ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 399 หากเขาพ่ายแพ้ ข้าจะยัดมันลงในถุงพริกนี้!

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 399 หากเขาพ่ายแพ้ ข้าจะยัดมันลงในถุงพริกนี้!

บทที่ 399 หากเขาพ่ายแพ้ ข้าจะยัดมันลงในถุงพริกนี้!

“โอ้! สหายเอ๋ย เหตุใดจึงคิดเห็นเช่นนั้นเล่า?”

หมอดูกล่าวถามอย่างมีวาทศิลป์

“รากฐานการฝึกฝนและวิชากระบี่ที่จินเฟิ่งหลายใช้นั้นเห็นชัดว่าไม่อาจเทียบเท่ากับปรมาจารย์ของสำนักกระบี่แปดทำนาย”

“อืม” ไป๋ชิวหรานแตะคาง ก่อนจะกล่าวตอบว่า “ประการแรก… เนื่องจากศิษย์น้องจินหล่อเหลากว่าชายชราผู้นั้น เขาจึงสมควรได้รับชัยชนะ!”

“สหายเอ๋ย ในการประลองเช่นนี้ รูปโฉมย่อมไม่เกี่ยวข้อง” ชายอ้วนที่สัตย์ซื่อหัวเราะก่อนจะกล่าวว่า “มิฉะนั้น โลกที่วุ่นวายก่อนหน้านี้ สตรีที่เป็นจ้าวแห่งวังฝางฮวาจะไม่ครองโลกแล้วหรือ?”

“ก็เพราะ… ความจริงแล้วในเวลานั้นนางขี้ขลาด หากคิดจะไต่เต้าขึ้นไปจริง ๆ นางย่อมกลายเป็นจักรพรรดินีแน่นอน”

ไป๋ชิวหรานกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“พี่ชาย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องขบขันที่จะกล่าวพล่อย ๆ ได้”

ชายอ้วนถึงกับหุบรอยยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ใครจะทราบ? หลังจากจ้าวแห่งวังฝางฮวาและสามีของนางยอมจำนน ทั้งสองก็ตกอยู่ในเงื้อมมืออันแสนมืดมน การจะให้นางออกไปสร้างสงคราม จึงเป็นเพียงเรื่องตลก”

“พูดเช่นนั้นก็ไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วในโลกนี้ ชะตากรรมของบางคนนั้นแปลกประหลาดนัก…”

คำพูดของไป๋ชิวหรานไม่ผิด บางคนในประวัติศาสตร์มีประสบการณ์มากมายที่แปลกประหลาด

ตัวอย่างเช่น หลิวซิ่ว*[1] จากราชวงศ์ฮั่นตะวันออก อย่าได้กล่าวถึงตำนานของเขาเมื่อเริ่มการฝึกฝน หากสมมติว่าเขาเผชิญหน้ากับหวังหมั่ง*[2] ตั้งแต่ตอนนั้น

ในขณะนั้นกำลังทหารทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ฝ่ายของหลิวซิ่วคือกองทัพป่าเขียวซึ่งมีจำนวนคนกว่าสองหมื่น ในขณะที่หวังหมั่งมีทหารประจำการอาวุธครบครันกว่าสี่แสนสองหมื่นนาย อีกทั้งกองทหารเสือโคร่ง เสือดาว และสัตว์เดรัจฉานอื่น ๆ อีกมาก

ตอนนั้นกองกำลังทหารของหวังหมั่งล้อมเมืองคุนหยางอย่างหนาแน่น มีชาวเมืองแปดถึงเก้าพันคนติดอยู่ในเมืองคุนหยาง ต่อมา… หลิวซิ่วนำทหารม้าสิบสามคนบุกทะลวงวงล้อมของกองกำลังหวังหมั่ง มีทหารสามถึงสี่พันคนถูกฆ่าตายจากเหตุการณ์นี้

ยิ่งไปกว่านั้น กองทหารเหล่านี้ล้วนลืมความชอบธรรมหมดสิ้นเมื่อเห็นโชคลาภ…

หวังหมั่งสามารถเอาชนะเมืองคุนหยางได้ แม้ว่าจะปล่อยมือจากกระบี่และให้กองทัพดำเนินการต่อสู้ด้วยตนเอง

แต่ไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้น มีคำบอกเล่าว่า ‘กลางคืนมีอุกกาบาตตกในค่าย กลางวันมีเมฆหนาและวิสัยทัศน์ย่ำแย่ เวลานั้นค่ายทหารแตกออกกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง’ ยามเย็นมีอุกกาบาตพุ่งเข้าใส่ค่ายของหวังหมั่งโดยตรง ตอนเช้าก็มีหมอกหนาทึบบดบังภูเขาวิสัยทัศน์กองกำลังทั้งหมด สิ่งนี้คงทำให้กองทัพของหวังหมั่งเสียขวัญและตื่นตระหนก

หลังจากนั้น หลิวซิ่วที่มักจะขี้ขลาดเริ่มคิดที่จะทดสอบความแตกหักของกองกำลังศัตรู เขาสวมชุดเกราะของทหารพราน แล้วนำกองกำลังขนาดเล็กออกไปปราบปรามกองทัพของหวังหมั่งที่มีคนมากกว่าหนึ่งพัน วันนั้นเขาสังหารศัตรูไปกว่าหลายสิบคนด้วยตัวเอง

เมื่อทหารมองดูรางน้ำอันเต็มไปด้วยซากศพ นายพลหลิวซิ่วผู้ที่คิดหนทางหนีตลอดเวลากลับกลายเป็นผู้นำที่ดุร้ายขึ้นมาราวกับกินโอสถมาผิดขนาน ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารก็เพิ่มพูนขึ้น ทั้งหมดติดตามหลิวซิ่วเพื่อโจมตีกองทัพของหวังหมั่ง ทั้งหมดวิ่งตรงเข้าไปในค่ายทหารกว่าสี่แสนนายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วสังหารศัตรูทั้งหมดในเมืองคุนหยาง

ในเวลานั้น หลิวซิ่วเป็นผู้นำกองกำลังกว่าสามพันคน และเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกแปดหรือเก้าพันคนที่ติดอยู่ในเมืองคุนหยาง ทั้งหมดยังไม่ถูกปล่อยตัวออกมาด้วยซ้ำ… แต่ไม่รู้ว่าใช้กลยุทธ์ใดกับทหารสามพันนาย พวกเขาจึงสามารถสังหารกองทัพที่ปิดล้อมเมืองได้

ตอนนั้นหวังหมั่งมีแม่ทัพสองคน คนหนึ่งนามว่าหวังซุน และอีกคนนามว่าหวังยี่ เมื่อหวังซุนเห็นหลิวซิ่วพร้อมกับทหารสามพันคนเข้ามา เขากลับประมาทและคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงขยะ

หวังซุนกลัวว่าจำนวนทหารของเขาที่มากเกินไปจะสร้างความสับสนได้ จึงออกคำสั่งล่วงหน้า และไม่อนุญาตให้ทหารออกไปสู้รบโดยพละการ จากนั้นเขาจึงนำกลุ่มกองกำลังเล็ก ๆ ออกไปต่อสู้แทน

จากนั้นหวังซุนก็ถูกหลิวซิ่วตัดศีรษะ ไม่รู้ว่าเขากินโอสถอะไรมา ผู้คนที่ถูกกักขังไว้ในเมืองก็กรูออกมาด้านนอก และตามหลิวซิ่วไปจัดการกับศัตรู คราวนี้กองกำลังทหารของหวังซุนที่ถูกสั่งให้เฝ้าค่ายทำได้เพียงมองดูอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร

เมื่อเห็นความดุร้ายเช่นนี้ หวังยี่รู้สึกว่าเขาไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป จึงใช้กองทัพสัตว์เดรัจฉานเข้าโจมตี แต่ขณะนี้ ‘พลันเกิดพายุฟ้าฝนคะนองรุนแรง กระเบื้องหลังคาทั้งหมดปลิวหายแตกหัก แม่น้ำเอ่อล้น เสือจะโบย นกจะบิน’ ความโกลาหลที่เกิดขึ้นทำให้ทุกสิ่งยิ่งย่ำแย่ ในไม่ช้าน้ำก็ท่วม และไม่รู้ว่ามีผู้คนมากมายเท่าใดที่ตายตกในสถานการณ์นี้

กองทัพหวังหมั่งมีกองกำลังกว่าสี่แสนนาย ทั้งหมดกระจัดกระจายและพยายามตะกายข้ามแม่น้ำที่เอ่อล้น ตอนนั้นมีผู้คนนับหมื่นที่จมน้ำตายและมีซากศพมากมายที่จมหายไป

ด้วยเหตุนี้ หลิวซิ่วจึงสามารถเอาชนะกองทัพชั้นสูงของหวังหมั่งทั้งสี่แสนนายได้ สถานการณ์มหัศจรรย์เช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดนัก

ไป๋ชิวหรานเชื่อในโชค… แต่นักสู้ที่อยู่ตรงหน้าทั้งสองกลับไม่คิดเช่นนั้น ชายอ้วนหัวเราะพร้อมกล่าวว่า

“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในหมู่สหายจะมีคนเชื่อในภูตผีและเทพเจ้าเหล่านั้นเช่นเดียวกับหมอดูผู้นี้ แต่ข้าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เอาล่ะ! ไปได้แล้วสหาย เพราะเจ้าคิดว่าจินเฟิ่งหลายจะได้รับชัยชนะ และข้าคิดว่าเจ้าสำนักกระบี่แปดทำนายจะได้รับชัย เหตุใดเราจึงไม่ลองพนันกันดูล่ะ?”

“ข้าไม่ชอบเล่นพนัน” ไป๋ชิวหรานตอบกลับ “การพนันและสิ่งเสพติด สองสิ่งนี้ไม่ต่างกัน มีแต่จะทำให้ตกต่ำลงเรื่อย ๆ และไม่สามารถรับผิดชอบตนเองได้”

“อนิจจา เดิมพันใหญ่คงจะทำร้ายเจ้ามา เช่นนั้นเดิมพันน้อย ๆ ก็ได้” ชายอ้วนสัตย์ซื่อหยิบแท่งทองคำขนาดใหญ่แวววาวออกมาจากอ้อมแขน “รับชมเถิด หากเจ้าชนะ… แท่งทองคำนี้จะเป็นของเจ้า มันสามารถซื้อร้านที่เจ้าชื่นชอบร้านใดก็ได้ในตู่โจวนี้”

“พนันด้วยเงินทองจะไปสนุกอะไร” ไป๋ชิวหรานมองดูแท่งทองนั้นด้วยสายตาเบื่อหน่าย “ข้าคิดว่าเงินก็เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าข้าไม่เล่นการพนันด้วยแล้ว หรือหากข้าเล่น ข้าก็ไม่ตื่นเต้นเลยสักนิดหากจะเล่นเพื่อเงิน”

“หากไม่พนันด้วยเงินทอง แล้วจะเดิมพันด้วยสิ่งใด?”

ชายอ้วนตบปากตนเอง ก่อนจะหยิบกระเป๋าอีกใบออกมาจากกระเป๋าของตนเอง

“งั้นดูนี่เถิด พริกนี่เผ็ดร้อนที่สุดในเมืองตู่โจวแล้ว” ท่าทางของชายอ้วนเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม “หากเจ้าสำนักกระบี่แปดทำนายพ่ายแพ้ ข้า… ข้าจะเอาเครื่องเพศจุ่มลงในถุงพริกนี้ เป็นอย่างไรเล่า?”

“โอ้ เช่นนั้น” ไป๋ชิวหรานคิดครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาของเขาพลันสว่างขึ้น “เริ่มน่าตื่นเต้นแล้ว!”

“แน่นอน! พวกเราจะเดิมพันกัน!” ชายอ้วนเก็บกระเป๋าก่อนจะกล่าวจริงจัง “หากจินเฟิ่งหลายพ่ายแพ้เจ้าสำนักกระบี่แปดทำนาย สหายเอ๋ย เจ้าก็ต้องทำเช่นเดียวกับข้า”

“ไม่!”

มีเสียงหญิงสาวที่ไพเราะดังขึ้นข้างหลังไป๋ชิวหราน แม้ว่าเสียงจะชัดเจน แต่ในเวลานี้ฝูงชนกำลังแน่นขนัด และหญิงสาวก็ตัวเล็กกว่ามาก จึงถูกไป๋ชิวหรานขวางเอาไว้

ไป๋ชิวหรานหันไปพูดคุยกับสตรีผู้นั้น แต่ไม่ทราบว่าพูดคุยสิ่งใด จึงมีเพียงคำพูดที่คลุมเครือเผยออกมา เช่น ‘พริกทำอะไรข้าไม่ได้’ หรือ ‘นี่คือโอกาส’ …อะไรสักอย่าง

ผ่านไปครู่หนึ่ง ไป๋ชิวหรานคล้ายจะเกลี้ยกล่อมสตรีที่อยู่ด้านหลังนี้ได้ ชายผมขาวจึงหันกลับมายิ้มจาง ๆ ให้ชายร่างอ้วน

“เอาล่ะ ตามที่สหายกล่าว เรามาเดิมพันกันเถิด!”

[1] หลิว ซิ่ว พระนามเดิมของจักรพรรดิฮั่นกวังอู่ ปฐมจักรพรรดิในราชวงศ์ฮั่นตะวันออก

[2] หวัง หมั่ง พระนามเดิมของจักรพรรดิซินเกาจู่ เป็นจักรพรรดิองค์แรกและองค์เดียวแห่งราชวงศ์ซิน

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท