มันคือเส้นใยของพลังวิญญาณที่แท้จริงในร่างกายของเขา ตอนแรกไป๋ชิวหรานคิดว่าเป็นสิ่งเจือปนที่บุกรุกเข้าไปในคฤหาสน์ม่วงเป็นแน่ ขณะนี้พลังแห่งกาลเวลาที่มีวิถีแห่งสวรรค์เป็นผู้ควบคุม ได้กดขี่การดำรงอยู่ทั้งหมดของชายหนุ่มอย่างไม่ละเว้นจากทั้งภายในและภายนอกร่างกาย
ทว่าหลังจากตรวจสอบด้วยสัมผัสเทวะ ไป๋ชิวหรานกลับพบว่าเส้นใยสีทองเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งเจือปนอื่น แต่เป็นขั้นวิญญาณแท้จริงในร่างกายซึ่งถูกควบแน่นเข้าอย่างช้า ๆ ทั้งยังก่อรวมขึ้นภายใต้แรงกดดันอันยิ่งใหญ่ของกฎเกณฑ์เวลาจากวิถีแห่งสวรรค์ ทำให้เกิดขั้นวิญญาณที่แท้จริงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ!
แม้จะอยู่ภายใต้แรงกดดัน แต่อัตราการเกิดขึ้นของขั้นวิญญาณแท้จริงในร่างกายของไป๋ชิวหรานยังดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้า ในที่สุดขั้นวิญญาณแท้จริงก็เพิ่มจำนวนขึ้นในมหาสมุทรแห่งจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง
ไป๋ชิวหรานลองเลิกต่อต้าน เหยียดกางทั้งมือและเท้าออก ปล่อยให้วิถีสวรรค์ควบคุมคลื่นแห่งกาลเวลาไหลผ่านไปรอบกายและโจมตีตนได้ตามใจชอบ
แรงกดดันจากคลื่นยักษ์เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นต่อไปอีกชั่วขณะหนึ่ง จนแม้แต่รอยช้ำเลือดยังปรากฏขึ้นตามผิวกายของไป๋ชิวหราน อย่างไรก็ตาม ภายใต้ผลของการเรียกใช้เคล็ดวิชาหลอมสร้างกาย จึงได้บาดแผลเล็กน้อยเพียงระคายผิวเท่านั้น และไม่นานก็หายเป็นปกติอีกครั้ง
ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากที่ร่างกายของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว เคล็ดวิชาหลอมสร้างกายที่เรียกใช้ยังทำงานด้วยตัวมันเองต่อไป ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มเพิ่มพูนความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น หลังจากถูกคลื่นยักษ์โถมกระหน่ำใส่หลายรอบ แรงกดดันทั้งหลายก็ไม่อาจทำอันตรายเขาได้อีกต่อไป
เมื่อมีการเพิ่มจำนวนของเส้นใยพลังวิญญาณที่แท้จริงในร่างกาย ลมหายใจของไป๋ชิวหรานก็กระชั้นถี่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความรวดเร็วที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน!
หลังการโจมตีอีกประมาณสองสามครั้งผ่านไป จู่ ๆ วิถีสวรรค์ก็ล่าถอยกลับโดยไม่ทราบสาเหตุ ภาพลวงตาที่บิดเบี้ยวโปร่งแสงสลายไปอย่างรวดเร็ว ภาพเหตุการณ์โดยรอบพลันรวมตัวกันเหมือนพายุฝุ่นเข้าปกคลุมร่างของไป๋ชิวหรานและจื้อเซียน แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ทอดยาวได้เปลี่ยนมาอยู่ใต้ฝ่าเท้า
“เหตุใดถึงล่าถอยไปเสียเล่า?”
ไป๋ชิวหรานกัดริมฝีปากด้วยความผิดหวัง จากนั้นจึงรวบรวมขั้นวิญญาณแท้จริงในร่างกาย เพื่อปลดปล่อยจื้อเซียนให้หลุดพ้นจากการหยุดนิ่งของกาลเวลา
ความแตกต่างระหว่างพลังปราณแก่นแท้และขั้นวิญญาณแท้จริงนี้ ไม่เหมือนกับความแตกต่างระหว่างพลังปราณแก่นแท้และขั้นวิญญาณแท้จริงในร่างกายของผู้ฝึกตนทั่วไป แต่เป็นความแตกต่างเชิงคุณภาพ ไป๋ชิวหรานเพียงส่งขั้นวิญญาณแท้จริงไปยังฝ่ามือ แล้วยื่นมือออกไปสัมผัสจื้อเซียนเบา ๆ ความปั่นป่วนของห้วงเวลาที่ผูกมัดเขาไว้ก็พังทลายลงอย่างง่ายดาย
“หืม? เกิดสิ่งใดขึ้น?”
ความคิดของจื้อเซียนยังคงติดอยู่ในช่วงเวลาเดิมที่วิถีสวรรค์ปรากฏตัว หลังจากถูกปลดปล่อยจากการถูกจองจำ เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบสนองอย่างรวดเร็ว
“ท่านไป๋ เจ้าหลบหนีจากวิถีสวรรค์ได้งั้นหรือ?”
“ข้าไม่ได้หลบหนีหรือขับไล่ แต่มันล่าถอยออกไปเอง”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
“อืม…”
จื้อเซียนนึกสงสัย
“เหตุใดเจ้าถึงได้ดูผิดหวังนัก… อยากให้มันโจมตีเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานได้ยินดังนั้นจึงอธิบายสถานการณ์โดยคร่าวให้จื้อเซียนรับทราบ ทันใดนั้นจื้อเซียนก็เกิดอาการตกใจ แล้วกล่าวว่า
“ว่าอย่างไรนะ? สวรรค์ริษยาใช้วิธีนี้เพื่อปลูกฝังขั้นวิญญาณแท้จริงหรือนี่… แต่หากเจ้าลองไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้สวรรค์ริษยาอาจพบข้อจำกัดบางอย่างภายในคฤหาสน์ม่วง ดังนั้นมันจึงหาโอกาสไปยังโลกภายนอกเพื่อแสวงหาแรงกดดัน แต่น่าเสียดายนัก ที่ระดับขั้นการฝึกตนของเจ้าสูงเกินไป หากอยู่ที่ระดับน้อยกว่าหนึ่งหมื่นหรือสองหมื่น บางทีอาจใช้แรงกดดันในห้วงอวกาศเพื่อช่วยในการบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐาน ถึงอย่างนั้นการโจมตีในห้วงอวกาศก็ไม่มีผลต่อเจ้าใช่หรือไม่?”
“ข้าเกลียดมันนัก”
ไป๋ชิวหรานนึกเสียดาย
“ต่อให้นึกเสียดายไปก็ไร้ประโยชน์ เราลองคิดหาทางกันดีกว่าว่าจะย้อนกลับไปอย่างไร”
จื้อเซียนกวาดสายตามองรอบ ๆ
“ตอนนี้เราอยู่ในยุคสมัยใด?”
“คงมีเพียงเทพเซียนที่ล่วงรู้”
ไป๋ชิวหรานกวาดสายตามองไปโดยรอบเช่นกัน และพบว่าบรรดาเซียนกำลังต่อสู้กับอสูรร่างยักษ์ใหญ่อยู่ด้านข้าง
“คงเป็นอดีตที่ยาวนานพอตัว”
“ข้าไม่อาจล่วงรู้ว่าระฆังจักรพรรดิตะวันออกจะส่งเราไปยังยุคสมัยใด…”
จื้อเซียนครุ่นคิดอีกครั้ง ทว่าก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ถึงอย่างนั้นยังโชคดีที่มีขั้นวิญญาณแท้จริงอยู่ในร่างกายบ้างแล้ว เพราะนั่นถือเป็นความหวัง ด้วยพลังปราณแก่นแท้ของเจ้า แม้เรียกใช้ขั้นวิญญาณแท้จริงได้เพียงเล็กน้อย ก็ยังสามารถเทียบได้กับขั้นวิญญาณแท้จริงของผู้ฝึกตนที่ทรงพลังยิ่งใหญ่ หากเราพบเบาะแสเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของกาลเวลาจากโครงสร้างอักขระทวยเทพที่บันทึกไว้ คงพอมีความหวังที่จะกลับไปสู่ยุคเดิม”
“อืม…”
ไป๋ชิวหรานคำนึงถึงข้อเท็จจริงนี้ เดิมที่มีอารมณ์ปีติสุขที่เกิดขึ้นจากการได้รับขั้นวิญญาณแท้จริง กลับกลายเป็นสงบลงเพราะความกังวล
ภาพเหตุการณ์โดยรอบเปลี่ยนผ่านไปด้วยอัตราความเร็วที่สูง โดยแสดงให้ทั้งสองเห็นถึงความผันผวนของกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด สุดท้ายทิวทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปก็เริ่มเชื่องช้าลง
แรงกดดันบางอย่างพุ่งเข้ามา ทั้งสองจึงถูกผลักออกจากแม่น้ำสายแห่งกาลเวลา ก่อนจะร่วงหล่นลงบนเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยผืนป่าอันเขียวชอุ่ม
“ดูเหมือนว่าพลังของระฆังจักรพรรดิตะวันออกจะหมดลงแล้ว”
จื้อเซียนกล่าว
“น่าเสียดาย เราไม่อาจรู้ได้ว่าตอนนี้ถูกนำมาปล่อยทิ้งในที่แห่งใด”
ไป๋ชิวหรานสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“พลังปราณในพื้นที่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์ยิ่ง เนื้อแท้ของพลังปราณระหว่างสวรรค์และโลกมีมากกว่ายุคสมัยเดิมของเราอย่างน้อยสิบเท่า…”
ชายหนุ่มอุ้มหัวกะโหลกของจื้อเซียนไว้ เมื่อพบก้อนหินสูงใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ จึงป่ายปีนขึ้นไป ทำให้มองเห็นฉากอันงดงามตระการตาเบื้องหน้า
ป่าดงดิบที่กว้างใหญ่ไพศาลแผ่ขยายบริเวณกว้างไปจนสุดขอบโลก เมื่ออยู่ในป่าทำให้มองเห็นยอดเขาอันสูงตระหง่านได้ทุกแห่งหน ลักษณะของมันราวเป็นกระบี่ที่ตั้งปลายขึ้นแทงทะลุท้องฟ้า รัศมีแห่งพลังปราณที่ปกคลุมยอดเขาและผืนป่าเหล่านี้ ก่อตัวกันเป็นเมฆหมอกหนาแน่นหลากสีสัน เหนือสุดของยอดเขามีธารน้ำใสไหลเชี่ยวกรากลงสู่เบื้องล่างราวทางช้างเผือกที่ทอดยาวลงมาจากฟากฟ้า
ไป๋ชิวหรานยังมองเห็นแม้แต่ลำธารสายใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำบนภูเขา หลั่งไหลลงมาจากยอดเขาแห่งหนึ่ง และก่อตัวเป็นลำธารใสบนพื้นดิน
เป็นความงดงามที่แท้จริงของดวงจันทร์ อิทธิพลการสรรค์สร้างของดวงดาว
ขณะที่ทั้งสองกำลังดื่มด่ำกับภาพความงดงามตรงหน้า ทันใดนั้นนกมากมายที่อาศัยอยู่ในป่าพลันเปล่งเสียงร้องลั่นแล้วโผบินขึ้นไป
เสียงคำรามกึกก้องดังขึ้นจากระยะไกล เสือโครงร่างยักษ์ที่มีปีกอยู่บนหลัง ลำตัวยาวหลายร้อยจั้งโผทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
พลังของเสือยักษ์ตัวนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก เกือบเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนรุ่นหลัง ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือมันเอาแต่บินวนอยู่กลางอากาศสองสามหน แล้วร่อนลงสู่พื้นดิน คลานไปมาระหว่างภูเขาสูงเหล่านั้น คล้ายกับว่ากำลังหลบหนีอะไรบางอย่าง…
ทันใดนั้น รุ้งกินน้ำสีขาวสว่างพลันพุ่งทะลุลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกับเสือโคร่งยักษ์ที่กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดพลางล้มลงกับพื้น ลูกศรขนาดใหญ่ทะลุเข้าที่บริเวณปีกของมัน ซึ่งเกือบจะจมเข้าไปในร่างอยู่แล้ว!
เลือดสด ๆ ไหลทะลักออกมาจนเปรอะเปื้อนเส้นขนตามร่าง เสือโคร่งยักษ์พยายามใช้ขาหน้าตะกุยตะกายอย่างอ่อนแรง ใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายเพื่อหลบหนี แต่ดูเหมือนลูกธนูจะแทงทะลุจุดสำคัญ หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เสือยักษ์เอียงหัวไปอีกทาง… ชีวิตของมันจบสิ้นเสียแล้ว
ทันใดนั้น กลุ่มเมฆบนท้องฟ้าพลันแยกออกเป็นช่องขนาดใหญ่ ชายคนหนึ่งที่มีความสูงประมาณหนึ่งร้อยจั้ง ครึ่งท่อนบนเป็นร่างของมนุษย์ชายฉกรรจ์ ทว่าลำตัวท่อนล่างเป็นมังกรยักษ์ พุ่งลงมาจากท้องฟ้าพลางเหวี่ยงสะบัดหางมังกร ทันทีที่ร่างใหญ่นั้นเหยียบลงเหนือพื้นดิน ส่งให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือนเล็กน้อย
ในมือของเขาถือคันธนูขนาดยักษ์ที่มีขนาดพอเหมาะกับร่างกายอันใหญ่โต รอบเอวมีกระบอกธนูที่เต็มไปด้วยลูกศรขนาดใหญ่นับไม่ถ้วน
เขาก้าวไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าหนักหน่วง มุ่งตรงไปยังด้านข้างที่มีร่างไร้วิญญาณของเสือโคร่งยักษ์นอนอยู่ ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะพร้อมดึงลูกศรออกจากร่างเสือโคร่ง เช็ดเลือดที่เปื้อนตรงหัวลูกศร แล้วใส่กลับเข้าไปในกระบอกธนู จากนั้นก็ยกร่างเสือโคร่งยักษ์ขึ้นเพื่อแบกไว้บนบ่าอันใหญ่โตของตนเอง
ผ่านไปเพียงครู่เดียว เทพเจ้ายักษ์ก็ทะยานผ่านกลุ่มเมฆกลับขึ้นไปยังท้องฟ้า
ไป๋ชิวหรานและจื้อเซียนจับจ้องไปที่ช่องว่างขนาดใหญ่ท่ามกลางกลุ่มเมฆเป็นเวลานาน จื้อเซียนยิ้มเจื่อนด้วยความขมขื่น
“นั่นคือจักรพรรดิสวรรค์ ดูเหมือนว่าระฆังจักรพรรดิตะวันออกจะส่งเรากลับสู่ยุคเผ่าเทพเสียแล้ว”