บทที่ 220 หวีผม
เจียงหลานสบตาไป๋ชิวหราน ส่วนชายหนุุ่มก็สบตานางเช่นกัน
“ยินดีต้อนรับกลับมานะ”
หลังจากสายตาประสานมองกันครู่หนึ่ง แววตาของเจียงหลานพลันอ่อนแสงลง ก่อนที่นางจะเอ่ยทักทายเขาด้วยเสียงแผ่วเบา
“ข้ากลับมาแล้ว”
ไป๋ชิวหรานเดินตรงไปหานาง อ้าแขนแข็งแกร่งออก ก่อนจะโอบกอดร่างกายอ่อนนุ่มบอบบางของเจียงหลานมาแนบไว้ในอ้อมแขน
กลิ่นหอมกรุ่นอันคุ้นเคยลอยมาแตะจมูกของเขา ไป๋ชิวหรานโอบกอดนางพร้อมถามเบา ๆ
“เวลาผ่านมานานกี่ปีแล้ว?”
“สามแสนห้าหมื่นหกพันแปดร้อยปี”
เจียงหลานรายงานตัวเลขได้อย่างแม่นยำ รู้สึกว่ามือของนางกอดเขากระชับขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะเบา ๆ
“อย่ากังวลไปเลย ข้ารู้สึกเหมือนนอนหลับไปหลายปีเท่านั้น ไม่เคยรู้สึกว่ายาวนานเลย”
“ข้าติดหนี้เจ้ามากเกินไป”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
“ข้ารู้”
เจียงหลานวางคางเรียวลงบนไหล่ของไป๋ชิวหราน
“นับจากนี้ไป ข้าต้องการให้เจ้าชดเชยด้วยเวลาอันเป็นนิรันดร์”
“ข้าสัญญา”
ไป๋ชิวหรานลูบไล้แผ่นหลังของนางแผ่วเบา
“อย่างไรก็เถอะ เจ้าคงไม่ลืมปิ่นปักผมของข้าใช่หรือไม่”
“ไม่ลืม”
ชายหนุ่มหยิบปิ่นปักผมสีหยกออกมาจากถุงเก็บสมบัติแล้วยื่นให้กับเจียงหลาน
เจียงหลานยื่นมือออกไปรับมัน ลูบไล้สัมผัสด้วยความคิดถึงระคนโหยหา ก่อนส่งกลับให้ไป๋ชิวหรานพร้อมเอ่ย
“เจ้าช่วยหวีผมให้ข้าหน่อยสิ”
“ได้”
ชายหนุ่มหยิบหวีไม้ที่เจียงหลานมอบให้ ก่อนเดินไปยังหน้าโต๊ะเครื่องแป้งภายในห้องนอนพร้อมกันกับนาง
ร่างอ้อนแอ้นอรชรของเจียงหลานสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านกระจกที่สว่างไสวด้วยเวทคาถาบนโต๊ะเครื่องแป้ง ไป๋ชิวหรานยืนอยู่ข้างหลังนาง แบ่งเรือนผมยาวสลวยขึ้นมาเบา ๆ ทีละส่วนและเริ่มบรรจงหวี
ก่อนหน้าไป๋ชิวหรานจะข้ามไปสู่ยุคเผ่าเทพ เขาไม่เคยทำสิ่งนี้มาก่อนเลยในชีวิต ในช่วงสองถึงสามร้อยปีแรกของความสัมพันธ์ระหว่างเขาและซูเซียงเสวี่ย เจ้าสำนักซูยังคงเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาที่เขินอายเกินกว่าจะแสดงออกถึงความรัก ส่วนตัวเขาก็เป็นประหนึ่งเหล็กกล้าแข็งกระด้าง… ไหนเลยจะใส่ใจทำเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้
ต่อมาเขายอมรับถังรั่วเวยให้เป็นศิษย์สายตรงของตนเอง ในเช้าวันหนึ่งเมื่อเห็นหญิงสาวผู้นี้อยู่โยงตลอดทั้งคืนเพื่อเพียรฝึกตนอย่างบ้าคลั่งจนสภาพราวตายทั้งเป็น เขาจึงพยายามช่วยหญิงสาวทำความสะอาดร่างกายและจัดแต่งทรงผม
ทว่าเวลานั้นคิดทรงผมอันเป็นที่นิยมของสตรีไม่ออกจริง ๆ การกระทำของเขาจึงค่อนข้างเงอะงะไปหมด ทั้งยังทำให้ทรงผมของถังรั่วเวยพันกันประหนึ่งเล้าไก่ถึงหนึ่งวันเต็มจนนางโกรธเคืองอยู่หลายวัน…
ทว่า หลังจากยอมรับการแต่งงานที่จักรพรรดิตะวันออกไท่อีแห่งราชวงศ์สวรรค์เป็นผู้ประทานให้ เพื่อป้องกันการถูกจับผิดของฝ่ายตรงข้าม ในบางครั้งทั้งสองจำเป็นต้องแสร้งแสดงความรักต่อหน้าจักรพรรดิตะวันออกไท่อีเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย ในเวลานั้นเจียงหลานได้สอนให้ไป๋ชิวหรานรับรู้ว่าควรหวีผมให้สตรีอย่างไรจึงจะถูกต้อง
แม้ว่าฝีมือของไป๋ชิวหรานจะไม่อาจเทียบเท่าสตรีเพศที่จัดแต่งทรงผมตนเองอย่างชำนาญ ทว่าทรงผมที่ถูกจัดแต่งโดยฝีมือของไป๋ชิวหราน อย่างน้อยก็สามารถออกไปพบปะผู้คนได้โดยไม่อับอาย
ขณะแต่งตัวและจัดแต่งทรงผม ทั้งสองต่างสนทนากัน
“ครั้งนี้ข้าพาศิษย์สายตรง สหายของนาง รวมถึงแม่นางผู้นั้นมาที่นี่ด้วย”
ชายหนุ่มไม่คิดปิดบังเจตนาของตนกับเจียงหลาน จึงบอกกล่าวให้นางรับทราบตามตรง
“อย่างนั้นหรือ?”
เจียงหลานยกยิ้ม
“เช่นนั้นข้าควรแต่งกายให้ดูดีหน่อยเพื่อรับรองแขก”
ไป๋ชิวหรานพลันเกิดความรู้สึกผิดเล็กน้อย ทว่าเขาเตรียมจิตใจไว้แล้วก่อนที่จะมาพบนาง ดังนั้นจึงรักษาท่าทีนิ่งสงบพร้อมกับหวีผมให้ต่อไป
“อีกอย่าง หลังจากที่ข้าเพียรฝึกตนจนกลายเป็นเซียน ข้าพอจะรับรู้บางสิ่งบางอย่างมาบ้าง”
เจียงหลานมองใบหน้าของไป๋ชิวหรานผ่านกระจกเงาซึ่งยังคงเผยรอยยิ้ม
“เห็นได้ชัดว่าเราต่างมีฐานะเป็นสามีภรรยากัน แต่ดูเหมือนว่าพลังชีวิตของเจ้าจะหายไป… เจ้ามอบสิ่งนั้นให้แก่แม่นางผู้นั้นแล้วใช่หรือไม่?”
ฝ่ามือของไป๋ชิวหรานสั่นเทา เกือบจะหักหวีทิ้งเสียเดี๋ยวนั้น
เขาอับอายจนไม่รู้ว่าควรกล่าวตอบนางอย่างไรดี จึงทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับอย่างเงียบเชียบ
“ไม่เห็นเป็นไร ข้าไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก สักวันมันย่อมเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว”
เจียงหลานพยักหน้าแล้วกล่าวต่อไป
“ตอนนี้ข้ากำลังฝึกฝนเคล็ดวิชาพิษวารีที่เจ้าคิดค้นขึ้น สำหรับข้า… พลังชีวิตดังกล่าวไร้ประโยชน์ไปเสียแล้ว และยินดีมอบให้แม่สาวน้อยผู้นั้นเพื่อส่งเสริมด้านการฝึกตน… ซึ่งสิ่งที่นางกำลังฝึกตนควรเกี่ยวข้องกับการสมานหยินหยางใช่หรือไม่?”
“ใช่ นางมาจากสำนักเหอฮวน”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“ข้าพอรู้จักอยู่บ้าง นางเป็นสตรีที่บริสุทธิ์ทั้งกายและใจที่อยู่เคียงข้างเจ้ามาเป็นเวลานาน ดูเหมือนว่านางจะรักใคร่เจ้ามากทีเดียว”
เจียงหลานกล่าว
ไป๋ชิวหรานพบว่าทักษะการพูดของผู้เป็นภรรยาได้รับการฝึกฝนและขัดเกลาอย่างสมบูรณ์มานานหลายแสนปี ซึ่งสามารถทำให้ตนเองกลายเป็นคนช่างพูดช่างเจรจา จากที่ก่อนหน้าจะไม่กล่าวยืดเยื้อเกินกว่าสองถึงสามประโยค
“เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าจะไม่พูดคุยกับเจ้าเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป”
บางทีอาจเป็นเพราะนางสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่น่าอับอายของไป๋ชิวหราน เจียงหลานจึงเผยรอยยิ้มพร้อมเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย
“เมื่อครู่นี้เหมือนกับเจ้ากำลังสอบปากคำข้าอย่างไรอย่างนั้น”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจออก แล้วเริ่มต้นตั้งคำถาม
“เจ้าเด็กไป๋ลี่ผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
“เขายังมีชีวิตอยู่ ทว่าตอนนี้ขึ้นไปยังภายในโลกเซียนเสียแล้ว ต่างจากเจ้าที่ไม่สามารถขึ้นไปยังโลกเซียนได้ตามต้องการ ดังนั้นหากต้องการพบเขา อาจต้องเสาะหาวิธีการฝึกตนเพื่อให้บรรลุขั้นเซียนด้วยตนเองเท่านั้น”
เจียงหลานตอบกลับ
“หรือไม่ เจ้าอาจต้องเสาะหาหนทางขึ้นไปยังโลกเซียนโดยตรงด้วยวิธีอื่น”
“เทพธิดาซีเหอและเทพอีกาสามขาก็ขึ้นไปยังโลกเซียนด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว”
เจียงหลานตอบกลับเสียงแผ่ว
“เพราะภายหลังลี่เอ๋อร์พบว่า แม้เซียนจะมีจิตใจบริสุทธิ์และมีความปรารถนาส่วนตนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าการอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะกระทำสิ่งผิดพลาดซ้ำเดิมเฉกเช่นเดียวกับเหล่าทวยเทพ ดังนั้นจึงรวบรวมสิ่งมีชีวิตที่มีพลังมหาศาลให้ขึ้นมาอยู่บนแดนสวรรค์ ส่วนท่านป้าซีเหอกับอีกาสามขาถูกรวมอยู่ในประเภทนั้นเช่นกัน พวกนางจึงได้รับเชิญให้ขึ้นไปยังปราสาทสวรรค์ เพื่อรับผิดชอบการทำงานของดวงอาทิตย์ภายในโลกเซียนแทน”
“เจ้าเด็กนั่นเป็นต้นคิดให้โลกเซียนอยู่ห่างออกไปจากโลกนี้อย่างนั้นสินะ”
ว่าแล้วไป๋ชิวหรานคล้ายจะอารมณ์เสียขึ้นมาเล็กน้อย
“ควรจะเป็นเช่นนั้น ข้าไม่ได้ขึ้นไปที่นั่นมานานหลายแสนปีแล้ว บางครั้งใช้เวลาไปกับการหลับใหล บางครั้งก็ทุ่มเทเวลาฝึกตน หรือลงไปเดินเล่นบ้างเป็นครั้งคราว พยายามไม่อยู่ห่างไกลจากที่นี่จนเกินไป”
เจียงหลานกล่าวพลางโคลงศีรษะ
“ข่าวคราวส่วนใหญ่ที่รับรู้ล้วนมาจากคำบอกเล่า ในช่วงปีแรก ๆ ไม่ใช่เรื่องยากที่เหล่าผู้บรรลุขั้นเซียนจะได้รับอนุญาตให้เดินทางจากโลกเซียนไปยังดินแดนเบื้องล่าง”
“อย่างไรก็ตาม นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่พวกเขายังคงมีชีวิตอยู่”
ชายหนุ่มกล่าวพร้อมยกยิ้ม
“ในอนาคตเราสองคนยังมีเวลาอยู่ร่วมกันอีกยาวนาน ย่อมมีโอกาสได้พบพานกันอีกครั้งเสมอ ข้าพร้อมเดินทางไปกับเจ้าในทุกที่ที่เจ้าต้องการไป”
“อืม”
เจียงหลานพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนี้เจ้าไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับการบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานแล้วหรอกหรือ?”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
อันที่จริงไป๋ชิวหรานไม่แปลกใจนักที่เจียงหลานรับรู้เรื่องราวของตนเองโดยละเอียด เพราะแน่นอนว่านางต้องพยายามค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า
“เรื่องนั้นไม่เป็นที่น่าวิตกกังวลอีกต่อไป ตอนนี้ข้ามีขั้นวิญญาณแท้จริงอยู่ภายในร่างกายแล้ว อีกไม่นานวันที่รอคอยคงมาถึง”
หลังจากได้ครอบครองขั้นวิญญาณแท้จริงจำนวนหนึ่งในสิบภายในร่างกายแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงสามารถเรียกใช้ขั้นวิญญาณแท้จริงเพื่อเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับพลังวิญญาณที่แท้จริงของตนเองได้ เนื่องจากอัตราความเร็วในการเพิ่มขึ้นของพลังวิญญาณที่แท้จริงนั้นมากมายจนเกินไปจนเกิดความแตกต่างอย่างชัดเจน เกรงว่าต้องใช้เวลานานกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์
ถึงกระนั้นหัวใจของเขายังชื้นขึ้นมาบ้าง ตราบใดที่เขายังคงมีสภาพร่างกายเช่นนี้ สักวันย่อมบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานได้เป็นแน่
“กล่าวถึงเรื่องนี้ หลานเอ๋อร์ เจ้าล่วงรู้ได้อย่างไรว่าข้าเดินทางมายังโลกมาร?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“เจ้าขอให้เฟิงเจียนเหยานำจี้หยกไปให้กับอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนแห่งโลกมาร… คนเช่นเจ้าไม่มีวันยินยอมให้ผู้ใดส่งมันออกไป ก่อนที่จะสามารถยืนยันตัวตนที่แท้จริงของข้าได้อย่างชัดเจน”
“ปีนั้นข้าไม่มีอะไรทำจึงลองศึกษาเกี่ยวกับการพยากรณ์”
เจียงหลานตอบกลับ
“แม้ว่าการพยากรณ์เรื่องที่เกี่ยวกับเจ้ามักจะล้มเหลวทุกครั้งไป ทว่าอาจเป็นเรื่องง่ายหากข้าจะสร้างสายสัมพันธ์เพื่อช่วยเหลือ เจ้าเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่สามารถแทรกแซงการพยากรณ์ของข้าได้ ดังนั้นเมื่อล้มเหลวในการช่วยเหลืออวิ๋นเฟิงทำนายอนาคตของอสูรเผ่ามารถึงรู้ว่าเจ้าคงจะอยู่ที่นั่น”
“พวกเขาทั้งสองเป็นศิษย์ของเจ้าอย่างนั้นรึ?”
“ใช่ เหยาเอ๋อร์เป็นเด็กกำพร้าที่ข้ารับนางมาอุปถัมภ์จากครั้งสุดท้ายที่ลงไปยังดินแดนเบื้องล่างเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ เมื่อไม่นานมานี้ดูเหมือนว่าบนหมู่เกาะฝูซางจะไม่มีความสงบสุขมากนัก ผู้คนต่างหันหน้าเข้าต่อสู้กัน จนผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก”
เจียงหลานตอบกลับ
“ส่วนอวิ๋นเฟิง เขามาที่นี่เพราะจุดประสงค์ที่จะแสวงหาความเป็นอมตะ ทั้งยังพบหนทางเข้าสู่มหาวิหารฝูซางด้วยตนเอง ถึงแม้จะไม่ยอมรับบุรุษเพศเป็นศิษย์ ทว่าก็ทำให้เขากลายเป็นผู้ฝึกตนฝ่ายมารที่มีชื่อเสียง ส่งต่อและถ่ายทอดทักษะของตนให้กับคนรอบข้าง”
“ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยหากข้าจะเกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับใช้กระบวนท่าฝ่ามือของเขา”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
ทักษะกระบวนท่าการต่อสู้ของเจียงหลานทั้งหมดล้วนได้รับการสั่งสอนจากชายหนุ่มหลังจากที่พลังศักดิ์สิทธิ์ของนางถูกพรากไป ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะรู้สึกคุ้นเคยเป็นพิเศษ