บทที่ 308 จักรพรรดิคุ้มกันประตูด้วยร่างไร้วิญญาณ
บทที่ 308 จักรพรรดิคุ้มกันประตูด้วยร่างไร้วิญญาณ
ไป๋ชิวหรานยืนอยู่หน้าบัลลังก์จักรพรรดิ จ้องมองศิษย์ของตนในความเงียบงัน
หลังจากเฝ้ามองครู่หนึ่ง เขาก็ก้าวขาไปด้านหน้า เท้าของเขาก้าวข้ามบันไดและก้าวขึ้นไปบนแท่นนั้น
ขณะนี้ นิ้วของไป๋ลี่ที่วางไว้บนพนักเก้าอี้บัลลังก์ขยับเล็กน้อย
“โฮก!”
เขาเปิดเปลือกตา ในขณะที่ม่านตาปลดปล่อยลำแสงสีทองเปล่งประกาย เสียงคำรามที่ไม่คล้ายกับเสียงมนุษย์เปล่งออกจากลำคอ เขาพุ่งเข้าหาไป๋ชิวหรานราวสัตว์ร้าย!
ทันทีที่เขาลุกขึ้น ลำแสงสีทองบนบัลลังก์กลายเป็นเชือกเพลิงขนาดใหญ่พยายามฉุดรั้งศพของจักรพรรดิ แต่พลังของจักรพรรดินั้นกลับมีมากกว่า มันถูกยืดออกในทันที หลังจากตรวนไฟนั้นมาถึงร่างกายของไป๋ชิวหราน มันก็พยายามที่จะโจมตี
“ท่านอาจารย์ ระวัง!”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ สามมหาอำนาจระดับจักรพรรดิเซียนปรากฏตัว จักรพรรดิเซียนกลาง จักรพรรดินีเหลียน และเซียนหงเฉินต่างก็พร้อมที่จะปราบปรามเขา แต่พลังเซียนในร่างกายมีเพียงครึ่งเดียว ทำให้พลังถูกปิดกั้นเอาไว้ครึ่งหนึ่ง
เพราะไป๋ชิวหรานบีบลำคอของศพจักรพรรดิไป๋ลี่ด้วยมือหนึ่งข้าง และยกร่างนั้นขึ้นจากบัลลังก์ที่นั่ง
“ข้าไม่เป็นไร”
เขาโบกมือให้จักรพรรดิเซียนกลางและคนอื่น ๆ ด้วยมืออีกข้าง จากนั้นมองไป๋ลี่ที่ถูกยกร่างขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งแล้วกล่าวว่า
“หลายปีที่ผ่านมา เจ้าพัฒนาไปมาก แต่เจ้าหนู… อาจารย์ของเจ้า ก็ยังคงเป็นอาจารย์ของเจ้าเช่นเคย”
เขายกไป๋ลี่ไว้เช่นนี้ก่อนจะก้าวเดินต่อไป แล้ววางร่างนี้ไว้บนบัลลังก์ตรวนทองคำ ตรวนทั้งหมดกลับมารัดพันร่างกายของเขาอีกครั้ง ตรวนแสงจำนวนมากทะลวงเข้าสู่ร่างกายของเขา ปิดกั้นจุดจื่อฝู สุดท้ายไป๋ลี่ที่ดิ้นรนก็ค่อย ๆ สงบลงอีกครั้ง
ไป๋ชิวหรานมองดูเขาที่เพิ่งสงบลง พร้อมถอนหายใจหนัก
“ท่านอาจารย์อย่าได้โศกเศร้า”
จักรพรรดิเซียนกลางกล่าว
“นี่คือเส้นทางที่อาจารย์เลือกแล้ว และจิตวิญญาณของเขาอยู่ที่กำแพงแห่งความตระหนักรู้ เพียงคำพูดของท่านคงไม่อาจช่วยเหลือเขาได้”
“ข้าไม่มีสิ่งใดให้โศกเศร้า จักรพรรดิคุ้มกันโลกใบนี้ และสักวันราชาก็ต้องสิ้นพระชนม์ เป็นเพราะเขาเลือกเส้นทางนี้ มันไม่ใช่จุดจบที่ข้าคาดหวังไว้”
ไป๋ชิวหรานส่ายศีรษะ
“มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเล็กน้อยที่ผุดขึ้นมาในความคิด สิ่งนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความแตกต่างของความเป็นมนุษย์… หากพวกเจ้ามีสิ่งใดต้องทำ ก็ไปทำเสียเถิด… ไม่ต้องห่วงข้า”
เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานเดินไปที่นั่นพร้อมมือไพล่หลัง จักรพรรดินีเหลียนก็เรียกหาหมอเซียนที่มาด้วยกันให้นำเครื่องมือและโอสถรักษาต่าง ๆ ออกมาจัดการกับร่างกายของไป๋ลี่
และจักรพรรดิเซียนกลาง เล่อเฉินเทียนก็เดินตามหลังไป๋ชิวหรานอย่างเงียบ ๆ
“ข้าอยากไปรับชมกำแพงแห่งความตระหนักรู้”
จู่ ๆ ชายหนุ่มก็กล่าวขึ้น
“ข้ารอคำสั่งของท่านอาจารย์อยู่”
จักรพรรดิเซียนกลางโค้งคำนับพร้อมกล่าวด้วยความกระตือรือร้น
“ได้โปรดเถิด ท่านอาจารย์ ข้านำเรือหุ้มเกราะเหล็กมาก็เพื่อสิ่งนี้”
จักรพรรดิเซียนกลางกล่าวกับจักรพรรดินีเหลียนและเซียนหงเฉินสองสามคำ จากนั้นจึงนำไป๋ชิวหรานออกจากเมืองสงครามแล้วขึ้นเรือหุ้มเกราะเหล็กไปนอกเมืองอีกครั้ง
เรือหุ้มเกราะเหล็กเปิดใบเรือออก อักขระรูนหมุนรอบตัวเรือเกิดเป็นเปลวไฟวงกว้าง ในเวลาเดียวกัน อักขระรูนที่เหลือพุ่งออกจากประตูมิติขนาดใหญ่ หมุนเป็นเกลียวในความมืดมิดตรงหน้า!
อาศัยแรงขับเคลื่อนทรงพลังจากอักขระลึกลับ เรือก็ค่อย ๆ เคลื่อนที่ออกจากท่าเรือ แล้วพุ่งเข้าสู่รอยแตกบนห้วงมิติที่กำลังหมุนอย่างบ้าคลั่ง
เรือที่ไป๋ชิวหรานใช้เดินทางผ่านอุโมงค์อวกาศที่เต็มไปด้วยคลื่นพลังแปลกประหลาดมากมาย ก่อนที่มันจะหยุดนิ่งในห้วงกระแสความว่างเปล่า
ไป๋ชิวหรานมองสำรวจโดยรอบ สภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยจักรวาลมากมายนับไม่ถ้วน ในสถานที่ห่างไกล แดนเซียนทั้งห้ากลายเป็นก้อนหินเล็กจิ๋วมองเห็นได้เพียงลาง ๆ เท่านั้น วิถีแห่งสวรรค์มากมายทำให้ดวงดาราทั้งหมดเชื่อมต่อกัน โลกเหล่านี้เชื่อมต่อกับโลกเซียนทั้งห้าด้วยวิถีแห่งสวรรค์
ด้านล่างของเรือหุ้มเกราะมีแม่น้ำพลังกว้างใหญ่ไร้ที่เปรียบ มันยังคงเคลื่อนไหวต่อไปจนลับสายตา สายธารพลังงานเปรียบกับลำแสงในแวบแรก แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วจะพบว่ามันคือกระแสพายุในห้วงแห่งความว่างเปล่าที่รุนแรง ทั้งหมดหลอมรวมเป็นเส้นเดียวและพุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกัน เรือหุ้มเกราะใช้พลังงานนี้เพื่อขับเคลื่อน ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ จึงสามารถเดินทางในห้วงอวกาศนี้ได้อย่างรวดเร็ว
“นี่คือสายธารแห่งความว่างเปล่า”
จักรพรรดิเซียนกลางกล่าวกับไป๋ชิวหราน
“หากบังเอิญพลัดตกลงไปในนั้น แม้แต่จักรพรรดิเซียนผู้ทรงพลังในขั้นเหนือเซียนก็ยังสามารถถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ และตายตกอย่างไร้สุ้มเสียง กำแพงแห่งความตระหนักรู้ที่เรากำลังจะไปนั้นอยู่ที่ปลายทางของสายธารแห่งความว่างเปล่า”
เรือหุ้มเกราะใช้ประโยชน์จากสายธารแห่งความว่างเปล่าเพื่อขับเคลื่อน ในระหว่างนี้ไป๋ชิวหรานได้กล่าวถามจักรพรรดิเซียนกลาง
“รุ่นของเจ้ามีกี่คนหรือ ลองบอกกล่าวกับข้า ข้าไม่ค่อยทราบศิษย์รุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าเลย และข้าสนใจเรื่องนี้”
“กล่าวรายงานท่านอาจารย์ อาจารย์มีศิษย์ทั้งหมดสิบเอ็ดคน แต่ในรุ่นของข้าเหลือเพียงตัวข้าและโม่เฉินเท่านั้น”
จักรพรรดิเซียนกลางกล่าวตอบ
“ยกเว้นศิษย์พี่ใหญ่ ข้าและโม่เฉินคือศิษย์ที่เหลืออยู่ของอาจารย์”
“พวกเขาทั้งหมดตายตกในสนามรบหรือ?”
ไป๋ชิวหรานถาม
“ถูกต้องแล้ว พี่น้องคนที่สี่ ห้า หก และเจ็ดตายตกในการต่อสู้เพื่อปกป้องแดนเซียน ในขณะที่พี่น้องคนที่แปด เก้า สิบและน้องสาวตัวน้อยของเราตายตกในความวุ่นวายที่เกิดจากเหล่าอาจารย์อสูร”
จักรพรรดิเซียนกลางส่ายศีรษะด้วยความโศกเศร้า
“เหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์ของอาจารย์และปรมาจารย์ อาจารย์ไร้ซึ่งทายาท ดังนั้นตำแหน่งของจักรพรรดิเซียนกลางจึงตกทอดมาสู่ข้า”
“อย่าได้ท้อแท้ เจ้าไม่ได้ตัดศีรษะของจักรพรรดิเซียนกลางและวางประดับหน้าหอคอยจักรพรรดิ มันไม่ใช่เรื่องที่ดีที่สุด แต่อย่างไรแล้วเจ้าก็ยังทำได้ดี”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“อย่างน้อยอิทธิพลของแดนเซียนกลาง เจ้าก็ไม่ได้มอบมันให้กับจักรพรรดิเซียนอื่น ๆ”
“ศิษย์รู้สึกละอายใจนัก”
จักรพรรดิเซียนกลางตอบเสียงต่ำ
…
หลังจากนั่งเรือมาสักพักใหญ่ สิ่งกีดขวางขนาดใหญ่โปร่งแสงก็ปรากฏขึ้นด้านหน้าของเรือ ทิวทัศน์ด้านหลังสิ่งกีดขวางนั้นบิดเบี้ยวมองไม่ชัดเจนนัก และสิ่งกีดขวางนี้ตัดผ่านสายธารแห่งความว่างเปล่า และขยายใหญ่ไปในทุกทิศทาง!
“นี่คือกำแพงแห่งความตระหนักรู้?”
ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“ถูกต้องแล้ว มันคือกำแพงแห่งความตระหนักรู้”
จักรพรรดิเซียนกลางพยักหน้ารับ
ในเวลานี้ จื้อเซียนที่แสร้งตายมาเนิ่นนาน อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
“เร็วเข้าสิ มันคือสิ่งใด? ข้าก็อยากรับชมด้วย!”
จักรพรรดิเซียนกลางเหลือบมองจื้อเซียน แต่สีหน้าของเขายังเรียบเฉยและไม่ประหลาดใจ ในฐานะจักรพรรดิเซียนกลาง เขาผ่านการต่อสู้มากมายนับร้อยนับพันครั้ง และพบเห็นเรื่องประหลาดมากมายแล้ว เขาจึงทราบถึงเวทคาถาที่เกี่ยวข้องกับวิถีแห่งสวรรค์เป็นอย่างดี
ไป๋ชิวหรานหยิบจื้อเซียนออกมาก่อนจะยื่นร่างของเขาไปทางกำแพงโปร่งใสตรงหน้า
“ด้วยภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ของเจ้า เห็นหรือไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร?”
ไป๋ชิวหรานถาม
“ข้ามองไม่เห็น! ในโลกนี้บางสิ่งก็ไม่อาจวิเคราะห์ผ่านภูมปัญญาอันยิ่งใหญ่ได้!”
ทว่าน้ำเสียงของจื้อเซียนกลับตื่นเต้น
“ใช่ ทั้งหมดที่ข้าทราบ สวรรค์ย่อมทราบ แต่สวรรค์กลับไม่ทราบว่ากำแพงโปร่งใสนี้คือสิ่งใด เรื่องนี้มัน… วิเศษเกินไปแล้ว!”