ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 343 แผ่นเหล็กยาว

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 343 แผ่นเหล็กยาว?

บทที่ 343 แผ่นเหล็กยาว?

“ยึดฐานทัพของมันแล้วควบคุมอาจารย์อสูร?”

“ถูกต้องแล้ว ยึดฐานมันเสีย”

จื้อเซียนกล่าวอธิบายเสริม

“แม้จะเป็นการควบแน่นของจิตสำนึกบริสุทธิ์ แต่การสั่งสอนอาจารย์อสูรยังต้องแบ่งร่างกายที่ประกอบด้วยพลังวิญญาณกับจิตสำนึกเรียบง่าย ข้าเคยอ่านพบในตำราของแดนเซียนกลางมาก่อน ในนั้นบอกวิธีการใช้จิตสำนึกเพื่อบุกรุกและแทรกซึมเข้าสู่ผู้อื่น หลังจากใช้วิธีนี้แล้ว คนที่ถูกพรากออกจากบ้านจะไม่เพียงแค่เปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณแห่งปฐมภูมิ แต่จิตใจยังถูกช่วงชิงไปด้วย มันคือสิ่งที่กระทำได้ยากและอันตรายอย่างยิ่งเช่นกัน ท้ายที่สุดมันจึงมีความเสี่ยงที่จะทำลายวิถีสวรรค์ อีกทั้งยังเสี่ยงที่จะถูกลงโทษจากเหล่าทวยเทพ นอกจากนี้ ความคิดที่ว่าบุกรุกเข้าไปแล้วจะไม่มีวันหวนกลับนั้นสำหรับเจ้าไม่มีปัญหาใด เพราะประการแรก เจ้าไม่เกรงกลัวการลงทัณฑ์จากสวรรค์ ส่วนอีกประการหนึ่งคือ เป้าหมายของเจ้าคือการสังหารอสูรที่เกิดจากความปรารถนาอันต่ำต้อย”

“อาจจะเป็นไปได้…”

ไป๋ชิวหรานครุ่นคิด

“จื้อเซียน เช่นนั้นสั่งสอนวิชาการบุกรุกจิตใจให้แก่ข้า”

ไป๋ชิวหรานถอนสัมผัสเทวะกลับมาพร้อมกับแยกขอบเขตของจิตสำนึกโดยรอบ อสูรสตรีสองตนที่คล้ายคลึงกับซูเซียงเสวี่ยทรุดตัวลงสลายหายไปราวกับก้อนเมฆ จากนั้นทั้งสองได้ออกจากโลกใบนี้ชั่วคราว ก่อนจะปิดกั้นทางเข้าทั้งหมดไว้ด้วยสัมผัสเทวะ

เมื่อเห็นว่าไป๋ชิวหรานกลับออกมา เหล่าเซียนที่รออยู่ด้านนอกก็พากันลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

ไม่เพียงแต่จักรพรรดิภูตผีเท่านั้นที่พวกเขาเคารพ แต่การดำรงอยู่ของอีกฝ่ายคือปัจจัยสำคัญในการรักษาสังสารวัฏแห่งการเกิดและตายของโลกและสวรรค์

“วันนี้เราจะออกจากที่นี่กันก่อน ทิ้งใครสักคนไว้เพื่อจัดเวรยาม จดจำไว้ว่าอย่าให้สิ่งมีชีวิตมาเกิดในโลกใบนี้เด็ดขาด หากมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น… พวกเจ้าต้องหาวิธีจัดการส่งข่าวแก่ข้า พวกเราไม่อาจปล่อยให้ปัจจัยอื่น ๆ ส่งผลต่อเขตแดนจิตสำนึกภายในโลกใบนี้ได้”

ไป๋ชิวหรานกล่าวกับพวกเขา

“ข้ามีความคิดอื่นเพิ่มเติมและต้องกลับไปฝึกฝน”

“ทราบแล้ว”

เหล่าเซียนกล่าวตอบ

ไป๋ชิวหรานไม่คิดกังวล เหล่าเซียนทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นชนชั้นสูงของแดนเซียนกลาง หลังจากไป๋ชิวหรานแนะนำพวกเขาเสร็จสิ้น ทั้งหมดก็นำเครื่องมือทุกชนิดออกมา และเริ่มตั้งจุดตรวจสอบบนพื้นที่ว่างเปล่า มีหอสังเกตการณ์และจัดเวรยามเพื่อให้คอยสอดส่อง

อีกด้านหนึ่ง ไป๋ชิวหรานพาจื้อเซียนออกจากที่นี่และกลับสู่สำนักเหอฮวนในเก้าทวีปสิบแผ่นดิน

ทั้งสองออกจากสถานที่แห่งนี้นานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ในช่วงเวลานั้นจื้อเซียนพยายามสั่งสอนวิชาการบุกรุกจิตใจให้เขา

ทักษะนี้เรียนรู้ได้ยากยิ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยความแข็งแกร่ง ความเข้าใจ และพรสวรรค์ของไป๋ชิวหราน เขาจึงสามารถเรียนรู้มันได้จนสำเร็จ!

ลักษณะของการฝึกคราวนี้ค่อนข้างยากลำบาก ทั้งหมดคือสิ่งที่ผู้ใช้ต้องเข้าใจและตระหนักถึงการมีอยู่ของสิ่งลึกลับที่ถูกเรียกขานว่า ‘ความคิด’

จากแนวคิดเดิมของผู้ฝึกตน โดยปกติแล้วพวกเขาจะสามารถเชื่อมจิตวิญญาณกับวิญญาณปฐมภูมิได้ ทั้งสองอย่างนี้ต้องทำงานร่วมกันอย่างลับ ๆ ในร่างกายของคนผู้นั้น แต่สำหรับทักษะนี้จะต้องแยกวิญญาณทั้งสองที่แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งออกจากกัน

ในการฝึกฝนทักษะนี้ ผู้ฝึกจะต้องถอนจิตสำนึกออกจากร่างกายโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณ ความยากลำบากนี้เปรียบดั่งการสร้างมนุษย์ที่ไร้ซึ่งฐานการฝึกฝนให้ตระหนักถึงการมีอยู่ของจิตวิญญาณ และควบคุมให้วิญญาณนั้นออกจากร่างกายของตนเองได้

หลังจากฝึกฝนอย่างหนัก ในที่สุดไป๋ชิวหรานก็ได้เรียนรู้ทักษะนี้และใช้มันเป็นข้ออ้างในการไม่ได้พบเจียงหลานกับซูเซียงเสวี่ยกว่าหนึ่งเดือน…

เมื่อเสร็จสิ้นการฝึกฝน แน่นอนว่าเขาจะต้องทดลองเสียก่อน ซึ่งก่อนหน้านั้นไป๋ชิวหรานยังคงต้องการหาผู้พิทักษ์เคียงข้างสักสองคน

หลังจากที่จิตออกจากร่างกายแล้ว ร่างของเขาจะลอยเคว้งอยู่ในอากาศและเสี่ยงต่อการเกิดเรื่องเลวร้าย เขาไม่เกรงกลัวการถูกทุบตี แต่หากมีอสูรมายึดร่างของเขาไป ทั้งสวรรค์และโลกใบนี้คงพินาศย่อยยับเป็นแน่!

แต่จื้อเซียนไร้ซึ่งความสามารถในการต่อสู้ ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงต้องการหนึ่งหรือสองคนเพื่อมาปกป้องร่างกายของตน

จำนวนผู้พิทักษ์ไม่ควรมีมากจนเกินไป เพราะในเขตแดนจิตสำนึกนี้ ยิ่งคนมากเท่าใดก็จะยิ่งเสี่ยงให้เกิดอสูรมากขึ้นเท่านั้น ระดับพลังของอสูรเหล่านั้นขึ้นอยู่กับพลังของบุคคลที่มันดูดซับความปรารถนา ทุกสิ่งล้วนส่งผลต่อการถือกำเนิดอสูรอย่างยิ่ง เช่นนี้จึงต้องระมัดระวังให้มาก

ดังนั้นสิ่งที่ไป๋ชิวหรานต้องการคือหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น จิตใจของผู้พิทักษ์จะต้องมั่นคงเพื่อสามารถเอาชนะความแข็งแกร่งของอสูรโลหิตแห่งความเกรี้ยวกราดได้ ในขณะเดียวกัน ฐานการฝึกฝนของผู้พิทักษ์ไม่ควรสูงหรือต่ำจนเกินไป เขาจะต้องไว้วางใจทั้งสองคนนั้นและมอบหมายทุกสิ่งให้

แน่นอนว่าเจียงหลานกับซูเซียงเสวี่ยไม่ได้ถูกมองข้าม ไป๋ชิวหรานสามารถให้ทุกสิ่งกับเหล่าภรรยาได้ แต่ขั้นการฝึกฝนของเจียงหลานนั้นสูงเกินไป อีกทั้งซูเซียงเสวี่ยยังมีงานมากมายให้ต้องสะสาง และเมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกนางต่างหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการมีบุตร เช่นนี้จึงเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอสูรชั่วร้ายขั้นสูงได้

ชายหนุ่มขบคิดอย่างรอบคอบและตระหนักได้ว่าหลีจิ่นเหยากับถังรั่วเวยเหมาะสมที่จะเป็นผู้พิทักษ์!

ประการ แรกชุดเกราะของถังรั่วเวยนั้นแข็งแกร่งที่สุด และมันสามารถยืนอยู่ในแนวหน้าได้… ไม่สิ ไป๋ชิวหรานหมายถึงอะไรบางอย่าง ศิษย์ผู้นี้ได้เรียนรู้ทักษะมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา และเขาทราบดีว่าทั้งอารมณ์ การฝึกฝนของถังรั่วเวยเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมที่สุดสำหรับคนที่อยู่ในขั้นเดียวกัน ส่วนหลีจิ่นเหยาไม่จำเป็นต้องกล่าว แม้ปกติแล้วจะโดดเดี่ยว แต่ท้ายที่สุดนางคือร่างอสูรที่สามารถเผชิญหน้ากับไป๋ลี่ได้ ความแข็งแกร่งของนางไม่ได้ด้อยกว่าจักรพรรดิเซียนองค์แรกเท่าใดนัก

นอกจากนี้ หญิงสาวทั้งสองคนนี้ยังได้รับสายเลือดของเผ่ามาร และไป๋ชิวหรานก็เชื่อใจทั้งสองอย่างมาก ดังนั้น ทั้งสองคนนี้จึงเหมาะสมที่จะเป็นผู้พิทักษ์มากที่สุด

ไป๋ชิวหรานไปพบทั้งสองและบอกกล่าวเรื่องนี้กับพวกนาง แน่นอนว่าหลีจิ่นเหยาและถังรั่วเวยไม่ได้ปฏิเสธ

ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงพาพวกนางไปที่โลกแห่งความว่างเปล่าทันที

“นี่คือเขตแดนจิตสำนึก”

หลังจากเข้าสู่ห้วงแห่งจิตสำนึกแล้ว หลีจิ่นเหยากวาดสายตามองไปรอบ ๆ พร้อมกล่าวพึมพำ

“ราวกับอยู่ด้านในฟองสบู่”

“มันก็คล้ายคลึงกันจริง ๆ”

ชายหนุ่มเห็นด้วย

เนื่องจากโลกใบนี้อยู่ในความโกลาหลและไร้ซึ่งการแบ่งแยกดินแดน ลานแห่งจิตสำนึกยังคงเป็นเช่นเคย ท้องฟ้าผืนดินเต็มไปด้วยจิตสำนึกโปร่งแสงหลากสีสัน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับฟองสบู่กระทบกับแสงอาทิตย์…

ในขณะนั้นเอง ไป๋ชิวหรานเห็นถังรั่วเวยยืนอยู่ข้างเขา ชายหนุ่มก้มศีรษะลงและหันหลังให้กับหลีจิ่นเหยาโดยไม่กล่าวอะไร

“รั่วเวย”

เขาร้องเรียก

“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”

“ท่านอาจารย์”

ถังรั่วเวยเงยหน้าขึ้นพลางกะพริบตา แล้วจึงกล่าวด้วยสีหน้ายินดี

“ข้าอาจค้นพบการใช้เขตแดนจิตสำนึกที่ยอดเยี่ยมนี้”

“ใช้ทำสิ่งใด?”

จากนั้นถังรั่วเวยจึงหันกลับมาพร้อมกับเผยหน้าอกของนางต่อหน้าไป๋ชิวหรานและหลีจิ่นเหยา

เสื้อบริเวณหน้าอกของถังรั่วเวยเริ่มสั่นสะท้านราวกับปั่นป่วน มันถูกยกสูงขึ้นแทนที่จะห้อยลงกับพื้น นางต้องการเสื้อซับเพื่อรองรับมัน

หลีจิ่นเหยาเอื้อมมือไปจับพร้อมคลึงดูก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก

“นี่คือของจริง”

นางอุทานออกมา

“รั่วเวย เจ้าเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง”

ไป๋ชิวหรานเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับมันก่อนจะกล่าวขึ้น

“เดี๋ยวก่อน ในเมื่อรั่วเวยสามารถพึ่งพาเขตแดนจิตสำนึกเพื่อเสริมหน้าอกได้ เช่นนั้นสถานที่แห่งนี้ก็ต้อง…”

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท