ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 165 เศษเสี้ยวเชื้อสายของราชวงศ์ในอดีต

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 165 เศษเสี้ยวเชื้อสายของราชวงศ์ในอดีต

เมื่อกล่าวถึงประเด็นสนทนานี้ ดูเหมือนว่าเจียงหลานจะไม่เต็มใจที่จะกล่าวต่อไปเท่าไหร่นัก

หลังจากตัดบทประเด็นสนทนาอย่างเร่งรีบ สตรีร่างเล็กจึงไล่ไป๋ชิวหรานให้ออกไปจากกระท่อม ก่อนที่ตนเองจะเข้าไปพักผ่อนด้านใน

เวลาสองถึงสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไป๋ชิวหรานช่วยเจียงหลานเก็บรวบรวมวัตถุดิบสำหรับนำมาทำอาหารในระหว่างวัน เขาจะไปที่หมู่บ้านของเผ่ามนุษย์ที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อดูว่าเจ้าลี่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และในช่วงกลางคืน จะขอร้องให้จื้อเซียนเริ่มต้นชี้แนะเวทคาถาเกี่ยวกับห้วงอวกาศให้

ในที่สุดข้าก็มีขั้นวิญญาณแท้จริงอยู่ในตัวแล้ว เหตุใดจึงไม่ลองทำสิ่งยาก ๆ ดูบ้างเล่า?

นอกจากนี้ ตามคำแนะนำของจื้อเซียน เวทแห่งห้วงอวกาศเป็นทักษะเบื้องต้นของเวทแห่งห้วงเวลา ในการถอดรหัสอักขระห้วงเวลาในค่ายกลเวทของเทพเจ้า ไป๋ชิวหรานจึงจำเป็นต้องสำรวจพื้นที่เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์แบบเสียก่อน

ไม่กี่วันเท่านั้น หลังจากการพึ่งพาพรสวรรค์ของตนเอง นับว่าผลลัพธ์ออกมาดีตามสมควร อย่างน้อยไป๋ชิวหรานก็ไม่ติดปัญหาในการเปิดพื้นที่ขนาดเล็กที่มีลักษณะเรียบง่ายบนวัตถุบางอย่าง

ไม่กี่วันต่อมา แขกไม่ได้รับเชิญอีกสองรายก็เดินทางเข้ามายังลานด้านนอกกระท่อมของเจียงหลาน

ผู้มาเยี่ยมเยียนเป็นเทพเจ้าสององค์ ทว่าไม่ได้เดินเข้ามาโดยตรง ทำเพียงเดินเตร่อยู่นอกรัศมีแนวป้องกันใกล้เขตที่พักของเจียงหลาน ดูเหมือนว่าแม้แต่พวกเขายังสัมผัสรู้ถึงพลังของหมอกพิษ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพผู้ดูแลด้านโรคระบาด

ขณะที่พวกเขามาถึง เจียงหลานก็ออกไปทำงานข้างนอกเสียแล้ว เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจของแขกผู้มาเยือน ไป๋ชิวหรานจึงก้าวออกมาจากขอบเขตพลังป้องกัน เห็นว่าเทพเจ้าใบหน้าสีเขียวคล้ำสององค์ที่มีความสูงหลายสิบจั้ง กำลังยืนตระหง่านอยู่ในป่า

“ใช่เทพเจ้านามว่าไป๋ชิวหรานหรือไม่?”

เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานเดินออกมา เทพเจ้าทั้งสององค์จึงโค้งคำนับด้วยความสุภาพนอบน้อม

“ถูกแล้ว ข้าชื่อไป๋ชิวหราน”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

เทพเจ้าทั้งสองหันมองสบตากัน จากนั้นเทพองค์หนึ่งได้หยิบม้วนคัมภีร์สีทองขนาดใหญ่ออกมาจากบั้นเอว ก่อนคลี่กางออกแล้วอ่านเนื้อความว่า

“พระราชโองการจากจักรพรรดิสวรรค์ ไป๋ชิวหราน จงน้อมรับบัญชา”

ชายหนุ่มเพียงก้มศีรษะลงเล็กน้อย

อาจเป็นเพราะไป๋ชิวหรานเป็นเทพเจ้าองค์ใหม่ จึงไม่เข้าใจกฎเกณฑ์หรือธรรมเนียมปฏิบัติทั้งหมด ดังนั้นเทพเจ้าทั้งสองจึงไม่ว่ากล่าวอะไร และเริ่มอ่านต่อ

“เทพเจ้าองค์ใหม่… ไป๋ชิวหราน มีความทรงพลังและกล้าหาญอย่างไร้เทียมทาน นับจากนี้ไป จะได้รับการขนานนามว่าเป็นแม่ทัพผู้บัญชาการอันยิ่งใหญ่แห่งจักรพรรดิตะวันออก รับหน้าที่ดูแลดินแดนทิศตะวันออก และปกป้องความสงบสุขของโลกเบื้องล่าง ตามราชโองการประกาศไว้”

“ไป๋ชิวหรานน้อมรับบัญชา”

ชายหนุ่มยกมือขึ้นพลางเอื้อมไปรับม้วนพระราชโองการสีทองขนาดใหญ่ที่เทพเจ้าทั้งสองม้วนเก็บลงดังเดิม

คาดว่าการกระทำตรงหน้าคงเป็นการทดสอบอย่างเจตนาเช่นกัน เพราะเทพเจ้าทั้งสองไม่ได้หดขนาดของม้วนพระราชโองการสีทองลงแต่อย่างใด จึงคงขนาดและน้ำหนักดังสภาพเดิมไว้ ขณะที่วางลงในมือของไป๋ชิวหราน แม้แต่ลำต้นของต้นไม้ที่อยู่ในบริเวณโดยรอบยังสั่นสะเทือน!

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าไป๋ชิวหรานรับม้วนพระราชโองการด้วยท่าทางเช่นปกติสามัญ ทั้งยังย่อส่วนมันลงก่อนจะเหน็บไว้บริเวณเอว พวกเขาจึงแสดงท่าทีว่าเคารพเลื่อมใสจากใจจริง

“ท่านเทพเจ้า โปรดมากับพวกเราด้วยเถิด”

เทพเจ้าองค์หนึ่งปรายตามองกระท่อมที่ล้อมรอบไปด้วยขอบเขตพลัง ก่อนจะกระซิบเพิ่มเติม

“สถานที่แห่งนี้… ไม่เป็นมงคลสักเท่าไร หากกลับไปยังสรวงสวรรค์ จักรพรรดิสวรรค์ทรงจัดเตรียมสถานที่สำหรับแสดงความยินดีกับท่านไว้แล้ว”

ขณะที่ไป๋ชิวหรานกำลังจะถามไถ่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจียงหลานกันแน่ เขากลับเห็นร่างของสตรีร่างเล็กปรากฏกายบนเส้นทางสัญจรด้านหน้า

เทพเจ้าร่างสูงทั้งสองมองเห็นนางเช่นกัน แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เทพเจ้ายักษ์ทั้งสองกลับเผยท่าทางราวพบเข้ากับบางสิ่งที่น่าขยาดหวาดกลัว และอยากหลีกเลี่ยงไปให้ไกลโดยเร็ว เทพองค์หนึ่งกระซิบกับไป๋ชิวหราน

“ท่านเทพเจ้า โปรดอภัยให้เราทั้งสองด้วย ไว้เราสองพี่น้องจะมาพบท่านภายหลัง”

“อืม ไปเสียเถอะ”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต

เทพเจ้าทั้งสองเหาะทะยานกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวหนีหน้าจากบางสิ่งบางอย่าง ครั้นเจียงหลานเห็นเช่นนั้นจึงโพล่งถามขึ้น

“เจ้าจะไปจากที่นี่แล้วใช่หรือไม่?”

“ใช่”

“องค์จักรพรรดิสวรรค์ทรงประทานฐานะปุโรหิตใดให้แก่เจ้าแล้ว?”

“เหมือนจะเป็นแม่ทัพแห่งดินแดนตะวันออกกระมัง?”

ไป๋ชิวหรานตอบกลับ

“มอบหมายหน้าที่ให้ข้าจัดการดูแลพื้นที่ในดินแดนตะวันออก”

“เข้าใจแล้ว ตอนนี้เจ้าได้กลายเป็นหนึ่งในห้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของโลกเบื้องล่าง อีกทั้งยังเป็นเทพเจ้าผู้มีความร่ำรวยที่สุด แม้ว่าโลกและสวรรค์จะแตกต่างกัน ทว่าฐานะของเจ้าไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้าอย่างแน่นอน พอคาดเดาได้ไม่ยากว่าจักรพรรดิสวรรค์ต้องการเรียกใช้เจ้า”

เจียงหลานพยักหน้า พร้อมกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

“จงปฏิบัติหน้าที่ให้ดี ลาก่อน”

“อืม”

ชายหนุ่มโค้งคำนับลานาง พร้อมกล่าวว่า

“ขอบคุณแม่นางเจียงยิ่งนักสำหรับการดูแลมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา หากไม่ต้องการคำขอบคุณ ในวันข้างหน้าหากต้องการความช่วยเหลือใด ๆ สามารถตามหาข้า… ไป๋ชิวหรานได้ทุกเมื่อ และจะพยายามช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ”

เจียงหลานไม่กล่าวตอบคำใด นางเดินผ่านหน้าไป๋ชิวหรานไปอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็โบกมือทั้งที่ยังหันหลังให้เขาแทนการตอบรับ

หลังแยกทางกับเจียงหลาน ชายหนุ่มก็เดินออกไปนอกขอบเขตพลังเพียงครู่เดียว เทพเจ้าสององค์เดิมก็วกกลับมารับเขาอีกครั้ง บางทีอาจเป็นเพราะลู่อู๋ได้กำชับกับทั้งสองเป็นการพิเศษ พวกเขาจึงพาไป๋ชิวหรานเหาะทะยานผ่านกลุ่มเมฆ ตรงไปยังจุดหมายปลายทาง

ระหว่างเหาะเหินอยู่เหนือชั้นบรรยากาศ ขณะกวาดสายตามองผ่านดินแดนอันกว้างใหญ่ ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม

“ข้าขอถามคำถามบางอย่างหน่อยได้หรือไม่?”

“ท่านเทพเจ้าโปรดถาม”

เทพเจ้าทั้งสองตอบรับพลางก้มศีรษะ

“ในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ย่อมล่วงรู้ทุกสิ่งอย่าง”

ไป๋ชิวหรานลอบเผยรอยยิ้ม ยังไม่เอ่ยถามออกไปในทันที บางทีอาจดูเป็นการละลาบละล้วง แต่สำหรับผู้ที่ไม่รู้สิ่งใดเลย การเอ่ยปากตามใจชอบย่อมเป็นกำไร เขาจึงเอ่ยถามว่า

“ข้าอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพวกเผ่ามนุษย์…”

“เผ่ามนุษย์ โอ้… ท่านเทพเจ้าคงเป็นกังวลเพราะท่านมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับพวกเขา”

เทพเจ้าองค์หนึ่งกล่าวกลั้วหัวเราะ

“พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกใบนี้อย่างแท้จริง เมื่อกล่าวถึงจักรพรรดิสวรรค์แล้ว พระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิสวรรค์องค์ที่สองที่เคยพบเห็นตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเผ่ามนุษย์ แต่ต้องจดจำไว้ให้แม่นยำเสมอว่าแตกต่างกัน ท่านมีสายเลือดสูงศักดิ์โดยกำเนิด ส่วนพวกเขา… สามารถปฏิบัติในฐานะที่ต่ำกว่า เป็นปศุสัตว์ หรือแม้แต่สิ่งของ ถึงอย่างไรต้องไม่เห็นอกเห็นใจหรือยืนเคียงข้างพวกเขาอย่างเด็ดขาด ท่านคือเทพเจ้า พวกเขาเป็นมนุษย์ เทพเจ้าและมนุษย์นั้นต่างชั้นกัน”

ปัญหาคือแท้จริงแล้วข้าเป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเขานี่แหละ…

ไป๋ชิวหรานลอบสบถในใจสองสามประโยค ก่อนเอ่ยถามต่อไป

“เช่นนั้น ยังมีเผ่าพันธุ์มนุษย์อื่นอีกหรือไม่ที่อาศัยตั้งถิ่นฐานอยู่ในแผ่นดินนี้ เช่นเดียวกับเผ่ามนุษย์ที่อยู่ด้านข้างที่พักชั่วคราวของข้า?”

“อาจมี แต่ไม่มากนัก เผ่ามนุษย์ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่มีความแข็งแกร่งแต่กำเนิด นับเป็นโชคดีที่ได้เห็นการกำเนิดขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบในฐานะที่ต่ำกว่า เรามอบความคุ้มครองดูแลแก่พวกเขา แลกเปลี่ยนกับการที่ยอมจำนนอยู่ใต้ฝ่าเท้า”

เทพเจ้าใบหน้าเขียวคล้ำอีกองค์ตอบกลับ

“ในปัจจุบันมีการตั้งถิ่นฐานของเผ่ามนุษย์อยู่ประมาณสิบกว่าแห่ง ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน เพราะในสถานที่อื่นนอกเหนือไปจากนี้ เผ่ามนุษย์ก็ไม่สามารถดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้”

“เข้าใจแล้ว”

ชายหนุ่มพยักหน้า แล้วตั้งคำถามต่อไป

“แล้วเรื่องของเจียงหลานล่ะ? นางคอยดูแลข้าเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ไม่คิดว่านางเป็นเทพเจ้าผู้มีบุคลิกหรือวิสัยเลวร้ายแต่อย่างใด… เหตุใดพวกเจ้าถึงดูรังเกียจนางถึงเพียงนั้น?”

เทพเจ้าทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่เทพอีกองค์จะลดระดับเสียงลงเหมือนกระซิบกระซาบ

“นั่นเป็นเพราะนางเป็นเทพโรคระบาด นำมาซึ่งความโชคร้าย”

ไป๋ชิวหรานเลิกคิ้ว

“เจ้ามีสิ่งใดปิดบังกันแน่? กล่าววาจาอ้อมค้อมเช่นนี้ คิดว่าข้าเบาปัญญาหรืออย่างไร?”

“โอ้ ข้าน้อยไม่กล้า ไม่กล้าแน่นอน”

เทพเจ้าทั้งสองรีบโบกไม้โบกมือ

“เช่นนั้นก็บอกเล่าข้อเท็จจริงมา”

ไป๋ชิวหรานเอ่ยพร้อมพยักหน้า

“อย่ากังวลไปเลย ริมฝีปากของข้าปิดเม้มสนิทเข้มงวด ไม่กล่าววาจาไร้สาระไปทุกแห่งหนเป็นแน่”

เทพทั้งสองหันมองสบตากันอีกครั้ง ต่างคนต่างลังเลอยู่นาน ในที่สุดจึงตัดสินใจเปิดเผยความจริงภายใต้การจับจ้องอย่างคาดคั้นของไป๋ชิวหราน

“เป็นเพราะนางเป็นเทพแห่งโรคระบาด… และมีเศษเสี้ยวเชื้อสายของราชวงศ์ในอดีต”

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท