ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 270 หากข้าเป็นสตรี ข้าคงจะยั่วยวนเขาแน่นอน

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 270 หากข้าเป็นสตรี ข้าคงจะยั่วยวนเขาแน่นอน

บทที่ 270 หากข้าเป็นสตรี ข้าคงจะยั่วยวนเขาแน่นอน

ทั้งหมดแบ่งกองกำลังออกเป็นสองส่วน หลังจากไป๋ชิวหรานกลับมาที่สำนักอสูรสวรรค์ ซูเซียงเสวี่ยและคนอื่น ๆ ก็ได้นำศิษย์ของพวกเขาตามหลังกองทัพจักรพรรดิเซียนไป

กองทัพจากแดนเซียนทรงพลังยิ่ง แม้จะมีเพียงสามพันตน แต่ทั้งหมดอยู่ในขั้นเซียนทั้งสิ้น อีกทั้งยังเต็มไปด้วยประสบการณ์การต่อสู้หลายร้อยพันครั้ง ความแข็งแกร่งอย่างน้อยก็อยู่ในขั้นเหนือเซียน

ผู้นำเซียนอาวุโสหยางแข็งแกร่งมาก ด้วยความช่วยเหลือของสังสารวัฏแห่งการเกิดและตาย เขาจึงจุติผ่านสังสารวัฏมาอย่างน้อยแล้วห้าครั้ง คนผู้นี้โหดเหี้ยมและสาปเผ่ามารได้ เผ่ามารที่ถูกพวกเขาค้นพบระหว่างทาง ไม่มีตนใดสามารถมีชีวิตรอดจากเงื้อมมือแม้แต่ตนเดียว

เมื่อเห็นว่ากองทัพเซียนเหล่านี้โหดเหี้ยมเพียงใด ซูเซียงเสวี่ยและคนอื่น ๆ ก็ไม่มีแผนที่จะเข้าไปแทรกแซงหรือช่วยเหลือ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเซียนในโลกผู้ฝึกตน กองทัพเซียนเหล่านี้แข็งแกร่งเกินไป หากร่วมมือกับเจ้าสำนักทั้งหมดอาจจะสามารถเอาชนะทหารที่อ่อนแอที่สุดในกองทัพได้… แต่ต้องเป็นการพยายามอย่างสุดความสามารถ

จากนั้นพวกเขาจึงเดินตามกองทัพจักรพรรดิเซียนอย่างซื่อตรง และเก็บชิ้นส่วนของศพต่อไปเท่านั้น

เห็นได้ว่าเซียนอาวุโสหยางไม่ได้สนใจผู้คนในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินแม้แต่น้อย เมื่อเข้าสู่การต่อสู้ เขาได้ใช้พลังเหนือธรรมชาติอย่างไม่สนใจชีวิตและความตายของเหล่าพลเรือนรอบข้างเลยแม้แต่น้อย

บางทีเซียนหงเฉินจะวิ่งออกไปด้านหน้าเพื่อยับยั้งเซียนอาวุโสหยาง อย่างน้อยก่อนที่จะโจมตีเมือง เขาจะให้เวลาผู้ฝึกตนหาทางอพยพพลเรือนภายในเมืองนั้นก่อน

วิธีนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือช่วยเพิ่มความเร็วในการโจมตีของเซียนอาวุโสหยางได้มาก ภายในไม่ถึงครึ่งเดือน ซูเซียงเสวี่ยและคนอื่น ๆ ก็ติดตามเซียนอาวุโสหยางจนมาถึงเมืองอวิ๋นโจว ซึ่งเป็นที่ตั้งหลักของสำนัก…

หลังจากการต่อสู้ผ่านไปสามวัน เซียนอาวุโสหยางก็สามารถฆ่าอสูรผู้ทรงเกียรติได้ จากนั้นเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่นำกองทัพเซียนของตนไปทางทิศตะวันตก และมุ่งหน้าออกไปทันที โดยไม่คิดพูดกล่าวกับผู้ฝึกตนด้านหลัง

เหล่าผู้ฝึกตนที่เหลือรอดของกองทัพเทพยุทธ์ติดตามกองทัพเซียนไป เพราะที่ตั้งสำนักของพวกเขาอยู่บนเขตแดนของทางทิศตะวันตก

ในสงครามครั้งนี้ กองทัพเทพยุทธ์รับผิดชอบในการปกป้องเขตแดนทางทิศตะวันตก พวกเขาคือสำนักที่เผชิญหน้ากับความสูญเสียร้ายแรงที่สุดในกลุ่มของสำนักหลัก

ผู้คนในสำนักส่วนใหญ่ถูกฆ่าตาย เหล่าผู้อาวุโสของสำนักครึ่งหนึ่งถูกสังหาร ไม่ก็บาดเจ็บสาหัส แม้แต่จ้าวเทียนจ้งที่เป็นเจ้าสำนักยังหายตัวไประหว่างการต่อสู้!

ผู้ฝึกตนที่เหลืออยู่ของกองทัพเทพยุทธ์นำโดยผู้บังคับบัญชาสองกองร้อย พวกเขาหวังว่าจะสามารถฟื้นคืนค่ายทหารได้ด้วยความช่วยเหลือของเซียน และหวังว่าจะได้ทราบข่าวการหายตัวไปของเจ้าสำนัก

สำหรับซูเซียงเสวี่ย และเหล่าศิษย์จากสำนักเหอฮวน พวกเขาต้องอยู่ในอวิ๋นโจวเพื่อสร้างสำนักเหอฮวนขึ้นมาใหม่ ในกลุ่มของนางยังมีผู้ฝึกตนจากหอหยกแห่งเซียนตูร่วมด้วย

บัดนี้ไม่มีใครสนใจว่าตนเองพร่ำสนใจในเรื่องธรรมหรือมารแล้ว ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เคร่งเครียด พวกเขาทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างแผ่นดินของตนเองขึ้นมาใหม่

“แต่จะว่าไปแล้ว”

กงปานเจวี่ยเจ้าของหอหยกแห่งเซียนตูถอนหายใจกับซูเซียงเสวี่ยในช่วงพักผ่อน

“กู่โจวไม่มีเผ่ามารแม้แต่ตัวเดียว เห็นได้ชัดว่าเผ่ามารทั้งหมดอยู่ในเมืองชิวโจว เมืองนี้ช่วยเหลือผู้คนไว้มากจริง ๆ”

“เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าได้คิดมากเลย”

เจ้าสำนักเหอฮวนกำลังนับความเสียหายที่เหล่าศิษย์ได้เผชิญหันหน้ากลับมาตอบโดยไม่ต้องคิด

“เมื่อพวกเราจากไป แม้แต่จักรพรรดิแห่งซ่างเสวียนก็ยังถูกแต่งตั้งขึ้น จะเป็นผู้ใดได้อีกนอกจากชิวหราน?”

“ชิวหราน ชิวหราน… เพียงสองคำนี้ สำนักเหอฮวนอาจจะยืนหยัดอยู่ได้นานเป็นหมื่น ๆ ปี”

กงปานเจวี่ยเอามือป้องปากของตัวเองด้วยความอิจฉา

“ประมุขซู แม้ว่าเจ้าจะสังหารผู้คน หรือจุดไฟเผาอนาคต แต่เจ้าจะเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดของหอหยกเซียนตู”

“ท่านเป็นเจ้าสำนักในเส้นทางธรรม เหมาะสมแล้วหรือที่จะกล่าวเช่นนี้กับอสูรสาวเช่นข้า?”

ซูเซียงเสวี่ยมอบรายการความเสียหายให้กับศิษย์ที่อยู่ด้านหลัง แล้วรับเอกสารอื่นมาแทนที่

“สำหรับเรื่องการค้าแล้ว ข้าคือนักการค้าตัวโยง”

กงปานเจวี่ยเล่นกับบ้องแกะสลักในมือก่อนจะมองใบหน้าที่งดงามของซูเซียงเสวี่ย

“หากข้างดงามเช่นเจ้า ข้าจะยั่วยวนชายชราผู้นั้นอย่างแน่นอน”

ซูเซียงเสวี่ยยิ้มเยาะ ทว่าไม่ได้ตอบอะไร

ในฐานะสหาย แน่นอนว่านางทราบถึงนิสัยของไป๋ชิวหรานเป็นอย่างดี เขาดูเหมือนจะไม่ฉลาดทางอารมณ์ แต่ความจริงแล้วมีสัญชาตญาณที่เฉียบแหลมยิ่ง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาหาด้วยจุดประสงค์ดีหรือร้าย เขาก็จะสัมผัสมันได้

แต่ซูเซียงเสวี่ยไม่คิดบอกกล่าวเรื่องนี้กับกงปานเจวี่ย แม้นางจะเป็นคนเก็บความลับได้ แต่ก็มีศิษย์ที่งดงามมากมายในหอหยกแห่งเซียนตู

ในหมู่พวกนางล้วนแต่เป็นสตรีที่งดงาม แต่หากนำมาเปรียบเทียบกับซูเซียงเสวี่ย หญิงงามเหล่านั้นยังขาดเสน่ห์อยู่มาก

นางไม่มีเวลามากพอที่จะบอกกล่าวกงปานเจวี่ยเพื่อเพิ่มคู่แข่งให้กับตนเอง

หลังจากได้รับทราบสถานการณ์ทั้งหมดจากหลีจิ่นเหยาแล้ว ไป๋ชิวหรานก็ตรงไปที่อวิ๋นโจวเพื่อเข้าสู่สำนักเหอฮวน

หลีจิ่นเหยากลายเป็นเด็กตัวน้อยที่อยากจะวิ่งตามไป แต่กลับถูกไป๋ชิวหรานบังคับให้อยู่ที่สำนักอสูรสวรรค์เพื่อทำหน้าที่ผู้อาวุโสประจำสำนัก

เป็นเพราะสตรีผู้นี้เข้าสู่ขั้นมหายานแล้ว จึงไม่มีใครในสำนักสามารถควบคุมได้อีกต่อไป ทั้งหวงฝู่เฟิง หรือจี้หลิงอวิ๋นยังต้องพ่ายแพ้ต่อนาง แม้แต่ศิษย์ที่แข็งแกร่งก็ยังไม่สามารถต่อต้านได้

หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ไป๋ชิวหรานก็วิ่งออกจากสำนักอสูรสวรรค์ในเป่ยหมิงไปยังอวิ๋นโจวที่อยู่ใจกลางเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ขณะนี้เขามาถึงด้านนอกของสำนักเหอฮวนแล้ว

สำนักเหอฮวนที่เคยรุ่งเรือง บัดนี้กลายเป็นซากปรักหักพังหลังจากเผชิญหน้ากับการโจมตีของเผ่ามาร

หอประโคมแดงที่เคยมีเสียงเพลงขับกล่อมในเมืองทุกคนกลายเป็นเงียบเหงา ประตู หน้าต่างทุกบานถูกปิดสนิท และไม่มีมนุษย์เดินอยู่ตามท้องถนนเลย ผู้ฝึกตนทั้งหมดจากสำนักเหอฮวนและหอหยกแห่งเซียนตูวิ่งขึ้นบน ลงล่าง ใต้ดิน หลังคา เพื่อซ่อมแซมทุกสิ่งที่เสียหาย

ไป๋ชิวหรานสำรวจเมืองโดยรอบ เขาพบซูเซียงเสวี่ยที่กำลังยุ่งอยู่กับงานตนเอง ชายหนุ่มไม่คิดรักษาความสุภาพ ชายผู้นี้ร่อนลงจากอากาศหยุดยืนอยู่ตรงหน้าสตรี

“มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่?”

เขากล่าวคำ

ซูเซียงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ นางเหลือบมองไป๋ชิวหรานก่อนจะก้มศีรษะลงอีกครั้ง

“เป็นท่านนั่นเอง”

นางไม่คิดเกรงใจเช่นกัน จากนั้นจึงรวบรวมเอกสารในมือยื่นให้เขา

“ท่านเคยจัดการสิ่งนี้หรือไม่?”

“ข้าเรียนรู้ที่จะจัดการกับสิ่งเหล่านี้มานานกว่ายี่สิบปีในยมโลก…”

ชายหนุ่มพึมพำขณะรับเอกสารเหล่านั้นมา

“เช่นนั้นจึงให้มันเป็นหน้าที่ของท่าน”

ซูเซียงเสวี่ยยิ้มให้กับไป๋ชิวหราน จากนั้นก็ยืนเคียงข้างกันท่ามกลางกองเอกสารมากมาย ทั้งสองรีบจัดการงานในส่วนของตนเอง

เหล่าศิษย์จากหอหยกแห่งเซียนตู และศิษย์จากสำนักเหอฮวนที่อยู่โดยรอบเห็นสิ่งนี้อย่างพร้อมเพรียง และหากไม่จำเป็นจะไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปรบกวน บางครั้งสหายบางคนที่มีตาหามีแววยังถูกคนโดยรอบหยุดยั้งเอาไว้ก่อนจะก้าวขาไปถึงที่นั่น

“อ้อ แล้ว…”

ระหว่างที่กำลังวุ่นวายกับงาน ไป๋ชิวหรานคิดถามเรื่องที่เขาสงสัย

“ตอนนี้กองทัพเซียนอยู่ที่ใด?”

“มุ่งหน้าไปทางตะวันตก”

ซูเซียงเสวี่ยกล่าวตอบ

“ข้าได้ยินจากพวกเขาว่า เซียนอาวุโสหยางเหมือนจะวางแผนพากองทัพเซียนเหล่านี้ไปยังที่ซ่อนของเผ่ามารในป่าลึก… ท่านสนใจเรื่องนี้ทำไมกัน?”

“เอาน่ะ หลังจากข้าช่วยเหลือเจ้าเสร็จสิ้น ข้าคงต้องไปรับชมสักหน่อย”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้าก่อนจะกล่าวต่อ

“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าอาจจะได้พบเจอกับ ‘อดีตสหายเก่า’ ที่นั่น”

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท