจ้ายักษ์ ดูเหมือนจะยิ่งทวีความเข้มข้นของเสียงสะท้อนของระฆัง ทำให้จิตสำนึกของเทพเจ้ายักษ์ทางช้างเผือกตื่นตัวมากขึ้น

เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานพุ่งกลับมา มันก็โคลงหัวเบา ๆ ทำให้เกิดประกายแสงสว่างวาบกระจัดกระจายไปทั่ว แขนขาที่หักของมันพลันเชื่อมต่อเข้าด้วยกันจนเป็นร่างกายอันทรงพลังอีกครั้ง สายตาจ้องเขม็งมาที่ไป๋ชิวหรานแล้วเปล่งเสียงทุ้มทื่อ ที่สะท้อนกังวานหลายเสียงราวกับระฆัง

“สวรรค์ริษยา เจ้าควรตายไปซะ!”

“ข้าไปทำให้เจ้าเกิดความคับข้องใจใดกัน?”

ไป๋ชิวหรานถามกลับ

“ข้าว่านะ พี่ใหญ่ เรามาพูดคุยกันด้วยดีเถิด ถึงอย่างไรเจ้าก็มีเวลาเหลือไม่มากแล้ว พลังงานจวนจะหมดสิ้นลงอยู่รอมร่อ และจากนี้จะหวนคืนสู่ความหายนะนิรันดร์ ข้ายังไม่อยากสังหารเจ้าตอนนี้ มาเถิด จิบชาปราศรัยกันแบบเป็นกันเอง ในเมื่อเจ้ารู้ข้อมูลจำเพาะเกี่ยวกับสวรรค์ริษยาก็ลองมาแลกเปลี่ยนกัน… เช่นนี้ดีหรือไม่?”

เทพเจ้ายักษ์แสดงการกระทำแทนคำตอบ มันยกระฆังจักรพรรดิตะวันออกขึ้นสูง ก่อนจะเขย่าเพื่อให้ส่งเสียงกังวานลั่นหยุดห้วงเวลาและพื้นที่อีกครั้ง!

ร่างกายของไป๋ชิวหรานแข็งค้างอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ต่อมาห้วงเวลาและพื้นที่ก็กลับมาโคจรเช่นปกติ เทพเจ้ายักษ์แห่งทางช้างเผือกพยายามตรึงร่างชายหนุ่มไว้โดยใช้ฝ่ามือใหญ่รวบเข้าตรงกลาง แล้วออกแรงบีบด้วยความสิ้นหวัง

แม้ว่าจิตสำนึกจะเลอะเลือนไปบ้าง ถึงอย่างนั้นก็ยังพอมีความฉลาดเฉลียว มันตระหนักว่าทักษะของตนเองไม่ได้ดีเท่าไป๋ชิวหราน อีกทั้งร่างกายอันใหญ่โตยังเชื่องช้ากว่าเสียอีก ดังนั้นจึงเลือกใช้วิธีนั้นเพื่อหยุดยั้งการกระทำของชายหนุ่ม บีบบังคับให้อีกฝ่ายแสดงพลังอันแข็งแกร่งประลองกับตน

ไป๋ชิวหรานไม่อาจคำนวณพลังงานที่แน่นอนของเจ้ายักษ์ได้ แต่เขาเรียกใช้พลังงานหนึ่งในสิบเพื่อต้านทานมันมานานพอสมควร สิ่งที่เห็นชัดแน่นอนคือพลังงานที่เหลืออยู่ในตอนนี้ มีมากกว่าที่พลังวิญญาณที่แท้จริงที่เขาเรียกใช้ได้เสียอีก!

ไป๋ชิวหรานใช้มือทั้งสองข้างรองรับแรงบีบจากเทพเจ้ายักษ์ แต่กลับรู้สึกว่าแรงกดดันทั้งทางด้านซ้ายและขวากำลังบีบเข้าหา ชายหนุ่มจึงเพิ่มพลังวิญญาณที่แท้จริงขึ้นเล็กน้อย ทำให้แรงกระตุ้นแห่งการบรรลุผ่านระดับขั้นการฝึกตนพลันปะทุขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ก่อนหน้านี้เมื่อห้วงเวลาหยุดนิ่ง เขารู้สึกราวกับว่าตนเองถูกต่อยเข้าที่ท้องอย่างสุดกำลัง ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกว่ายิ่งพยายามขัดขืนมากเพียงใด เหมือนยิ่งมีใครบางคนพยายามกดหน้าท้องของเขาอย่างไม่ลดละ

“ท่านไป๋ หยุดขัดขืนเสียเถอะ”

สายรัดที่ห้อยหัวกะโหลกจื้อเซียนไว้ถูกพันรอบแขนของเขา ชายผู้ซึ่งอาศัยพรแห่งความเป็นอมตะจากสวรรค์เอ่ยคำแสดงความท้อแท้โดยไร้ความรู้สึกถึงวิกฤตใด ๆ

“ถ้าเจ้าบรรลุผ่านอีกระดับหนึ่ง ความแข็งแกร่งจะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แล้วเทพเจ้ายักษ์ตนนี้จะพ่ายแพ้ในทันที เหตุใดเราไม่ลองคิดทบทวนถึงวิธีบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานอย่างค่อยเป็นค่อยไปดูเล่า? น่าพิสมัยจะตายไป”

“หะ…หุบปาก…”

ฝ่ามือไป๋ชิวหรานเริ่มถูกแรงกดดันผลักให้งอเข้า ริมฝีปากสั่นระริกขณะกล่าวออก

“ให้ตายเถอะ ขะ…ข้าจะต้านทานไว้ไม่ได้แล้ว! อ๊าก…”

ชายหนุ่มเปล่งเสียงคำรามลั่น ทำให้พลังวิญญาณที่แท้จริงที่อยู่ภายในคฤหาสน์ม่วงระเบิดออกจนเพิ่มเป็นสองเท่า พลังอันไร้เทียมทานพลุ่งพล่านไหลผ่านแขนขาและกระดูกขึ้นมา ก่อนจะแผ่ออกจากแขนทั้งสอง ทันใดนั้นเขาก็สามารถคว้ามือของเทพเจ้ายักษ์ทางช้างเผือกไว้ได้ แล้วเริ่มบดขยี้มันให้แหลกออกเป็นชิ้น ๆ!

พลังอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้ห้วงกาลเวลากลางอวกาศสั่นสะเทือน ตอนนี้ไป๋ชิวหรานประสบความสำเร็จในการบรรลุผ่านสู่การฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณระดับที่หกหมื่นหกพันหกร้อยหกสิบหกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

“เจ้าสัตว์เดรัจฉาน…”

น้ำเสียงของชายหนุ่มสั่นสะท้านด้วยความโกรธ เขาก้มศีรษะลงต่ำ ก่อนจะเปล่งเสียงที่อัดแน่นไปด้วยความโกรธออกมาอีกครั้ง

“เจ้าล่วงรู้หรือไม่… ว่าวันนี้ทำสิ่งใดผิดพลาดอย่างมหันต์ไป?!”

เทพเจ้ายักษ์ทางช้างเผือกอ้าปากอันใหญ่โต สูดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ลอยอยู่ในห้วงจักรวาลให้ลอยเข้าไปรวมตัวกันในช่องปาก ก่อนที่พลังงานอันทรงพลังจะแผดเผาทุกสิ่ง และควบแน่นจนกลายเป็นลำแสงพ่นออกมา

ทว่าในชั่วขณะต่อมา ลำแสงนั้นกลับถูกตัดผ่าออกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะฝีมือของใครบางคน… ไป๋ชิวหรานกระชับกระบี่ไว้ในฝ่ามือและรีบวิ่งตรงเข้าหาใบหน้าของเทพเจ้ายักษ์ ความแข็งแกร่งมหาศาลที่ส่งออกจากฝ่ามือแปรเปลี่ยนเป็นแสงกระบี่สีขาวโพลนสว่างจ้า หั่นร่างใหญ่โตของเทพเจ้ายักษ์ทางช้างเผือกออกเป็นชิ้น ๆ ภายในพริบตา!

ไม่กี่อึดใจต่อมา ปราณกระบี่ได้ทยอยเลือนหายกระจัดกระจายไปท่ามกลางความว่างเปล่า ไป๋ชิวหรานที่มีเรือนร่างเปลือยเปล่ายืนหยัดอยู่กลางท้องฟ้าของห้วงอวกาศอย่างเงียบเชียบ

“ข้าว่านะ ท่านไป๋ อันที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามมากถึงเพียงนี้”

หลังจากนิ่งเงียบไปนาน จื้อเซียนจึงปริปากเอ่ยอย่างเนิบช้า ก่อนจะอธิบายต่อไป

“ดูจากสถานการณ์ของเจ้าแล้ว หากมีเคล็ดลับใดสักอย่างสำหรับบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐาน เคล็ดลับนั้นอาจไม่มีสิ่งใดที่ส่งผลต่อปัจจัยหลักเช่นพลังวิญญาณที่แท้จริงอย่างแน่นอน หากไม่แล้ว ข้าว่าระดับที่หกหมื่นหกพันหกร้อยหกสิบห้า หรือหกหมื่นหกพันหกร้อยหกสิบหกนั้นก็ไม่มีความแตกต่างใด ๆ เลย…”

“อย่ากล่าวถึงเรื่องนั้นเลย รู้สาเหตุหรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่ได้รับภูมิปัญญาความรู้เกี่ยวกับสวรรค์ริษยา?”

ไป๋ชิวหรานชะงักงันไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยถาม

“ข้ารู้ อาจมีสองเหตุผลสำหรับสถานการณ์นี้ โดยทั่วไปแล้ว ประการแรก แม้แต่วิถีแห่งสวรรค์เองก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของสวรรค์ริษยา เพราะสวรรค์ริษยาเป็นร่างกายที่อยู่นอกเหนือขอบเขต… ทว่าสิ่งนี้ขัดแย้งกับข้อมูลที่ข้ารับรู้ เห็นได้ชัดว่าสวรรค์ริษยาเป็นร่างกายที่ถือกำเนิดขึ้นในโลกภายใต้การควบคุมของวิถีแห่งสวรรค์ และวิถีแห่งสวรรค์ก็ตระหนักดีถึงคุณสมบัติของร่างกายนี้”

จื้อเซียนตอบกลับ

“ประการที่สอง นั่นคือวิถีแห่งสวรรค์อาจพยายามปิดบังข้อมูล… ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันอาจไม่ต้องการให้ข้าล่วงรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสวรรค์ริษยาที่ว่า”

“เพราะเหตุใด?”

ไป๋ชิวหรานอดตั้งคำถามไม่ได้

“เจ้าเคยกล่าวว่าวิถีแห่งสวรรค์นั้นโหดเหี้ยมและเห็นแก่ตัวยิ่ง ด้วยความเชื่อมโยงระหว่างเจ้ากับมัน นั่นไม่ถือเป็นการละเมิดหรอกหรือ?”

“ข้าเคยกล่าวว่าวิถีแห่งสวรรค์มีความตระหนี่ อีกทั้งยังโหดเหี้ยมอย่างแท้จริง เพียงแต่เจ้าคิดผิดในเรื่องของความเห็นแก่ตัว”

จื้อเซียนแค่นเสียงเย้ยหยัน

“ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับจิตสำนึก ไม่มีสิ่งใดที่ดำรงอยู่โดยไร้ความเห็นแก่ตัว แม้แต่ธรรมิกชนผู้ทำความดีและแสวงหาเต๋านั่นก็ทำเพื่อตอบสนองต่อความปรารถนากับอุดมคติของตนเองทั้งนั้น วิถีแห่งสวรรค์ไม่ได้เห็นแก่ตัว เพียงแต่ถูกขัดขวางโดยกฎเกณฑ์บางอย่าง หลายสิ่งหลายอย่างบนโลกไม่สามารถจัดการได้ตามใจชอบ แต่ตราบใดที่สามารถใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ในกฎที่สร้างขึ้นได้ มันจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้เหตุการณ์ก้าวไปสู่ไปในทิศทางที่เกิดประโยชน์แก่ตัวมันเอง”

“เช่นนั้นหมายความว่า หากข้าล่วงรู้แล้ว อาจส่งผลเสียต่อมันในภายหลัง…”

ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดตาม ทำให้เข้าใจอย่างถ่องแท้

“ไร้สาระ ผู้ใดบ้างอยากมีหนามยอกที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่ในอาณาเขตของตนเอง ข้าว่านะ เราเกือบจะ… บ้าเอ๊ย นั่นอะไรน่ะ?!”

จื้อเซียนอุทาน

ไป๋ชิวหรานหันขวับมองตาม จึงพบว่าเทพเจ้ายักษ์ทางช้างเผือกที่ถูกตนฉีกกระชากจนกลายเป็นพลังงานพื้นฐาน กลับรวบรวมเอาก้อนพลังงานที่กระจัดกระจายอยู่เหนือท้องฟ้าในห้วงอวกาศทั้งหมด ให้ไหลไปยังทิศทางที่ระฆังของจักรพรรดิตะวันออกลอยอยู่!

“เกิดสิ่งใดขึ้น?”

ไป๋ชิวหรานประหลาดใจ

“ครู่นี้ข้าทำลายจิตวิญญาณของมันที่เหลืออยู่จนแหลกเป็นเศษซากไปแล้วมิใช่หรอกหรือ?”

“นั่นไม่ใช่จิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของเทพเจ้ายักษ์ เทพเจ้ายักษ์นั่นตายตกไปแล้ว”

จื้อเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ระฆังของจักรพรรดิตะวันออก! มันดูดซับพลังงานโดยรอบให้เข้าไปในตัวของมันเอง และโจมตีเจ้า!”

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท