ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 408 ถึงเวลาสะสาง

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 408 ถึงเวลาสะสาง

บทที่ 408 ถึงเวลาสะสาง

เมื่อผู้ตัดสินประกาศจบเกม หลี่เสียนจิ้งก็คุกเข่าลงพร้อมใช้กระบี่ค้ำยันร่างกายเอาไว้

ผลของยาพิษเริ่มออกฤทธิ์แล้ว พิษแพร่กระจายเข้าสู่ร่างกายของเขา และในไม่ช้าร่างกายนี้จะสูญเสียพลังทั้งหมดไป

“ท่านหลี่เสียนจิ้ง!”

เหล่าผู้รับชมรอบเวทีร้องตะโกน และเจ้าหน้าที่ทั้งหมดรีบพุ่งเข้าไปที่สังเวียนเพื่อช่วยเหลือเขา

“ไม่เป็นไร…”

เทพกระบี่กล่าวอย่างอ่อนแรง

“มันไม่ใช่โอสถพิษที่แปลกประหลาดอะไร มันคือพิษของอาณาจักรชางลี่ ข้าเคยเผชิญหน้ากับมันมาก่อนแล้ว”

เขามองไปที่รูปปั้นของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน ก่อนจะกล่าวด้วยความเคารพ

“เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานคุ้มครองข้าด้วย…”

ขณะที่กำลังสวดภาวนาต่อเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน เจ้าหน้าที่ทั้งหมดเฝ้ารอให้เขาจัดการกิจของตนเองให้เสร็จ เมื่อสิ้นคำกล่าว เขาถูกก็ยกขึ้นเปลหามในทันที

ทั้งหมดแบกหามหลี่เสียนจิ้งไปพบแพทย์สนามของสมาพันธ์กระบี่ แต่เรื่องราวน่าประหลาดกลับเกิดขึ้น หลังจากหลี่เสียนจิ้งกล่าวบูชาต่อเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานเสร็จสิ้นแล้ว ผิวพรรณของเขาก็พลันดีขึ้นในพริบตา

เมื่อเหล่าเจ้าหน้าที่พาเขามาถึงมือหมอ เทพกระบี่กลับลุกขึ้น และเดินเหินเองได้อย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งยังบอกกล่าวว่าไม่เป็นอะไรแล้ว

พิษที่ถูกตรวจพบบนกระบี่ของเจ้าชายโหยวคือพิษร้ายแรงจากอาณาจักรชางลี่ แม้หลี่เสียนจิ้งจะฝึกฝนมาดีเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ควรจะตายไปเท่านั้นเมื่อได้รับพิษนี้

แต่หลังจากหลี่เสียนจิ้งลุกขึ้น แพทย์สนามรีบตรวจสอบร่างกายของเขา และพบว่าสารพิษทั้งหมดถูกขับออกไปอย่างลึกลับ

ผู้ชมที่นั่งอยู่บนที่นั่งอดไม่ได้ที่จะโจษจันถึงเรื่องนี้

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานมีอยู่จริง?”

ตั้งแต่เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานปรากฏนั้น ภายในงานประลองของสมาพันธ์กระบี่ก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นถึงสองครั้ง คราวแรกคือการที่คนหนุ่มสาวทั้งหมดมีทักษะอันก้าวกระโดด และดูเหมือนว่าอิทธิพลของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานผู้นี้จะมีอยู่ในทุกหนแห่ง

ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นเทพเจ้าที่ส่องแสงเมื่อครั้งฉินตงหลายตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก หรือคราวที่หลี่เสียนจิ้งกล่าวบูชาต่อเทพเจ้าองค์นี้เพื่อบรรเทาพิษร้ายในร่างกาย ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เกินกว่าจิตนาการของมนุษย์จากทั่วทุกมุมโลก

“ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลจริง ๆ ตอนนี้ข้าก็ติดอยู่ในสภาวะตีบตันมาเนิ่นนานแล้ว เราลองไปสวดภาวนาบ้างดีหรือไม่?”

ใครบางคนได้กล่าวริเริ่ม

“มันคืออะไร เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน เทพเจ้าหรือภูตผี? เมื่อได้รับฟังครั้งแรกยังคิดว่าเป็นเพียงเรื่องโกหกที่ปั้นแต่งขึ้นเอง?”

บางคนก็ยังคงความเห็นเดิมเอาไว้

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เวลานี้อาจารย์เทพอสูรของไป๋ชิวหรานก็ได้รับการศรัทธาเพิ่มพูนยิ่งนัก

เพราะการหลอมรวมของอาจารย์อสูรที่หลากหลาย เขตแดนจิตสำนึกของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานจึงค่อย ๆ แผ่ขยายออกไปเรื่อย ๆ ในเวลานี้มันเข้าใกล้กับเขตแดนจิตสำนึกของเทพโลหิตแห่งความตายแล้ว… อาณาจักรของอีกฝ่ายถูกล้อมรอบไปกว่าครึ่ง

ในเขตแดนจิตสำนึกปัจจุบัน พื้นที่ของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานและเทพโลหิตแห่งความตายเกือบจะเทียบเท่ากันแล้ว

ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่าเทพโลหิตแห่งความตายใกล้จะปะทุออกมาเต็มที! หลังจากการแข่งขันของสมาพันธ์กระบี่จบลง… แผนการของสำนักเทพโลหิตสุขีจะต้องถูกถอนฐานถอนโคน ถึงเวลาต้องล้างบางพวกมันแล้ว!

หลังจากเจ้าชายโหยวพ่ายแพ้ นักสู้ที่ถูกส่งมาจากอาณาจักรชางลี่ก็ค่อย ๆ ถูกกำจัดออกจากการแข่งขันทีละคน

ก่อนเข้าแข่งขัน ทั้งหมดต่างตะโกนเพื่อประกาศชัยชนะที่ยังไม่ได้รับ แต่ตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในอันดับสี่ และกลับอาณาจักรชางลี่ด้วยความสิ้นหวัง

ในเวลาเดียวกัน พวกเขายังเผชิญหน้ากับปัญหาบางอย่าง… เงินที่มีอยู่ไม่เพียงพอเสียแล้ว

แม้ว่ากลุ่มของพวกเขาจะนำเงินมามาก แต่เจ้าชายแห่งอาณาจักรชางลี่ก็ละลายทรัพย์ไปกับการติดต่อกับสำนักเทพโลหิตแห่งความสุข อีกทั้งคนของพระองค์ยังฟุ่มเฟือยมากด้วยเช่นกัน พวกเขาหมดเงินไปกับหญิงสาวและสุรามากมาย

หลังจากที่เจ้าชายโหยวพ่ายแพ้ พวกเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บ

เมื่อผู้คนของอาณาจักรต้าเซียและอาณาจักรยามากุจิเห็นว่าชาวชางลี่กำลังประสบปัญหา ก่อนหน้านี้พวกเขาทำได้เพียงอดทนรอให้เทพกระบี่หลี่เสียนจิ้งสร้างความอับอายให้กับเจ้าชายโหยว แต่วันนี้ เมื่อเจ้าชายโจมตีด้วยกระบี่อาบโอสถพิษ และยังขว้างปาขี้เถ้าในการแข่งขัน ความเกลียดชังที่คล้ายจะบรรเทาก็ปะทุออกมาอีกครั้ง

หลังจากเจ้าชายโหยวพ่ายแพ้ นักรบแห่งอาณาจักรต้าเซียและอาณาจักรยามากุจิก็สาดเทความโกรธเกรี้ยวลงกับชาวชางลี่คนอื่น ๆ โดยตรง นี่เป็นเพียงการแก้แค้นเล็กน้อยหากเทียบกับความรู้สึกที่เคยได้รับ

ระหว่างทางกลับ ชาวชางลี่จึงพบว่าพวกเขาไม่อาจเดินทางได้โดยเรือเพราะเงินไม่เพียงพอ หากจะกลับอาณาจักรของตนเอง ทำได้เพียงต้องเดินด้วยขา และนอนกลางดิน กินกลางทรายเท่านั้น… ต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีจึงจะกลับสู่ภูมิลำเนาได้

ยิ่งไปกว่านั้น ชาวชางลี่เหล่านี้ไม่อาจบอกกล่าวเรื่องความพ่ายแพ้กับราชวงศ์คนอื่น ๆ ได้ อย่างไรเสีย… ความพ่ายแพ้ของพวกเขาเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ความพ่ายแพ้ของเจ้าชายที่เคยป่าวประกาศเสียงดังก่อนหน้านี้กลับเป็นเรื่องน่าละอายจนแทบมุดดินหนี เพราะเขาเป็นถึงหน้าตาของราชวงศ์ชางลี่

ใครจะรู้ว่า ราชวงศ์จะลงโทษพวกเขาอย่างไร?

คงจะดีหากสามารถว่ายน้ำกลับไปที่อาณาจักรได้ สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือราชวงศ์ชางลี่จะส่งคนมาจัดการกับนักรบทุกคนยกเว้นเจ้าชายโหยว… ก่อนจะปฏิเสธว่าราชวงศ์ชางลี่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันของสมาพันธ์กระบี่ในภายหลัง

ไม่ว่าพวกเขาจะถูกปฏิบัติอย่างไร แต่ท้ายที่สุดก็ต้องกลับสู่อาณาจักรของตนเอง

อย่างไรแล้วนั่นคือบ้านเกิด ไม่ว่าคนที่นั่นต้องการทำสิ่งใดกับพวกเขาก็ตาม… อย่างไรแล้วเรื่องราวทั้งหมดย่อมเป็นที่โจษจันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้ราชวงศ์ต้องการจะกำจัดพวกเขาจริง ๆ พวกเขาอาจจะอ้อนวอนเพื่อร้องขอให้ตนได้หลบซ่อนอาศัยอยู่อย่างเงียบ ๆ ในอาณาจักรชางลี่ได้

แต่หากพวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่ ผู้คนในเจียงหูของอาณาจักรต้าเซียมีแต่จะกลั่นแกล้งรังเกียจเดียดฉันท์ การกระทำของพวกเขาสร้างความขุ่นเคืองในการแข่งขันของสมาพันธ์กระบี่ ทั้งอาณาจักรต้าเซียและยามากุจิล้วนขุ่นเคืองใจ ในช่วงเวลาเช่นนี้ ต่อให้ชาวชางลี่จะนอนตายอยู่บนถนน เหล่าทหารของอาณาจักรต้าเซียย่อมไม่คิดสนใจ

ชาวชางลี่รอคอยจนถึงวันที่สามด้วยความสิ้นหวัง เมื่อเจ้าชายโหยวและคนอื่น ๆ เริ่มดีขึ้นก็เก็บสัมภาระและออกเดินทาง

ระหว่างทางกลับไปนั้น เจ้าชายโหยวไม่มีท่าทีอวดดีให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้เห็นแม้แต่น้อย ดวงหน้าของเขามืดหม่น ส่วนเหล่าลูกสมุนนั่นก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดคุยกับเขา

กลุ่มนักรบชาวชางลี่เดินออกจากเมืองตู่โจวอันเงียบเหงา พวกเขาจ้างคนแบกหามจากอาณาจักรต้าเซียให้ช่วยขนสัมภาระ ก่อนจะเดินทางสู่ถนนเส้นหลักตรงกลับภูมิลำเนา

เจ้าชายเจ้าชายโหยวนั่งในรถม้าพิเศษที่ขับเคลื่อนโดยทหารองครักษ์… ซึ่งระหว่างทางเขาไม่กล่าวอะไรสักคำ

หลังเดินทางออกมาไกลสามสิบถึงสี่สิบลี้ กลุ่มชายหญิงในชุดเสื้อผ้าคล้ายคลึงกันก็ปรากฏตัวขึ้นบนถนน… ทุกคนมีกระบี่ใหญ่พาดอยู่ด้านหลัง

ทั้งหมดเข้ามาขวางถนนไว้ทันที

“พวกเจ้าเป็นชาวชางลี่ที่เข้าร่วมการประลองของสมาพันธ์กระบี่ใช่หรือไม่?”

หนุ่มสาวกลุ่มนั้นถาม

“ผู้เฒ่าของพวกเรามีบางสิ่งต้องการพูดคุยกับพวกเจ้า”

“ผู้เฒ่าของเจ้าที่ว่านั้นเป็นใคร?”

เมื่อได้ยินเสียงจากด้านนอก เจ้าชายโหยวจึงเปิดหน้าต่างรถม้าเพ่งพิศผู้ขวางทางก่อนจะกล่าวถาม

“เป็นข้า!”

เหล่าหนุ่มสาวต่างแยกตัวออกเป็นสองข้างเพื่อเปิดเส้นทางเพื่อเผยให้เห็น… ฉินตงหลาย ปรมาจารย์กระบี่ผู้แข็งแกร่งพร้อมกระบี่ยักษ์พาดหลังที่กำลังมองเจ้าชายโหยวบนรถม้าด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

“ชาวชางลี่… เจ้ากับเทพกระบี่ได้ชำระความกันแล้ว แต่ข้ากับเจ้ายังมีเรื่องต้องสะสางกันอยู่!”

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท