เมื่อได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของเทพเจ้าก็แปรเปลี่ยนไป มวลฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายอยู่ใต้ฝ่าเท้าค่อย ๆ สลายไป
เสียงกรอบแกรบดังขึ้นจากภายในพุ่มไม้ จากนั้นสตรีร่างเล็กคนหนึ่งสืบเท้าเดินออกมาจากพุ่มไม้หลังริมฝั่งแม่น้ำ
การแต่งกายของนางคล้ายคลึงกันกับเผ่ามนุษย์ เสื้อผ้าตัดเย็บขึ้นอย่างเรียบง่าย ดูเหมือนเสื้อคลุมกันหนาวที่เย็บด้วยขนสัตว์บางชนิดที่มีสีขาว ทั้งยังสวมใส่กระโปรงยาวที่ทำจากขนสัตว์ในแบบเดียวกันปกปิดร่างกายท่อนล่าง
ทว่าสิ่งที่ทำให้นางแตกต่างจากเผ่ามนุษย์ คือสตรีร่างเล็กที่มองเพียงปราดเดียวเหมือนอายุเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีผู้นี้สวยสดงดงามยิ่ง เรือนผมยาวสลวยประหนึ่งเมฆสีดำสนิท มวยผมด้วยปิ่นลายเมฆที่ทำขึ้นจากไม้ ต่ำลงมาใต้คิ้วเรียวคือดวงตาคู่สวย ริมฝีปากเล็กเป็นกระจับซับสีชมพูระเรื่อโดยที่ไม่แต่งแต้มใบหน้าใด ๆ ฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบ บริเวณมุมตามีรอยประทับสีม่วงอ่อน
ผิวกายของนางดูซีดเซียวราวเครื่องเคลือบสีขาว ทั้งยังมีความแวววาวเปล่งประกาย เมื่อมองไปที่นิ้วเรียวดั่งหยกและแขนเรียบกลมกลึง รวมถึงเอวบางที่ขาวสว่างประหนึ่งเมฆ แม้แต่จื้อเซียนกับไป๋ชิวหรานยังอดชื่นชมในความงามของนางไม่ได้!
ถึงกระนั้น สตรีร่างเล็กแสนสวยผู้นี้กลับเผยสีหน้าแสดงอารมณ์เรียบเฉย บนบ่าของนางมีอสรพิษสีดำสนิทตัวใหญ่ กำลังส่งเสียงขู่ฟ่อพร้อมแลบลิ้นออกมา
ทันทีที่เห็นการมาของสาวน้อยร่างเล็ก เทพเจ้าองค์นั้นพลันแปรเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยถาม
“เทพโรคระบาด ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน?”
สตรีร่างเล็กไม่ตอบคำถามของเขาในทันที นางเพียงก้าวเดินตรงไปยังริมฝั่งแม่น้ำ เหลือบมองกลุ่มมนุษย์ที่คุกเข่าก้มหน้าอยู่กับพื้น จากนั้นจึงหันไปเหลือบมองซากศพมังกรยักษ์ที่ทอดลำตัวแผ่ยาวไปตามแนวริมฝั่งแม่น้ำ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ข้าเป็นผู้วางยาพิษมังกรตัวนี้จนตาย ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย”
“ว่าอย่างไรนะ?!”
เมื่อเทพเจ้าเห็นท่าทางการยอมรับอย่างไร้ความแยแส เขาเกือบเผลอกระทืบเท้าอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะต่อว่านางด้วยความโกรธ
“ช่างไร้เหตุผลเสียจริงที่ท่านวางยาพิษมังกรของข้า ถึงแม้จะเป็นถึงเทพเจ้าผู้มีความชอบธรรมในการดูแลโรคระบาดก็ตาม ทว่าจักรพรรดิสวรรค์ไม่มีทางอภัยให้ท่านในความอุกอาจหนนี้แน่ เทพโรคระบาด ข้าแนะนำให้ทบทวนให้ดีอีกครั้ง ให้มนุษย์เหล่ารับผิดแทน แล้วข้าจะไม่สืบสาวราวเรื่องให้มากความ”
“คนเช่นข้าน่ะหรือจะให้เผ่ามนุษย์รับผิดแทนตนเอง?”
สตรีร่างเล็กแค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะกล่าวต่อไป
“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อทดสอบพิษชนิดใหม่ภายใต้คำสั่งของฝ่าบาท หากต้องการตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับจักรพรรดิสวรรค์ก็สุดแล้วแต่ อย่างไรก็ตาม เจ้ามังกรมีตาหามีแววไม่ เลื้อยลงไปว่ายเล่นในแม่น้ำที่กำลังทำการทดสอบพิษ… ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงสัตว์เลี้ยงของเจ้าเลย เจ้าต่างหากที่มีความผิด มังกรตั้วนั้นรุกล้ำเข้ามาภายในพื้นที่สำหรับทำการทดสอบของจักรพรรดิสวรรค์ ความผิดนี้ข้ายังไม่ทันได้ไต่ถามและเอาความด้วยซ้ำ แล้วเจ้าที่เป็นแค่เทพเจ้าตัวน้อย กล้าดีอย่างไรมาแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวเช่นนี้?”
“นี่…”
เทพเจ้าองค์นั้นรีบก้าวถอยหลัง สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ไปให้พ้น!”
สตรีร่างเล็กปรายตามองเขาอีกครั้งหนึ่ง อสรพิษบนบ่าของนางเหยียดลำตัวชูคอขึ้นสูง ทั้งยังแลบลิ้นออกมา
“ข้ารู้ดีว่าเหล่าเทพทั้งหลายบนสวรรค์ไม่ค่อยพึงใจในตัวข้านัก ทว่าจักรพรรดิสวรรค์ผู้ทรงธรรมไม่มีทางทำให้ข้าเกิดความลำบากใจอย่างเด็ดขาด เห็นแก่ที่เจ้าเป็นเทพน้อยองค์หนึ่ง หากไม่ยอมออกไปให้พ้นจากที่นี่แต่โดยดี ข้าจะใช้ร่างกายของเจ้านี่แหละเพื่อทดสอบพิษของฝ่าบาท!”
“เทพโรคระบาดกระทำการโดยชอบแล้ว เรื่องในวันนี้ ข้าไม่ติดใจเอาความใด ๆ ทั้งสิ้น!”
เทพเจ้าประสานมือพร้อมโค้งคำนับให้กับสตรีร่างเล็กที่เพิ่งมาใหม่แทบจรดข้อเท้า ก่อนจะแบกซากศพมังกรขึ้นจากพื้นดินโดยที่ยังไม่คลายความโกรธ
“โธ่! ช่างโชคร้ายเสียจริง ข้าพบเทพโรคระบาดเข้าจนได้”
เขาลอบก่นด่าด้วยเสียงต่ำเพราะความโกรธจัด ก่อนที่จะเพิ่มความสูงขึ้นอย่างรวดเร็วถึงระดับเกือบร้อยจั้ง จากนั้นจึงโผทะยานกลับขึ้นสู่ท้องฟ้า พร้อมแบกซากมังกรยักษ์สีดำสนิทขึ้นไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าสตรีร่างเล็กได้ยินวาจาล่วงละเมิดจากปากเทพเจ้าองค์นั้น ทว่านางกลับไม่เก็บมาใส่ใจ เพียงหันกลับไปมองกลุ่มมนุษย์ที่ยังคุกเข่าอยู่กับพื้นดิน ก่อนกล่าวว่า
“พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด”
“ขอรับ”
เผ่าพันธุ์มนุษย์ท่าทางคล้ายนายพรานหลายคนทยอยลุกขึ้นจากพื้นดิน ก้มศีรษะต่ำ ยืนอยู่ห่างจากสตรีร่างเล็กพอสมควร
“พวกเจ้าต้องการให้ข้าติดตามไปส่งถึงที่พักอาศัยหรือไม่?”
หลังหยุดชะงักไปด้วยความลังเลเพียงครู่ สตรีร่างเล็กจึงเอ่ยถาม
“ไม่กล้า ไม่กล้าขอรับ”
ผู้นำเผ่ามนุษย์รีบส่ายหน้าพร้อมกล่าวต่อไป
“เทพเจ้ามีภารกิจสำคัญส่วนตน พวกเราไม่กล้ารบกวนท่านเป็นแน่”
“ฮึ่ม! เช่นนั้นก็กลับไปกันเอง”
สตรีร่างเล็กหันกลับไปอีกครั้ง
“รีบไปเสียเถอะ ก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดมิด เวลานี้เจ้าควรกลับไปยังที่อาศัยได้แล้ว”
“ขอรับ”
มนุษย์หลายคนก้มหน้าลงต่ำกว่าเก่า คนที่เป็นผู้นำกระซิบพึมพำ
“ผองเรา ถอยกลับ”
จากนั้น ราวกับพวกเขาต้องการหลบเลี่ยงภัยพิบัติเลวร้ายบางอย่าง คนกลุ่มนี้ต่างวิ่งแจ้นเข้าไปภายในป่าทึบ ไม่นานก็หายลับไปจากสายตา
สตรีร่างเล็กไม่ติดใจเอาความใดเกี่ยวกับมารยาทอันป่าเถื่อนของมนุษย์เหล่านั้น นางเดินไปหยุดอยู่ริมแม่น้ำ ก่อนจะหยิบขวดใบเล็กจากเสื้อคลุมแล้วเปิดฝาเทลงไปในแม่น้ำ จากนั้นเก็บขวดเข้าที่ก่อนจะโพล่งถาม
“เจ้าที่ยืนอยู่ตรงนั้น ลอบสังเกตเพียงพอแล้วหรือยัง?”
ขณะเดียวกันนั้น ไป๋ชิวหรานพบว่าแรงกดดันจากวิถีสวรรค์ปล่อยให้เขาเป็นอิสระก่อนที่จะทันรู้ตัวเสียอีก เวลานี้ชายหนุ่มกำลังยืนอยู่นอกพุ่มไม้มีหนามขนาดใหญ่โดยไม่ได้ซ่อนเร้นกายแต่อย่างใด ทำให้สตรีร่างเล็กสังเกตเห็นตำแหน่งของเขาได้อย่างง่ายดาย
เนื่องจากเด็กสาวที่คาดเดาว่านางอาจเป็นเทพเจ้า ดูเหมือนจะไม่มีท่าทีเป็นศัตรูกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไป๋ชิวหรานจึงลูบจมูกตนเองครั้งหนึ่งก่อนเดินออกมาจากพุ่มไม้
“สาวน้อย”
เขาประสานมือคำนับสตรีร่างเล็ก แล้วเอ่ยถาม
“ต้องขออภัยด้วย นี่คือ…”
“นี่คือเขตพรมแดนของพื้นที่ล่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ ส่วนบริเวณที่อยู่ไกลไปกว่านั้นคือดินแดนรกร้างที่ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่”
สตรีร่างเล็กตอบคำถามของไป๋ชิวหรานด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเอ่ยถามกลับ
“เจ้าเป็นเทพเจ้าองค์ใหม่งั้นหรือ?”
“อะไรนะ?”
ชายหนุ่มก้มลงมองมือและเท้าของตนเอง ก่อนกล่าวออกด้วยความประหลาดใจ
“ข้าว่า… ข้าเป็นมนุษย์ต่างหาก”
“หยุดเสแสร้งเสียที”
สตรีร่างเล็กโบกมือด้วยความใจร้อน
“ไหนเลยเผ่าพันธุ์มนุษย์จะมีพลังปราณมหาศาลเฉกเช่นเจ้า หากเป็นมนุษย์แล้วอยู่เพียงลำพังในดินแดนรกร้างแห่งนี้… คงตกไปอยู่ในท้องของสัตว์อสูรสักตัวไปนานแล้ว”
ไป๋ชิวหรานตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคสมัยนี้จะไม่ได้แข็งแกร่งดังที่คาดคิดไว้
“ก็ได้”
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะรับคำสมอ้าง
“หากคิดว่าข้าเป็นเทพเจ้า เช่นนั้นข้าจะเป็นดังที่เจ้าบอกกล่าว”
“แล้วเจ้าถือกำเนิดจากเทพเจ้าองค์ใด?”
เด็กสาวเอ่ยถามอีกครั้ง
“ถึงแม้เจ้าจะมีท่าทางสับสน อีกทั้งน่าจะจดจำเผ่าพันธุ์ของตนเองไม่ได้ แต่คงไม่หลงลืมกำเนิดของตนเองหรอกกระมัง?”
ไป๋ชิวหรานลอบกล่าวในใจว่าข้าเองก็ไม่รู้ ความทรงจำอันยาวนานและเลือนรางพอจะปะติดปะต่อได้เพียงว่า… ถูกทอดทิ้งไว้ในสนามรบแห่งหนึ่ง อาศัยเลี้ยงชีพตนเองด้วยการเสาะหาของมีค่าจากศพคนตาย…
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่นาน แต่กลับนึกถึงเหตุผลที่ดูเข้าทีไม่ออก จึงได้แต่กล่าวตอบด้วยท่าทางเขินอาย
“ข้ากำพร้า”
“กำพร้างั้นหรือ?”
สตรีร่างเล็กนิ่งคิดไปครู่หนึ่งด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้นคล้ายนางนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ ทำให้สีหน้าอ่อนโยนลงกว่าเก่า
“ข้าเข้าใจ”
นางกล่าวกับไป๋ชิวหราน
“เจ้าคือเทพเจ้ารุ่นที่สองใช่หรือไม่ บิดามารดาคงถูกสังหารจนตายทันทีที่เจ้าถือกำเนิดมา เช่นเดียวกันกับข้า”
“เอ่อ… ข้าเป็นเทพเจ้ารุ่นที่สองหรือนี่?”
ไป๋ชิวหรานแสร้งยกมือขึ้นกุมศีรษะตนเอง พร้อมทำท่าทางราวสับสนกับสิ่งที่รับรู้
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ล่วงรู้สถานการณ์ใดเอาเสียเลย”
สตรีร่างเล็กถอนหายใจ ก่อนหันกลับมากล่าวกับเขา
“ตามข้ามา”
ว่าแล้วนางก็ก้าวไปข้างหน้า ไป๋ชิวหรานรีบวิ่งติดตามไปเดินเคียงข้างนางภายในสามก้าวยาว ๆ ก่อนจะเอ่ยถามว่า
“ข้ายังไม่รู้ชื่อแซ่ของแม่สาวน้อยเลย?”
“เรียกข้าว่าเจียงหลานก็ได้”
สตรีร่างเล็กตอบคำถามของไป๋ชิวหราน ก่อนจะเอ่ยถามกลับ
“แล้วเจ้าล่ะ? มีชื่อแซ่หรือไม่?”
“มี”
ชายหนุ่มตอบกลับทันที
“ข้ามีนามว่าไป๋ชิวหราน”