บทที่ 291 เซียนอารักษ์ มอบหมวกสีเขียวให้จักรพรรดิเซียน
บทที่ 291 เซียนอารักษ์ มอบหมวกสีเขียวให้จักรพรรดิเซียน
“ชิงหมิงจื่อ? ขอข้าดูก่อน”
เซียนผู้นั้นหยิบตำราออกมาจากใต้โต๊ะ พร้อมกับพลิกดูมันสักครู่ ก่อนจะกล่าวว่า
“พบว่าเป็นผู้ที่อยู่ในอันดับหนึ่งของโลกขึ้นสู่แดนเซียนตะวันออกเมื่อสามพันสามร้อยปีก่อน… เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว การรวมกลุ่มขึ้นสู่สวรรค์เช่นพวกเจ้าหาพบได้ยากยิ่ง นับตั้งแต่การขึ้นสู่สวรรค์ของจักรพรรดิชิงตะวันออกเมื่อหลายหมื่นปีก่อน และมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในอันดับหนึ่งของโลกจะสามารถบินขึ้นมาได้”
“แล้วยามนี้เขาอยู่ที่ใด?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวถามอย่างตื่นเต้น
“เจ้าคือใคร?”
เซียนไม่ตอบคำถาม ทว่าถามเขากลับคืน
ไป๋ชิวหรานอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ แต่เขาก็ยังตอบว่า
“ข้าเป็นศิษย์ของเขา มีสิ่งใดหรือไม่?”
“หากเจ้าต้องการเป็นบรรพบุรุษเพื่อส่งต่อทักษะให้คนรุ่นต่อไป ข้าขอแนะนำว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดหากเจ้าจะตัดขาดจากเขา”
เซียนพลิกตำราในมือ พร้อมกล่าวต่อ
“วันนี้… แดนเซียนตะวันออกไม่เหมือนเช่นเคยอีกต่อไป เจ้าคือผู้ฝึกตนที่ขึ้นมาด้วยพลังกายเนื้อ และอนาคตที่สดใสกำลังรออยู่ รีบฝึกฝนให้ดี… ไม่กี่หลายร้อยปีหากพยายามอย่างเต็มที่คงจะถูกแดนเซียนกลางยอมรับได้ หากเป็นเช่นนี้มันจะดีมากกว่า อาจารย์ของเจ้ากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างวุ่นวาย ความจริงที่ข้ากลัวคือมันใกล้จะถึงจุดสูงสุดแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”
ชายหนุ่มถามอย่างเร่งรีบ
“หากเจ้าสร้างความขุ่นเคืองให้กับผู้อื่น และด้วยนิสัยของคนผู้นั้น เขาจะส่งคนมาวุ่นวายกับเจ้าไม่จบสิ้น”
เซียนส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวตอบ
“เขาผู้นี้เป็นเซียนที่เต็มไปด้วยความสามารถ เขาทะลวงผ่านอาณาจักรทะเลมานานกว่าสามพันปีแล้ว แต่น่าเสียดายที่ทะยานเข้าสู่แดนเซียนตะวันออก”
“เขาไปทำร้ายผู้ใด?”
ไป๋ชิวหรานถามต่อ
“เขาทำให้ผู้ใดไม่พอใจ?”
“จักรพรรดิชิงตะวันออก”
เซียนเงยหน้าขึ้นตอบคำถามของไป๋ชิวหราน
“สิ่งที่เขาทำคือ… เซียนอารักษ์ มอบหมวกสีเขียวให้จักรพรรดิเซียน”
ไป๋ชิวหรานถึงกับพูดไม่ออก
ในมุมมองของเขา บรรพชนกระบี่สำนักชิงหมิงเป็นผู้สง่างาม และมีจิตใจที่ดีเสมอมา ในฐานะอาวุโสที่เคารพราวกับบิดา เขาไม่คาดหวังว่าหลังจากที่บรรพชนผู้นี้มาถึงแดนเซียน นั่นทำให้จิตใจของเขาจะกลายเป็นเหลวแหลก
และเป้าหมายของตาเฒ่าผู้นั้นคือสตรีของจักรพรรดิเซียน
“อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการสวมหมวกสีเขียวให้กับจักรพรรดิชิงตะวันออกนั้นถือว่าน่าทึ่ง และเขาก็สมแล้วที่จะเป็นอาจารย์ของข้า”
ไป๋ชิวหรานส่ายศีรษะ
“ความจริงแล้ว อาจจะไม่ใช่เพียงแค่หมวก”
เซียนถอนหายใจยาว
“หลังจากที่จักรพรรดิชิงตะวันออกเข้ามาดูแลแดนเซียนตะวันออก เขาก็มีรังรักนับไม่ถ้วน และมีสตรีกว่าแปดร้อยหรือพันคนที่ฉกฉวยพวกนางมาด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่คราวนี้เป็นเพราะเขาตกหลุมรักสตรีของอาจารย์เจ้า เขามักจะตามตื๊อนางเสมอ แต่อย่างไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ คนอย่างจักรพรรดิชิงตะวันออกจะยอมแพ้ได้อย่างไร? หลังจากนั้นจึงใช้วิธีการชั่วร้ายเพื่อกำจัดอาจารย์ของเจ้า ‘ให้ศิษย์น้องตายตกไปเสีย แล้วข้าจะดูแลภรรยาของเจ้าเอง ศิษย์น้องไม่ต้องกังวล’ เรื่องมันถึงเป็นเช่นนี้…”
“เช่นนั้นข้าคงต้องไปแล้ว”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะเบา ๆ ก่อนจะถามว่า
“ศิษย์พี่ ได้โปรดเถิด บอกกล่าวกับข้าทีว่ายามนี้อาจารย์ของข้าอยู่ที่ใด”
“หืม?”
เซียนมองไป๋ชิวหรานก่อนจะถามซ้ำ
“เจ้าคิดจะไปจริงหรือ?”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
“แล้ว… เรื่องนั้น…”
แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความเสียใจ แต่เซียนผู้นั้นยังบอกกล่าวถึงที่อยู่ของเขาให้กับไป๋ชิวหราน
“ขณะนี้ ชิงหมิงจื่ออยู่ในดวงตะวันสวรรค์แห่งสวรรค์ชั้นเจ็ดของแดนเซียนตะวันออก เจ้าสามารถไปสู่ที่นั่นด้วยเรือทะยานเมฆได้ และใช้เวลาในการเดินทางประมาณหนึ่งเดือน แต่ราคาจะแพงเล็กน้อย หากไม่มีสกุลเงินของแดนเซียน เจ้าคงต้องขายอาวุธเวทของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงิน… ห้ามไปแลกเปลี่ยนสิ่งของที่ท่าเรือเด็ดขาด พวกที่ค้าขายแถวนั้นล้วนแต่อยู่ใต้อำนาจจักรพรรดิชิง พวกเขาจะคดโกง และหากต้องการจะแลกเงินจริง ๆ ให้เจ้าแลกเปลี่ยนก่อนที่จะออกจากโรงแลกเปลี่ยน”
“ขอบคุณท่านอาวุโส”
ไป๋ชิวหรานโค้งคำนับต่อเซียนผู้นั้น
“ไปกันเถิด”
หลังจากกล่าวขอบคุณ เขาหันกลับมาพูดกับหลีจิ่นเหยา และถังรั่วเวย ก่อนจะเดินเข้าประตูเมืองไปพร้อมกับสตรีทั้งสอง
“โอ้ น่าเสียดายนัก เห็นได้ชัดว่าเป็นหนุ่มสาวที่นี่เต็มไปด้วยความสามารถ”
เซียนมองตามแผ่นหลังของทั้งสามก่อนจะส่ายศีรษะ จากนั้นเขาก็ตะโกนบอกเหล่าเซียนที่เดินตามหลังมาอย่างเกียจคร้าน
“ทุกคนหยุด! เข้าแถวแล้วมาลงทะเบียนกับข้า!”
…
หลังจากผ่านประตูเมืองไป ทั้งสามก็เข้าสู่ใจกลางเมืองที่เจริญรุ่งเรือง เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นเหนือท้องฟ้าที่ลอยอยู่ในทะเลเมฆหมอก แม้แต่พื้นดินยังมีเมฆสีทองเคลือบไว้จาง ๆ ฝูงชนที่อยู่บนสถานที่แห่งนี้ล้วนแต่อยู่ในขั้นเซียนทั้งสิ้น
เมืองนี้ไม่ได้ใหญ่นัก ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ มองเห็นจุดสิ้นสุดของเมืองได้ในพริบตา ตรงท้ายเมืองมีองครักษ์เซียนยืนเรียงรายกันสองแถว สายตากับท่าทางล้วนมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว แต่น่าประหลาดไม่น้อยที่ทั้งสองแถวนี้ กองกำลังเซียนไม่ได้ยืนอยู่ด้วยกัน แต่กลับยืนตรงข้ามกันและกันราวกับว่ากำลังปกป้องเขตแดนของตนเอง!
กองทัพเซียนที่อยู่ฝั่งเมืองนี้สวมชุดเกราะสีขาวพิสุทธิ์ ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามสวมชุดเกราะสีน้ำเงิน ทั้งอาวุธและเครื่องแต่งกายของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกัน
“นั่นคือกองทัพของแดนเซียนตะวันออก และแดนเซียนกลาง พวกเขากำลังปกป้องเขตแดนจากกันและกันงั้นหรือ?”
หลีจิ่นเหยาและคนอื่นเห็นสถานการณ์ที่ท้ายเมืองด้วยเช่นกัน
หากว่านางไม่วุ่นวายกับไป๋ชิวหรานมากเกินไป ทั้งจิตใจและดวงตาของสตรีผู้นี้ค่อนข้างเฉียบแหลมไม่น้อย
“ต้องจริงจังเพียงนั้นเชียวหรือ?”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
ขั้นแรก ตามกฏของแดนเซียน การเข้าสู่เมืองและการลงทะเบียนต่าง ๆ จะเป็นสิ่งที่เซียนของแดนเซียนกลางจะต้องรับผิดชอบโดยตรง แต่ในยามนี้แดนเซียนตะวันออกส่งกองกำลังออกมาเพื่อปิดกั้นกองกำลังจากแดนเซียนกลาง
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิชิงตะวันออกต้องการควบคุมพลเรือนที่จะเข้าสู่แดนเซียนตะวันออกเช่นกัน
“ไปหาอาจารย์กันก่อนเถิด”
ถังรั่วเวยชี้ไปที่ร้านค้าในเมืองพร้อมกล่าวว่า
“ข้าเห็นร้านหนึ่งอยู่ตรงนั้นเป็นสถานที่แลกโอสถอายุวัฒนะเป็นเงิน”
สกุลเงินของแดนเซียนแตกต่างจากศิลาวิญญาณที่ใช้แลกเปลี่ยนในโลกผู้ฝึกตน มันถูกออกแบบโดยจักรพรรดิเซียนองค์แรก มันมีลักษณะเป็นเหรียญกลมขนาดเล็กที่ผลิตจากแร่ชนิดหนึ่งในแดนเซียนกลาง เหรียญกลมเล็กนี้เป็นสกุลเงินเดียวที่สามารถใช้ได้ตามกฏของแดนเซียน
มันไม่มีคุณสมบัติพิเศษใด และมีค่าแตกต่างกันในแต่ละเหรียญ มันคือสัญลักษณ์แสดงถึงคุณค่าในตัวมัน ในแดนเซียน ผู้คนจะต้องใช้มันเพื่อซื้อและขายสินค้า ดังนั้นจึงไม่อาจทำการแลกเปลี่ยนได้หากไม่มีสิ่งนี้
ทั้งสามตรงไปที่นั่น ไป๋ชิวหรานใช้แร่ที่เหลืออยู่ในถุงเก็บของของหลีจิ่นเหยาขัดเกลาให้เป็นกระบี่บินสองเล่ม จากนั้นจึงไปที่ร้านแลกเปลี่ยนเพื่อหาเงินทุนที่จะใช้เดินทางต่อ
หลังเดินออกจากร้าน เจ้าของร้านอยู่ในแคว้นโฮ่วถูยังตักเตือนพวกเขาเป็นพิเศษถึงความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น เพราะในแดนเซียนตะวันออกยามนี้เต็มไปด้วยความโกลาหลมากมาย
หลังจากแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งสามเดินเล่นรอบเมืองอีกครา หลังจากที่รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดให้ซื้ออีกแล้ว พวกเขาจึงตรงไปที่ทางออกอีกด้านหนึ่งและเข้าสู่การลงทะเบียนเพื่อเข้าสู่แดนเซียนตะวันออก
หลังออกจากเมืองมา และข้ามฟากมายังสถานที่ที่มีองครักษ์เกราะสีน้ำเงินคุ้มกัน ไป๋ชิวหรานกับสตรีทั้งสองรู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบเริ่มเปลี่ยนแปลงไป
หากจะให้อธิบายถึงความรู้สึกนี้ คำว่า ‘ความกดดันที่น่าวิตก’ อาจจะเหมาะสมที่สุด
ว่ากันว่าภายในพื้นที่แดนเซียนกลางอีกฟากหนึ่งของเมือง เหล่าเซียนยังมีความรู้สึกของมนุษย์บ้างเล็กน้อยในการทำการค้าของตนเอง แต่ว่าที่นี่ไร้ซึ่งการค้าใด คนทั้งหมดล้วนเป็นมนุษย์
หลังเดินออกจากเมืองไปยังชานชาลาเรือทะยานเมฆซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยลี้ ไป๋ชิวหรานกับสตรีทั้งสองก็ถูกองครักษ์เซียนกล่าวถามไถ่ถึงสามครั้งขณะเดินบนถนน
อย่างไรก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงกับปัญหาที่จะตามมา ไป๋ชิวหราน และสตรีทั้งสองมอบเงินให้กับพวกเขา หลังจากเดินผ่านไปสามด่าน พวกเขาก็สูญเสียเงินไปเกือบครึ่ง ทว่าในที่สุดทั้งสามก็สามารถขึ้นเรือทะยานเมฆไปยังแผ่นดินใหญ่ของแดนเซียนตะวันออกได้…