บทที่ 243 เจ้าคิดว่าเขาคือใคร?
บทที่ 243 เจ้าคิดว่าเขาคือใคร?
คลื่นพลังของลำแสงหายไป ใกล้กับสนามรบที่เซียนทั้งสามต่อสู้กัน มีดินแดนประกายสีแดงเข้มอันไกลโพ้นปรากฏ แม้ผู้ทรงเกียรติหลี่กับผู้ทรงเกียรติหลานจะพยายามลากเชวียหลิงออกจากสนามรบหลังจากการต่อสู้ แต่กองทัพของราชาอสูรฟ้าทมิฬยังตกที่นั่งลำบาก และทั้งหมดได้รับบาดเจ็บสาหัส
ควันและฝุ่นจางหายไป ไม่มีร่างของผู้ทรงเกียรติหลี่กับผู้ทรงเกียรติหลานอยู่ในอากาศ มีเพียงเชวียหลิงเท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่งแผ่คลื่นพลังเย็นยะเยือกออกมา ใบหน้าจ้องตรงไปด้านหน้า และมีรอยเลือดซึมออกมาที่มุมปาก
แต่เชวียหลิงยังไม่ลดเกราะการป้องกันลง ในขณะต่อมา งูขนาดใหญ่พุ่งทะยานขึ้นมาจากพื้นดิน มีรอยฟกช้ำไปทั่วร่างกายของมัน ในเวลาเดียวกันมันอ้าปากกว้างและพ่นพิษออกมา
“โฮก!”
ทันทีที่ผู้ทรงเกียรติหลี่ร่อนลงสู่พื้น เขากระอั่กเลือดจำนวนมากออกมา อีกทั้งร่างกายยังชุ่มไปด้วยโลหิต ในเวลานี้ ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายของเซียนอมตะนั้นทรงพลัง ซ้ำพลังของเขายังฟื้นฟูบาดแผลทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง ทว่าพลังเยือกเย็นของเชวียหลิงยังคงเกาะติดอยู่บนร่างกายจนไม่อาจสลัดออก
กงล้อที่หมุนเคลื่อนไปเบา ๆ ปรากฏอยู่เบื้องหลังศีรษะของเขา เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ผู้ทรงเกียรติหลี่รวบรวมพลังเซียนเพื่อรักษาบาดแผลและคงรูปลักษณ์ที่สง่างามเอาไว้ สติสัมปชัญญะในตอนนี้จดจ่ออยู่กับการรักษา เห็นได้ชัดว่าเขาไร้ซึ่งพลังที่จะต่อสู้อีกครั้ง
แต่สำหรับผู้ทรงเกียรติหลานที่อยู่อีกด้านหนึ่ง แม้ว่าจะมีบาดแผลบนร่างกายมากมาย แต่ร่างกายยังเต็มไปด้วยพลังงานและไม่ได้บาดเจ็บมากเท่าไหร่นัก
งูหลามยักษ์หดตัวและพันรอบร่างกายของเขาเอาไว้ ผู้ทรงเกียรติหลานสัมผัสมันเบา ๆ ก่อนที่บาดแผลบนร่างกายจะฟื้นฟูจนเกือบเป็นปกติ ขณะนั้นแววตาฉายชัดความดุร้ายออกมาอีกครั้ง เขาจับจ้องเชวียหลิงอย่างเดือดดาล
เห็นได้ชัดว่ายังมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะต่อสู้ได้อีกยาวนาน
เชวียหลิงมองกงล้อสีเขียวจาง ๆ ที่หมุนอย่างเชื่องช้าด้านหลังของผู้ทรงเกียรติหลี่ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกคำสั่งให้ถอนกำลัง
“ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งของข้า ถอยกลับเดี๋ยวนี้!”
กองกำลังของเชวียหลิงที่กำลังต่อสู้กับกองทัพของอสูรฟ้าทมิฬได้ยินคำสั่ง พวกเขาละทิ้งศัตรูโดยไม่ลังเล และถอยกลับทันที ขณะนั้นหมอกหนาเข้าปกคลุมพวกเขาเอาไว้และกลืนกินร่างกายของทุกคนจนหายไปหมดสิ้น
อสูรที่ยังคงโกรธแค้นวิ่งไล่ตรงเข้าไปในม่านหมอก ทว่ากลับไม่พบสิ่งใด พวกมันไร้ซึ่งความสามารถจะติดตาม เช่นนี้จึงทำได้เพียงคำรามร้องเพื่อระบายความโกรธ
ในเวลานี้ กองทัพของราชาอสูรหยกวิเศษที่อยู่อีกด้านหนึ่งได้เข้ามาใกล้กองทัพของราชาอสูรฟ้าทมิฬแล้ว ภายใต้ฝุ่นควัน ราชาอสูรฟ้าทมิฬมองเห็นสหายร่วมเผ่าพันธุ์ของตนอย่างชัดเจน ทุกคนล้วนมีดวงตาแดงฉาน ร่างกายเต็มไปด้วยโลหิต อีกทั้งยังหายใจกระหืดกระหอบด้วยความตื่นเต้นจนกลายเป็นไอสีขาวจาง ๆ พ่นออกมาจากจมูก
อสูรร่างใหญ่ที่เป็นผู้นำในการจู่โจมคราวนี้มีสองเศียร แปดแขนและกล้ามเนื้อเป็นสีเงิน ร่างกายยิ่งใหญ่ราวกับภูเขาที่กำลังเคลื่อนที่ ใช่แล้ว เขาคือศัตรูเก่าของราชาอสูรฟ้าทมิฬ… เป็นราชาอสูรหยกวิเศษ!
“ฮ่า ๆ เจ้าฟ้าทมิฬ!”
ราชาอสูรหยกวิเศษยิ้มพร้อมกับกล่าวทักทาย
“ข้าพาพี่ใหญ่ของข้ามาเล่นกับเจ้า!”
“เจ้าหยกวิเศษ! ไอ้สารเลว คำพูดคนเช่นเจ้าไม่อาจเชื่อถือได้!”
ราชาอสูรฟ้าทมิฬโกรธจัด
“แล้วคำสาบานที่เจ้ากล่าวไว้ด้วยศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์อสูรเล่า? เจ้ากลืนกินมันเข้าไปหมดแล้วหรือ? ไอ้สมองหมู!”
“แน่นอนว่าจำได้ ข้าสาบานว่าจะไม่เข้าไปยุ่งในสงครามระหว่างเจ้ากับยมโลก”
ราชาอสูรหยกวิเศษหัวเราะพร้อมกล่าวตอบ
“แต่น่าเสียดาย ตอนนี้คนที่ครอบครองอาณาจักรอสูรหยกวิเศษไม่ใช่ข้าแล้ว ฮ่า ๆๆๆ!”
“เจ้าพูดเรื่องอะไร?”
ราชาอสูรฟ้าทมิฬถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ
“ข้าบอกว่า ข้าพ่ายแพ้การท้าทาย และตอนนี้เป็นน้องชายของผู้อื่นแล้ว”
ปากของราชาอสูรหยกวิเศษเปิดออกทั้งสองฝั่ง ดวงตาทั้งสี่เผยให้เห็นแววตาแห่งความตื่นเต้นที่ปะทุุขึ้น และเขาก็มองไม่เห็นความพ่ายแพ้แม้แต่นิด ในขณะนี้ได้กล่าวเสียงดัง
“แต่ข้าโชคดีมาก หากว่าข้าไม่ได้พบกับพี่ใหญ่ ข้าคงจะไม่สามารถมีส่วนร่วมในการต่อสู้ที่สนุกสนานเช่นนี้ได้…”
เขาเร่งความเร็วพร้อมกับคว้าศีรษะอสูรทั้งหมดราวกับมดปลวก ก่อนจะทุบผ่านแนวป้องกันของกองทัพราชาอสูรฟ้าทมิฬ อสูรที่อยู่ตรงหน้าเขาเปรียบเสมือนคนแคระเมื่อเผชิญหน้ากับราชาอสูรหยกวิเศษ แขนทั้งแปดโบกสะบัดไปมา คว้าร่างอสูรไว้ก่อนจะฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยลิ่วในอากาศ
“เผชิญหน้า ซุ่มโจมตี โต้กลับ ล้อม ทำลายล้าง ฝ่าวงล้อม!”
โลหิตหลั่งไหลออกมาจากผิวหนังของเขา อสูรหยกวิเศษหัวเราะออกมาดังลั่น เผยให้เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของเหล่าอสูรและเทพเจ้า
“ความหมายในการมีชีวิตอยู่ของอสูรคือการต่อสู้!”
“เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้!”
กองกำลังอสูรตอบสนองต่อคำพูดของราชาอสูรหยกวิเศษอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาไม่คิดหยุด และทั้งหมดพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะบุกเข้าไปในกองทัพด้านหลังของราชาอสูรฟ้าทมิฬ แล้วจากนั้นจะได้ต่อสู้กับอสูรของอสูรฟ้าทมิฬจริง ๆ เสียที
โลหิตท่วมท้นผืนแผ่นดินนี้แล้ว แต่เหล่าอสูรกลับไม่เกรงกลัว พวกมันยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ และผลัดกันฉีกร่างกายของกันและกันอย่างสนุกสนาน
ด้านหลังของสนามรบ มีคนสองคนกำลังเดินตรงเข้ามาอย่างเชื่องช้า คนหนึ่งดูคล้ายจะเป็นสตรี ความสูงยังดูต่ำเตี้ยมากแม้จะอยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่สวมชุดสีม่วงที่มีลักษณะเฉพาะของเผ่าอสูร ในขณะที่อีกคนหนึ่งสวมชุดเกราะชายของอสูร ร่างกายสูงใหญ่ เรือนยาวสีขาวแผ่สยายอยู่ด้านหลัง และยังมีหน้ากากสีเงินประดับอยู่บนใบหน้า
“พวกคนบ้านี่ดูจะตื่นเต้นกันไม่น้อย”
สตรีร่างเล็กอุทานออกมา
“แม้พวกเขาจะบ้า แต่ตราบใดที่ได้รับการสอนวิธีควบคุมสัญชาตญาณ พวกเขาจะเป็นนักรบที่เก่งกาจที่สุด”
ชายร่างสูงที่สวมใส่หน้ากากยิ้มพร้อมกล่าวตอบ
“แม้แต่ทหารที่คลั่งไคล้การฝึกในกองทัพเทพยุทธ์ พวกเขายังพ่ายแพ้ในเรื่องของจิตวิญญาณการต่อสู้”
ชายสวมหน้ากากและสตรีร่างเล็กนั้นคือไป๋ชิวหรานและเจียงหลาน
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
เมื่อเห็นชายร่างสูงและสตรีตัวเล็ก ผู้ทรงเกียรติหลี่กับผู้ทรงเกียรติหลานกล่าวถามทันที
“ราชาอสูรองค์ใหม่ใช่หรือไม่?”
“พวกท่านทั้งสองคงเป็นฝาแฝดของยมโลกใช่หรือไม่?”
ชายสวมหน้ากากโค้งคำนับ
“แล้วอย่างไร?”
หลังจากที่เชวียหลิงถอนตัวออกไปแล้ว ผู้ทรงเกียรติหลี่ก็ฟื้นกำลังขึ้นมา เขายืดตัวขึ้นพร้อมกับคลื่นพลังสีดำปรากฏอยู่ด้านหลังของศีรษะ
“ข้าได้ยินมาว่าท่านทั้งสองแอบสมรู้ร่วมคิดกับสิ่งที่อยู่ในผนึกของโลกอสูร และกำลังเตรียมตัวที่จะก่อกบฏ”
ชายสวมหน้ากากกล่าวอย่างใจเย็น
“ท่านเซียนอมตะทั้งสอง ข้าไม่คิดว่าข้าต้องอธิบาย ท่านคงทราบว่าสิ่งใดอยู่ในผนึกของตราประทับนั่น และการสมรู้ร่วมคิดกับพวกเขาหมายความว่าอย่างไร”
“หึ ข้าเพียงหยอกล้อ”
ผู้ทรงเกียรติหลี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“อะไร? เจ้าเป็นแค่ราชาอสูรและต้องการสั่งสอนบทเรียนให้กับเรางั้นหรือ?”
“โดยปกติแล้ว เราทราบดีถึงการมีอยู่ของตราประทับ และทราบผลลัพธ์ของเหตุการณ์นี้ด้วย”
ผู้ทรงเกียรติหลานส่ายศีรษะพร้อมกล่าวอย่างใจเย็น
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ สัตว์ประหลาดแห่งดินแดนอสูร เราทั้งคู่ต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง”
“ข้าไม่คิดว่าเราสองคนจะร่วมมือกัน”
ไป๋ชิวหรานส่ายศีรษะพร้อมกล่าวว่า
“ข้าเกรงว่าพวกเขาจะมีความคิดเป็นของตนเองเช่นกัน”
“จะใช่หรือไม่ใช่แล้วอย่างไร? สถานการณ์ในตอนนี้ เผ่าพันธุ์อสูรเช่นพวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนเซียนอมตะเช่นพวกข้า”
ผู้ทรงเกียรติหลี่กล่าวตอบอย่างเย่อหยิ่ง
“อย่าคิดว่าเจ้าเพียงเอาชนะอสูรหยกวิเศษและกลายเป็นราชาอสูรแล้วจะเย่อหยิ่งได้ อย่างไรแล้วอสูรหยกวิเศษเป็นเพียงแค่มดปลวกในสายตาของเรา มันไร้ความหมายเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ทรงเกียรติ!”
“แล้วเจ้าคิดว่าเขาเป็นใครงั้นหรือ? ผู้ทรงเกียรติหลี่”
ในความเงียบงัน จู่ ๆ ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
ทั้งผู้ทรงเกียรติหลี่และผู้ทรงเกียรติหลานพลันตกตะลึง
เหนือท้องฟ้า มีช่องว่างเปิดออก ขณะนั้นพลังงานนับไม่ถ้วนรวบรวมอยู่ตรงรอยแยกของอากาศ
ผู้ทรงเกียรติเหล่ยเป็นหนึ่งในเซียนอมตะสามคนแห่งโลกอสูรและอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของราชานรก ราชานรกที่มีความแข็งแกร่งไปถึงขอบเขตสังสารวัฏแห่งการกลับชาติมาเกิดยืนอยู่ตรงนั้น อีกทั้งยังมีเชวียหลิงยืนเคียงข้างด้วยเช่นกัน
ทว่ากลับไม่มีใครยืนอยู่ด้านหน้าเลย ตรงด้านหน้ามีชายวัยกลางคนผมสีดำ สตรีงดงามในชุดสีแดงกับชายชราที่มีหนวดและเคราขาวยืนเคียงข้างกันอยู่ด้านหน้า
ชายชรามองลงมาที่ผู้ทรงเกียรติหลี่ก่อนจะถามอีกครั้ง
“ผู้ทรงเกียรติหลี่ เจ้าคิดว่าเขาเป็นใคร?”