ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 198 เปิดยมโลก

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 198 เปิดยมโลก

ในที่สุดไป๋ชิวหรานก็ออกมาจากถ้ำ

ชายหนุ่มไม่รู้ว่าใช้เวลาไปกับการฝึกฝนครุ่นคิดนานเพียงใด ครั้งล่าสุดที่ออกไปเดินเล่นกับเจียงหลาน นางบอกว่าเขาเก็บตัวปลีกวิเวกมาปีกว่าแล้ว ส่วนครั้งที่สองที่กลับเข้าไปจำลองขั้นการฝึกตนเซียน ควบคู่ไปกับการสร้างกงล้อสังสารวัฏหกวิถี ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าใช้เวลาไปนานเท่าใด

แต่เมื่อกลับออกมา ไป๋ลี่ก็บรรลุสู่ขั้นแยกวิญญาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เด็กหนุ่มได้มาถึงระดับสูงสุดของขั้นแยกวิญญาณแล้ว ทั้งยังมีสัญญาณเลือนรางถึงการพัฒนาที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

โชคดีที่เจียงหลานยังคงมีลักษณะที่ไม่แปรเปลี่ยนไปจากเดิม

ไป๋ชิวหรานตรงไปหาไป๋ลี่ที่กำลังฝึกตนร่วมกับเจ้าลิงอยู่ เพื่อบอกกล่าวคำตอบสำหรับคำถามที่อีกฝ่ายเคยถามไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นเขาก็กล่าวกับไป๋ลี่และเจ้าลิงว่า

“คำถามเกี่ยวกับการฝึกตนไว้ข้าจะบอกภายหลัง ตอนนี้พวกเจ้าทั้งสองควรตามข้ามาก่อน”

ชายหนุ่มพาไป๋ลี่กับเจ้าลิงออกจากหุบเขา ก่อนจะพบเข้ากับเจียงหลานตรงบริเวณปากทางเข้า ซึ่งนางกำลังรดน้ำพืชผักอยู่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไป๋ชิวหรานได้ชี้แนะวิธีการเพาะปลูกและพืชพรรณทางจิตวิญญาณของชนรุ่นหลังให้นางรับรู้ เจียงหลานที่ไม่มีอะไรทำจึงถางพื้นที่เป็นทุ่งนาหลายแห่งไว้บริเวณปากทางเข้าหุบเขา พืชผักถูกเพาะปลูกขึ้นอย่างมากมายเป็นผลผลิตเชิงการเกษตรที่สมบูรณ์แบบ

อย่างไรก็ตาม เจียงหลานมีความเฉลียวฉลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกทั้งท่านตาของนางยังเคยเป็นเทพเจ้าผู้สร้างธัญพืชทั้งห้า พืชผักเหล่านั้นที่อยู่ภายใต้การดูแลของนางจึงเจริญเติบโตได้ดี

เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานตั้งท่าจะเดินออกไปจากหุบเขาพร้อมกับศิษย์ทั้งสองคน นางจึงรีบโพล่งถามว่า

“ชิวหราน เจ้าจะพาพวกเขาไปที่ใดกัน? พวกเราตั้งสำรับทานอาหารกันก่อนไม่ดีกว่าหรือ?”

“ข้าจะไปกระทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่”

ไป๋ชิวหรานหยุดชะงักฝีเท้า ก่อนจะกล่าวขอโทษเจียงหลาน

“ขอโทษด้วย หลานเอ๋อร์ วันนี้เจ้าคงต้องทานอาหารผู้เดียวอีกวันหนึ่งแล้ว

“โอ้”

เจียงหลานวางฝักบัวรดน้ำลง ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม

“เจ้าพาข้าไปด้วยได้หรือไม่?”

ไป๋ชิวหรานนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังจากได้ยินคำกล่าวนั้น เขามาที่นี่เพื่อหวังจะเปิดดินแดนยมโลก และเริ่มก่อตั้งสังสารวัฏหกวิถี แม้ว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจียงหลานจะยังอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น ทว่ายังมีสถานะเป็นเทพเจ้า ไม่แน่ว่าเจตจำนงของนางอาจจะยังไม่ถูกทำลายไปเสียทีเดียว

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ขั้นการฝึกตนของผู้เป็นภรรยาก็ไม่ได้อยู่ในระดับต่ำกว่าเขาอย่างแน่นอน

ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เจียงหลานวางฝักบัวรดน้ำลงอย่างมีความสุข… หลังจากร้องขอให้สาวรับใช้หลายคนช่วยกันดูแลแปลงพืชผักแทนตนเองแล้ว นางจึงเดินมาเคียงข้างไป๋ชิวหราน ก่อนจะจับมือเขาไว้

ไป๋ชิวหรานไม่ว่าอะไรนาง ทว่าไป๋ลี่กับเจ้าลิงที่เดินอยู่ข้างกายกลับหันมองหน้ากัน ก่อนที่ไป๋ลี่จะพาลิงของเขาก้าวถอยไปอยู่ด้านหลังเล็กน้อยอย่างเงียบเชียบ

หลังออกจากหุบเขา ไป๋ชิวหรานขอให้ไป๋ลี่เรียกใช้เส้นทางสัญจรใต้ปฐพี และนำพาทุกคนดำลงไปใต้พื้นดิน

เขาปล่อยให้ไป๋ลี่ดิ่งปฐพีลงไปจนสุดทาง ผ่านชั้นหินหนามากมาย หลังจากไปลงลึกไปถึงชั้นลาวาแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงสั่งให้เด็กหนุ่มหยุดเสีย

ไป๋ลี่เสริมชั้นดินภายในด้วยพลังปราณ เพื่อสร้างพื้นที่ขนาดเล็กขึ้นในที่แห่งนี้ และให้กลุ่มคนสามารถยืนหยัดอยู่ในพื้นที่นี้ได้

ไป๋ชิวหรานปกป้องเจียงหลานไว้ด้วยพลังวิญญาณที่แท้จริง จากนั้นก็เหยียดฝ่ามือออก ดึงเอากระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้าออกมาจากด้านหลังอย่างช้า ๆ โคจรปราณกระบี่ของตนให้มันกลืนกินเข้าไปอย่างเต็มที่ ก่อนจะฟาดฟันกระบี่เข้าไปในความว่างเปล่า

กระบวนกระบี่เล่มนี้รวดเร็วยิ่ง เทพหนึ่งองค์ มนุษย์หนึ่งคน และลิงหนึ่งตัวเห็นแสงสีขาวสว่างวาบ ฉับพลันรอยแยกอันน่าสะพรึงกลัวถูกผ่าออกจากพื้นที่เบื้องหน้า

พลังงานอันรุนแรงภายในความว่างเปล่าพุ่งทะลักออกมาจากรอยแตกนั้นอย่างต่อเนื่อง ไป๋ชิวหรานชักกระบี่ของตนอีกครั้ง ยกมือขึ้นสูง ก่อนจะร่ายเวทคาถาลึกลับหลากหลายต่อไป… ขั้นวิญญาณแท้จริงหนึ่งในสิบของร่างกายหมุนเวียนอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นด้วยเวทคาถาฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงได้กดพายุปั่นป่วนกลับเข้าไปในความว่างเปล่า ก่อนที่มันจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ภายในฝั่งตรงข้ามของรอยร้าวแยกค่อย ๆ เปิดออกเป็นอาณาจักรแห่งหนึ่งที่มีขนาดกว้างขวางไม่น้อยไปกว่าสวรรค์และโลกที่อยู่บนฝั่งตรงข้าม

การกระทำเหล่านี้ดึงดูดความสนใจจากวิถีสวรรค์ทันที เจตจำนงอันยิ่งใหญ่หลั่งไหลเข้ามา จากนั้นก็ไหลเข้าสู่พื้นที่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามภายในรอยแยก วิถีสวรรค์ไม่รอช้า เริ่มนำทางพลังงานทางจิตวิญญาณอันอิสระเปลี่ยนแปลงโลกไปในฝั่งตรงข้าม

ในขณะเดียวกัน ไป๋ชิวหรานยังส่งสัมผัสเทวะเข้าไปยังโลกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามภายในรอยแยก เพื่อติดต่อสื่อสารกับเจตจำนงของวิถีสวรรค์

หลังจากนั้นไม่นาน เขาสามารถเกลี้ยกล่อมวิถีสวรรค์ได้สำเร็จด้วยดี ทั้งสองบรรลุข้อตกลงร่วมกัน วิถีสวรรค์จึงเริ่มเปลี่ยนแปลงโลกฝั่งตรงข้ามตามคำขอของไป๋ชิวหราน

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดสุ้มเสียงดังกัมปนาท ฉากที่สวยงามพลันปรากฏขึ้นภายในฝั่งตรงข้ามของรอยแยก ไป๋ชิวหรานนำผู้ติดตามทั้งสามข้ามผ่านเข้าไปในรอยแยกเพื่อดูว่าวิถีสวรรค์ได้เปลี่ยนแปลงพื้นที่ว่างเปล่าอย่างไรบ้าง

ขณะนั้นเอง ไป๋ชิวหรานยังลอบจดจำเคล็ดลับที่วิถีสวรรค์ใช้ในการเปลี่ยนแปลงพื้นที่โดยทดไว้ภายในใจ และเมื่อกลับมารู้สึกตัว เขาก็พบว่าคนสองคนและเจ้าลิงที่อยู่รอบกายเขากำลังครุ่นคิดตามไปด้วยเช่นกัน

ไป๋ชิวหรานเห็นเช่นนั้นจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

หลังจากเวลาผ่านไปนานพอสมควร อาณาเขตแห่งใหม่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามรอยแยกค่อย ๆ เสถียรยิ่งขึ้น เจตจำนงแห่งวิถีสวรรค์แผ่ขยายและซึมซับเข้าไปภายใน ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงรับเจียงหลานพร้อมด้วยคนอื่น ๆ ให้ข้ามผ่านเข้ามา

พวกเขาเดินตามไป๋ชิวหรานไปยังชายหาดริมลำธารแห่งหนึ่ง ลำธารนั้นเต็มไปด้วยกระแสน้ำไหลเอื่อยสีแดงฉาน เมื่อมองขึ้นไป จึงพบว่าเหนือลำธารนั้นล้อมรอบไปด้วยหมอกควันแปลกประหลาดหนาทึบ จนไม่อาจมองเห็นว่าพื้นที่แห่งนี้กว้างขวางเพียงใด

ไป๋ชิวหรานพบต้นไม้งอกเงยอยู่บนฝั่งจึงทำการขัดเกลามันให้กลายเป็นสะพานข้ามแม่น้ำ ก่อนจะพาทุกคนข้ามไปยังอีกฟากฝั่ง

เขาเปิดโลกใบใหม่อันกว้างขวางได้สำเร็จ

ระหว่างทาง แม้แต่ลิงของไป๋ลี่ยังสามารถเข้าใจความจริงดังกล่าว ไป๋ลี่อดไม่ได้ที่จะชื่นชมไป๋ชิวหรานผู้เป็นอาจารย์มากยิ่งขึ้น ขณะที่เจียงหลานก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิ

วิธีการเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่จักรพรรดิตะวันออกไท่อีก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

ทว่าจนถึงขณะนี้ ไป๋ลี่กลับไม่พบเห็นสัญญาณชีวิตใด ๆ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ท่านอาจารย์ เหตุใดถึงคิดเปิดโลกแห่งนี้ขึ้นมาขอรับ?”

ไป๋ชิวหรานหันไปมองเขาแล้วเอ่ยตอบ

“นี่คือการเปิดยมโลกสำหรับวิญญาณผู้ตาย”

“ผู้ตายงั้นหรือ?”

ไป๋ลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเบิกตากว้างแล้วโพล่งถามทันที

“นี่คงไม่ใช่?”

“ใช่แล้ว ขณะที่จักรพรรดิตะวันออกไท่อีกวาดล้างโลก ข้าได้ช่วยเหลือและรวบรวมดวงวิญญาณทั้งหมดที่เหลืออยู่เอาไว้”

ภาพเขียนหนึ่งปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของไป๋ชิวหราน เขาคลี่กางม้วนกระดาษออก ก่อนจะปลดปล่อยดวงวิญญาณมนุษย์ทั้งหมดที่กำลังหลับใหลอยู่ภายใน

บนพื้นด้านหน้าของคนทั้งสามและลิงอีกหนึ่งตัว ทันใดนั้นเงาสีขาวขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น ตามด้วยปราณวิญญาณทั้งหลายที่มีลักษณะมืดมน

“ฮัดเช้ย!”

พลังแห่งปราณวิญญาณนั้นรุนแรงเกินไป ทำให้เจียงหลานที่ยืนอยู่ด้านข้างเผลอจามออกมาเล็กน้อย ไป๋ชิวหรานเห็นดังนั้นจึงถ่ายโอนพลังปราณเข้าไปในร่างกายของนางอย่างรวดเร็ว พร้อมกับดันร่างบางให้ล่าถอยออกไป

ในที่สุดไป๋ลี่ก็พบใบหน้าอันคุ้นเคยภายในเงาสีขาวโพลนนั้น

“นั่นล้วนเป็นคนของเผ่าข้า! โอ้ นั่นภรรยาของข้าเอง!”

เขาเดินผ่านฝูงวิญญาณแล้ววิ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง โดยที่ฝูงวิญญาณเหล่านั้นมองเห็นการมีอยู่ของเขา วิญญาณภรรยาของไป๋ลี่จึงเอ่ยทักทาย

“เสี่ยวเหลียน!”

“ลี่!”

หนึ่งคนและหนึ่งวิญญาณมีโอกาสได้พบพานกันอีกครั้ง พวกเขาหมายจะโผเข้ากอดกันด้วยความตื่นเต้น ทว่าร่างภรรยาของไป๋ลี่กลับทะลุผ่านร่างของเขาไป

“เอ๊ะ?”

“เจ้าเด็กโง่”

เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ไป๋ชิวหรานก็อดหัวเราะไม่ได้

“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเคยสอนไว้อย่างไร? มนุษย์และวิญญาณมีเส้นทางชีวิตที่ต่างกัน ไม่เพียงพูดคุยกับพวกเขาไม่ได้เท่านั้น ทว่าร่างกายกลายเป็นวิญญาณไปแล้ว เจ้าจะจับต้องร่างกายนางประหนึ่งว่ายังมีเลือดเนื้อได้อย่างไร?”

“ท่านอาจารย์… ข้าควรทำอย่างไรดี?”

ไป๋ลี่รีบถามกลับอย่างร้อนใจ

“ข้าจะให้คำแนะนำ ส่วนเจ้านำไปอนุมานต่อได้ว่าวิญญาณควรทำการฝึกตนอย่างไร”

หลังไป๋ชิวหรานกล่าวจบ เขายังได้สั่งสอนสัจธรรมให้กับอีกฝ่ายด้วย

การฝึกตนของวิญญาณนั้นย่อมแตกต่างจากการฝึกตนของมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าไป๋ชิวหรานเคยได้ยินเชวียหลิงบอกเล่าถึงวิธีที่ดวงวิญญาณเช่นพวกเขากระทำการฝึกตน เคล็ดลับดังกล่าวที่เชวียหลิงเคยแบ่งปันให้เขารับทราบ คือสิ่งที่ดวงวิญญาณทุกตนจำเป็นต้องเรียนรู้เป็นสูตรพื้นฐาน

หลังจากฟัง ไป๋ลี่จึงครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปด้วย ขณะที่ดวงวิญญาณภรรยาของเขาคุกเข่าลงนั่งด้านข้างเพื่อคอยสนับสนุนสามี

เจียงหลานก้าวไปยืนเคียงข้างไป๋ชิวหราน มองดูวิญญาณที่เคยอยู่ในเผ่ามนุษย์กำลังล่องลอยไปทั่วท้องฟ้า แล้วเอ่ยถามว่า

“เจ้าบังเกิดความคิดที่จะเปิดยมโลกสำหรับผู้ตายได้อย่างไร?”

“จากการเรียนรู้”

ไป๋ชิวหรานมองขึ้นไปยังดวงวิญญาณเหนือท้องฟ้าเช่นกัน

“ข้าเพียงคิดได้ว่าหลังจากที่พวกเขาตายตกกลายเป็นดวงวิญญาณ ไม่ว่าจะตกเป็นอาหารของเผ่าเทพหรือสัตว์อสูรร้ายในภายหลัง หรือแม้แต่การดับสลายไปอย่างช้า ๆ บนโลก คงเป็นสิ่งที่เจ็บปวดเกินไปสำหรับเผ่ามนุษย์ แม้ว่าโลกจะมีระบบวัฏจักรอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ถึงกระนั้นข้ายังหวังว่าจะสามารถสร้างโลกเช่นนี้ขึ้นมาได้ เพื่อให้ดวงวิญญาณของเผ่ามนุษย์ หรือแม้แต่ดวงวิญญาณของเผ่าพันธุ์อื่นมีโอกาสได้เวียนว่ายตายเกิดตามสังสารวัฏที่ควรจะเป็น”

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท