บทที่ 158 สายเลือดผสมระหว่างมนุษย์และเทพเจ้า
หลังจากติดตามเจียงหลานไปตลอดทาง ไป๋ชิวหรานและจื้อเซียนก็มาถึงกระท่อมที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้
กระท่อมลักษณะเรียบง่ายสร้างขึ้นด้วยหิน มุงจากวัสดุที่หาได้จากบนเนินเขา เจียงหลานใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของนางในการจัดสรรพื้นที่โล่งในป่าอันเขียวชอุ่ม เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย
ข้างกระท่อมมีรั้วที่ทำขึ้นจากไม้ไผ่ ลานกว้างทั้งสองฝั่งเป็นสวนที่เพาะปลูกดอกไม้และต้นไม้ที่ไป๋ชิวหรานเองก็ไม่รู้จัก ถัดจากตัวกระท่อมมีชั้นวางที่ทำจากไม้ตั้งเรียงรายอยู่ บนชั้นมีหม้อดินเผาใบหนึ่งที่ส่งเสียงกรอบแกรบอยู่ด้านใน
“อย่าแตะต้องสิ่งใดในบ้าน มิฉะนั้นหากถูกพิษใด ๆ เข้า ข้าจะไม่ขุดหลุมฝังศพเจ้าแน่”
เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานกวาดสายตามองดูดอกไม้ใบหญ้าในสวนด้วยความสงสัย เจียงหลานจึงเอ่ยเตือน
ไป๋ชิวหรานยืดหลังตรง ก่อนเดินติดตามเจียงหลานเข้าไปในกระท่อมของนาง
เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้ว พบว่าสภาพในกระท่อมดูเรียบง่ายมาก ทั้งดูเก่าแก่ล้าสมัยกว่าบ้านไร่ที่ผู้อาศัยมีฐานะยากจนที่สุดเท่าที่ไป๋ชิวหรานเคยเห็น บนโต๊ะเล็ก ๆ เต็มไปด้วยกองไม้ บนพื้นดินมีแท่นหินวางอยู่พร้อมด้วยเสาไม้สองต้นอยู่ด้านข้าง คาดเดาว่าเป็นม้านั่ง ส่วนตรงมุมข้างโต๊ะขนาดเล็ก เป็นแท่นหินที่ปูพื้นไว้ด้วยหนังสัตว์ น่าจะเป็นเตียงที่สตรีสาวร่างเล็กตรงหน้าใช้สำหรับนอนพักผ่อน
บริเวณมุมห้องมีขวดโหลมากมาย รวมถึงภาชนะที่ทำขึ้นจากหัวกะโหลกของสัตว์ป่า ทว่าภายในห้องไม่มีกลิ่นเหม็นสาบคาวแต่อย่างใด กลับมีกลิ่นหอมจาง ๆ กำจายไปทั่ว
กลิ่นดังกล่าวราวกับสมุนไพรจำนวนมากผสมปนเปกับบางสิ่งที่มีรสหวานล้ำ
“นี่คือของสำหรับเจ้า”
เจียงหลานหยิบเอาเปลญวนที่ทำจากหนังสัตว์ออกมาจากหีบไม้ที่อยู่ข้างผนังห้อง ก่อนยื่นให้ชายหนุ่มรับไว้
“ข้างนอกมีต้นไม้อยู่สองต้น ผูกเปลนี่แล้วนอนบนต้นไม้ไปพลาง ๆ ก่อน… วันพรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าขึ้นไปบนสวรรค์ ให้จักรพรรดิสวรรค์ทรงมอบฐานะปุโรหิตให้ นับจากนี้จะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ลำพังเช่นข้าในที่แบบนี้อีกต่อไป”
“โอ้ ขอบคุณ”
ไป๋ชิวหรานยื่นมือไปรับเปลหนังสัตว์ที่นางส่งให้
“ข้างนอกมีคลื่นพลังป้องกันอยู่ล้อมรอบ แม้แต่เทพเจ้าสามัญก็ไม่อาจบุกรุกเข้ามาได้ เจ้านอนอยู่กลางลานกว้างไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิต”
เจียงหลานกำชับต่อไปอีกสองสามประโยค ก่อนกล่าวว่า
“เอาล่ะ เจ้าออกไปนอนพักผ่อนเสียเถิด ข้าเองก็จะนอนพักผ่อนเช่นกัน”
จิตใต้สำนึกของไป๋ชิวหรานอยากจะตอบกลับว่าให้นอนตอนนี้ยังเร็วเกินไป แต่เมื่อแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า จึงตระหนักได้ว่าตอนนี้อยู่ในอีกยุคสมัยหนึ่ง
ยามค่ำคืนของยุคสมัยนี้ค่อนข้างอันตราย แม้อยู่ในถิ่นฐานของตน ทว่าเผ่ามนุษย์อาจถูกโจมตีจนสิ้นอายุขัยได้ตลอดเวลา ดังนั้นก่อนที่พระอาทิตย์จะโผล่พ้นขอบฟ้า… จึงควรเข้านอนแต่หัววันให้เคยชินเป็นนิสัย
แม้ว่าเจียงหลานจะมีสถานะเป็นเทพเจ้า แต่เมื่อสังเกตการดำเนินชีวิตของนางที่อาศัยอยู่บนพื้นดินแทนที่จะเป็นสรวงสวรรค์ ทำให้เห็นว่าอาจจะถูกกลั่นแกล้งจากเทพเจ้าองค์อื่น ดังนั้นการที่นางอาศัยอยู่บนพื้นโลก กิจวัตรการทำงานและการนอนพักผ่อนจึงได้รับอิทธิพลมาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์
เมื่อชายหนุ่มเดินออกไปจากกระท่อม เจียงหลานจึงรีบปิดประตูกระท่อมทันที ประสาทสัมผัสทางการได้ยินอันเฉียบแหลมของไป๋ชิวหรานยังคงได้ยินเสียงกรอบแกรบจากด้านใน เทพเจ้าในร่างเด็กสาวผู้นี้น่าจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าออก และผล็อยหลับไปในทันทีหลังจากนางเสร็จสิ้นธุระ
ไป๋ชิวหรานนำเปลญวนหนังสัตว์เดินอ้อมไปรอบกระท่อม ด้านหลังกระท่อม เขาพบต้นไม้ใหญ่สองต้นที่เจริญเติบโตจนมีขนาดไล่เลี่ยกัน เหนือยอดไม้ระหว่างสองต้นมีทำเลที่เหมาสำหรับการผูกเปลนอน
ตราบใดที่มีฐานที่มั่นสำหรับใช้ปีนขึ้นไป การปีนขึ้นไปสู่ยอดไม้ย่อมไม่ใช่ปัญหาสำหรับไป๋ชิวหราน เขานำเปลญวน*[1] ในอ้อมแขนปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ผูกปลายเชือกของเปลญวนทั้งสองข้างระหว่างกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ทั้งสอง ก่อนจะเหวี่ยงกายขึ้นไปนอนตรงกลางทันที ทันใดนั้นหางตาของเขากลับเหลือบไปเห็นทางเดินหนึ่งตรงบริเวณมุมด้านหลังของลานกว้าง คล้ายมันถูกสงวนไว้เป็นพิเศษ
ไป๋ชิวหรานพลันเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที เขาอาศัยความกล้าหาญของความเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกตนที่ไม่เกรงกลัวอันตรายใด ๆ กระโดดลงจากต้นไม้ ก่อนสืบเท้าเข้าไปสำรวจอย่างเงียบเชียบ
เบื้องหลังทางเดินเป็นเส้นทางที่ถูกแกะสลักไว้อย่างประณีต สังเกตดูแล้วคล้ายมีคนสัญจรผ่านอยู่บ่อยครั้ง ชายหนุ่มเดินตรงรุดไปข้างหน้าตามเส้นทาง ในที่สุดไป๋ชิวหรานก็เดินพ้นออกมาจากแนวป่า จนมาถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง
เมื่อมองลงไป พบว่าท่ามกลางดินแดนรกร้างว่างเปล่า มีแสงสว่างจากกองไฟเพียงเลือนราง
“เจ้ามองเห็นสิ่งใดหรือไม่?”
จื้อเซียนที่แสร้งนิ่งเงียบราวคนตายมาตลอดทั้งวัน สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของไป๋ชิวหราน จึงส่ายหน้าและตอบกลับ
“ให้ข้าดูหน่อย”
ไป๋ชิวหรานยกหัวกะโหลกจื้อเซียนขึ้น ทันทีที่มองเห็นแสงไฟในดินแดนรกร้างตรงหน้า จื้อเซียนจึงกล่าวออกโดยไร้ความลังเล
“นั่นไม่ใช่ถิ่นอาศัยของเผ่ามนุษย์หรอกหรือ?”
“ใช่”
ไป๋ชิวหรานกล่าวต่อ
“ตั้งแต่ลอบสังเกตการณ์อยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำ เห็นได้ชัดว่าแม่นางเจียงหลานผู้นี้จะมีทัศนคติที่ดีต่อเผ่ามนุษย์”
“อ้อ เมื่อครู่นี้ข้าลืมบอกเจ้าไปเสียสนิท”
ทันใดนั้นจื้อเซียนโพล่งขึ้นราวนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้
“แม่นางผู้นั้น มีสายเลือดผสมระหว่างมนุษย์และเทพเจ้า”
“ลูกครึ่งงั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“มนุษย์ครึ่งเทพ?”
“ตามหน้าประวัติศาสตร์แล้วมีมนุษย์ครึ่งเทพเสียที่ไหนกัน นางเป็นเทพเจ้าที่มีเลือดบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถสืบทอดฐานะปุโรหิตของรุ่นก่อนหน้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
จื้อเซียนตอบกลับ
“แม่นางซูเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูร นั่นก็เพราะสายเลือดของจักรพรรดิอสูรสืบทอดมาแล้วหลายชั่วอายุคน ท้ายที่สุดจึงยังไม่สามารถหักล้างสายเลือดของเผ่ามนุษย์เช่นเราได้อย่างสมบูรณ์ ทว่าสายเลือดของเทพเจ้านั้นแตกต่างจากสายเลือดของเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ในสมัยยุคนี้ เพราะมีความสูงส่งเกินไป ในแง่ของการสืบเชื้อสายลูกหลาน ต่อให้เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากสายเลือดของเขาหรือถือกำเนิดจากเผ่าพันธุ์อื่น ล้วนแล้วแต่เป็นเทพเจ้าที่มีเลือดบริสุทธิ์”
“เช่นนั้นทัศนคติอันดีของนางที่มีต่อเผ่ามนุษย์ก็อธิบายได้แล้ว”
ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นลูบปลายคาง พร้อมพยักหน้า
“แล้วบิดามารดาของนางคือใครกัน?”
“หากจะถามถึงชื่อแซ่ บอกได้เพียงว่าภูมิปัญญาของข้าไม่สามารถมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง บางทีการดำรงอยู่ของบุคคลในยุคสมัยนี้ วิถีแห่งสวรรค์อาจมีพื้นที่จดจำไม่เพียงพอ”
จื้อเซียนตอบกลับ
“ข้ารู้เพียงว่าบิดาของนางเป็นมนุษย์ธรรมดา ส่วนมารดาที่เคยอดีตเทพเจ้าผู้ดูแลด้านการรักษา ดูเหมือนว่าในยุคสมัยต่อมาจะแปรเปลี่ยนหน้าที่ไปดูแลท้องทะเลแทน”
“แล้วนางเล่า?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถามอีกครั้ง
“เป็นเช่นที่เจ้าได้ยินมา นางดูแลเรื่องโรคระบาดและกลั่นโอสถรักษาโรคในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่ายังสืบทอดอำนาจของมารดาในการดูแลท้องทะเลอีกด้วย”
จื้อเซียนกล่าวตอบ
“อย่างไรก็ตาม นางอยู่ในความดูแลของมหาสมุทรจริง ทว่าไม่ได้อาศัยอยู่ในมหาสมุทร และตอนนี้มีหน้าที่ดูแลเรื่องโรคระบาด ทั้งยังอาศัยอยู่ใกล้กับถิ่นฐานของเผ่ามนุษย์ ข้าเกรงว่าเหล่าเทพเจ้าบนสวรรค์อาจคิดหาวิธีกำจัดนางให้พ้นทางอยู่ตลอดเวลา”
“หากมองในอีกนัยหนึ่ง จากมุมมองของเราแล้ว… สามารถไว้วางใจนางได้หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานตัดสินใจตั้งคำถาม
“ดูพูดเข้า นางเป็นเทพเจ้าที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเผ่ามนุษย์ ตอนนี้คงไม่มีเหตุผลใดที่นางจะทำร้ายเจ้า”
จื้อเซียนหยุดชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความลังเล ก่อนกล่าวต่อ
“อ้อ อีกประการหนึ่ง ข้าพอจะเข้าใจเหตุผลแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงเกิดแรงกระตุ้นต้องการขับปัสสาวะหลังดื่มสุราหมักจากต้นมธุรส”
“เหตุผลคืออะไร?”
“ภายในสุราหมักจากต้นมธุรส แท้จริงแล้วถูกใครบางคนวางยาพิษในกระเปาะไว้ตั้งแต่แรก”
จื้อเซียนอธิบายต่อไป
“ถูกต้อง จริงดังที่เจ้าคาดเดา แม่นางน้อยผู้นั้นวางยาพิษไว้ที่นั่น ที่ต้องการขับปัสสาวะก็เป็นเพราะร่างกายกระตุ้นให้ขับสารพิษร้ายแรงที่อวัยวะภายในไม่สามารถย่อยสลายด้วยตนเองได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือมังกรยักษ์ที่เป็นสัตว์เลี้ยงของเทพเจ้าองค์นั้นถูกวางยาพิษจนถึงตายจากปัสสาวะของเจ้า…”
“ไม่นะ”
สีหน้าไป๋ชิวหรานแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมองลงทันที
“แต่ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่านางไม่มีทางทำร้ายข้า”
“นางไม่คิดทำร้ายอย่างจริงจังเสียหน่อย เพียงแต่วางยาพิษไว้ที่นั่นเพราะรู้ว่ามนุษย์คงไม่สามารถดั้นด้นไปถึงที่นั่นได้เป็นแน่ เป้าหมายหลักที่วางยาพิษคือสัตว์อสูรหรือแม้แต่เทพเจ้าที่ผ่านไปมาต่างหาก ใครจะคาดคิดว่าเจ้าจะตามกลิ่นไปถึงที่นั่นเพื่อดื่มมันดับกระหายระหว่างทาง”
จื้อเซียนถอนหายใจ
“ถึงอย่างไรก็เป็นความผิดของข้า ขณะนั้นยังมองเห็นอย่างไม่กระจ่างชัด โชคดีที่ร่างกายของเจ้าแข็งแกร่ง พิษจึงไม่เป็นอันตราย จากนี้แสร้งทำเป็นว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นพอ”
[1] เปลที่ถักด้วยป่าน หรือเส้นใยอื่นลักษณะเป็นตาโปร่งอย่างแห ใช้ปลายทั้งสองด้านผูกโยงกับเสา หรือต้นไม้แล้วไกว