ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 411 เจ้าคือคนเดียวที่ข้าไว้ใจ

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 411 เจ้าคือคนเดียวที่ข้าไว้ใจ

บทที่ 411 เจ้าคือคนเดียวที่ข้าไว้ใจ

ในเช้าตรู่วันถัดมา การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของสมาพันธ์กระบี่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

วันนี้คือวันตัดสินค้นหาอับดับหนึ่งที่แท้จริงของโลก เช่นนั้นผู้ชมที่มาร่วมรับชมการแข่งขันจึงไม่ใช่เพียงชาวเมืองตู่โจว แต่ยังรวมไปถึงเหล่าข้าราชบริพารระดับสูง และพ่อค้าผู้มั่งคั่งที่อยู่ใกล้เคียงกับเมืองตู่โจวด้วย พวกเขาได้นั่งเก้าอี้พิเศษใกล้สังเวียน ซึ่งเป็นจุดที่รับชมการแข่งขันได้ชัดเจนที่สุด

ความจริงแล้ว เหล่าปรมาจารย์ระดับสูงนี้ใช้เวลาไม่นานในการต่อสู้ นอกจากพวกเขาจะสนใจทักษะการฝึกฝนพลังลมปราณแล้ว ยังมีการต่อสู้เพลงหมัดซึ่งเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง นี่คือสัประยุทธ์ที่ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหว และสิ่งอื่น ๆ อีกสองถึงสามอย่าง จากนั้นผลลัพธ์จึงจะถูกตัดสินด้วยคะแนน

ตลอดช่วงเวลาการแข่งขัน ผู้เข้าแข่งขันที่สามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้แล้ว มักจะทราบถึงทักษะและพลังของอีกฝ่ายโดยพื้นฐานของพวกเขาแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องอ่อนข้อหรือซ้อมมือก่อน เพราะเมื่อขึ้นสู่สังเวียน ทุกคนสามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงเพื่อบดขยี้อีกฝ่ายได้ทันที

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเทพกระบี่อันดับหนึ่งของโลก… นักกระบี่อันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรต้าเซีย และอดีตเทพกระบี่เคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว นักกระบี่อันดับหนึ่งของอาณาจักรต้าเซียก็พ่ายแพ้ในที่สุด

เมื่อเทียบกับหลี่เสียนจิ้งแล้ว เขายังเด็กเกินไป อีกทั้งตอนนี้หลี่เสียนจิ้งยังได้รับการช่วยเหลือจากเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน

แต่หลังจากประลองเสร็จสิ้น หลี่เสียนจิ้งก็เชิญชวนให้เขาไปสักการะต่อเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานด้วยน้ำเสียงอบอุ่น จากนั้นจึงปล่อยให้เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งของเขา และหลังจากนั้นทั้งสองจะมาประลองกันใหม่อีกครั้ง ซึ่งนักกระบี่อันดับหนึ่งของอาณาจักรต้าเซียก็ทำตามอย่างว่าง่าย

ครั้นถึงเวลาเที่ยง การแข่งขันอาวุธลับเพื่อค้นหาอันดับหนึ่งของโลกก็จบลงท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราว มหาราชครูเตี้ยวโส่วประกาศผู้ชนะรางวัลอันดับหนึ่ง ส่วนนักสู้คนอื่น ๆ ที่แสดงผลงานได้ดีในการแข่งขัน พวกเขาจะได้รับรางวัลจากราชสำนัก

แต่ในช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ กลับมีผู้ชมคนหนึ่งที่กำลังกังวลอย่างหนัก

“คนทรยศเป็นใคร? ยังไม่ทราบงั้นหรือ?” ผู้นำสำนักที่ปลอมตัวเป็นชายชราเผยเหงื่อกาฬหลั่งไหลบนใบหน้า เขากระทืบเท้าขณะเดินเตร็ดเตร่ และกล่าวถามเด็กชายที่อยู่ข้าง ๆ “ข้าบอกให้ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ในตอนเช้า แต่ตอนนี้เที่ยงกว่าแล้ว ไหนล่ะ?”

“พวกเขายังมาไม่ถึง ไม่มีผู้ใดตอบสนองต่อสัญญาณเรียก หรือมาพบข้าเลย” ไป๋ลี่จับมือชายชรา ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “ท่านประมุข บางทีเราสองคนอาจถูกหักหลัง! ปฏิบัติการคราวนี้ มีเพียงแค่ท่านกับข้า ส่วนคนอื่น ๆ ทั้งหมดล้วนเป็นสายลับที่ถูกเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานส่งมา”

“บัดซบ!” ผู้นำสำนักเทพโลหิตแห่งความสุขเผยใบหน้าขุ่นมัว “หากย้อนเวลาได้ ข้าจะฆ่าพวกมันทีละตัวให้หมดสิ้น!”

“ท่านประมุขใจเย็นก่อนเถิด” ไป๋ลี่หยุดเขาก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างลังเล “คราวนี้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินการไปแล้ว เราจึงไม่อาจย้อนเวลาได้ ตอนนี้ควรจะล่าถอยก่อน…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของผู้นำสำนักก็ยิ่งมืดมนราวกับสีของก้นหม้อ

หากเป็นไปได้ แน่นอนว่าเขาต้องการถอย! แต่ในฐานะผู้นำแห่งสำนักเทพโลหิตแห่งความสุขภายในโลกวัตถุนี้ ทุกย่างก้าวของเขาล้วนถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด อีกทั้งจิตวิญญาณของเขายังเกี่ยวพันกับเทพอสูรโลหิตแห่งความตายและเขตแดนจิตสำนึกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น กล่องไม้บนหลังของเขาคืออาวุธที่เทพอสูรโลหิตแห่งความตายมอบให้

ตอนนี้ผู้นำสำนักได้ยินคำสาปแช่งไม่รู้จบจากเขตแดนจิตสำนึก เทพอสูรโลหิตแห่งความตายกระตุ้นให้เขาดึงกระบี่เทพโลหิตออกจากฝัก และมันจะดีมากหากเขาทำลายสถานที่แข่งขันของสมาพันธ์กระบี่ วิหารเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน จากนั้นค่อยทุบใบหน้าของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานให้จบสิ้น

แม้ผู้นำสำนักจะรู้สึกว่ามีสตรีที่น่ารำคาญคอยจู้จี้ขี้บ่นอยู่ในหูตลอดเวลา แต่เขาก็รู้ดีว่าหากต่อต้าน กระบี่ที่อยู่บนหลังจะแปรพรรคในทันที จากที่เคยสนับสนุน ก็จะกลายเป็นศัตรูที่ชั่วร้ายที่สุดเท่าที่เคยพบ เมื่อชักออกมา แน่นอนว่าสิ่งที่มันจะลงมือทำอย่างแรกคือตัดศีรษะของเขา

ช่างน่ารำคาญใจนัก!

แม้เขาจะเป็นผู้ศรัทธาที่เปี่ยมไปด้วยความซื่อสัตย์ แต่อารมณ์ที่ผุดขึ้นมานั้นก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“ไม่ได้! เราไม่สามารถฝ่าฝืนคำสั่งของเทพเจ้าที่แท้จริงได้”

เขาระงับความขมขื่นในใจ ก่อนจะแสร้งทำเป็นสงบแล้วกล่าวกับไป๋ลี่

“น้องชายที่รัก… เจ้าคือสหายร่วมรบคนสุดท้ายที่ภักดีต่อข้า ในเวลานี้ข้าไม่ได้สั่งเจ้าในฐานะประมุข แต่เป็นฐานะพี่น้องร่วมศรัทธาในเทพเจ้าองค์เดียวกัน โปรดติดตามข้าและอยู่เป็นสักขีพยานต่อวาระสุดท้ายที่กำลังจะมาถึง… หากเราโชคดีพอและทำภารกิจนี้สำเร็จจนสามารถกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันได้ ข้าจะเลื่อนตำแหน่งภายในสำนักให้กับเจ้า น้องชายเอ๋ย หากพวกเราตายตกในเส้นทางอันรุ่งโรจน์นี้ ข้าจะร่ำสุราที่กลั่นจากโลหิตของศัตรูกับเจ้าในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ขององค์เทพเจ้าของเรา”

หลังจากหยุดไปชั่วขณะ ประมุขจึงกล่าวเสริมขึ้น

“แต่หากข้าตายตก… และเจ้าโชคดีพอรอดชีวิต เช่นนั้นจงเอากระบี่เทพโลหิตข้างหลังข้าไปด้วย! จากนั้นเจ้าจะเป็นประมุขคนใหม่ของสำนักเทพโลหิตแห่งความสุข!”

“ท่านประมุข…” หยาดน้ำตาเอ่อล้นขึ้นในดวงตาของไป๋ลี่ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจบางอย่าง ก่อนจะปาดน้ำตาพร้อมกล่าวจริงจัง “ตัวข้า ไป๋ลี่ จะติดตามท่านไปจนลมหายใจสุดท้ายอย่างแน่นอน!”

“ฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยมแล้ว หากมีเจ้าอยู่ด้วย ข้าย่อมมีกำลังเดินต่อ!”

ผู้นำสำนักเห็นว่าเตี้ยวโส่วเริ่มมอบมงกุฎแห่งเกียรติยศให้กับเหล่าปรมาจารย์ระดับสูงแล้ว เขาก็หยุดความลังเล ก่อนจะเอื้อมมือไปชักกระบี่บนหลังออกมา… ขณะนี้กระบี่เทพโลหิตจึงเผยออกสู่สายตาผู้คน!

กลิ่นอายโลหิตสีแดงพุ่งทะลุผ่านท้องฟ้า และบดบังแสงดวงอาทิตย์ ผู้นำสำนักถือกระบี่ยักษ์นี้ไว้ด้วยความมั่นคง ใบมีดยาวกว่าเกือบจั้งนั้นน่าหวาดหวั่น ก่อนจะตะโกนบอกไป๋ลี่

“หมอบลง!”

ไป๋ลี่ที่นอนอยู่บนพื้น ขณะที่ผู้นำสำนักถือกระบี่ยักษ์พร้อมหันกลับมายืนข้างเขา

ฮ่า!

มีไม่กี่คนที่อยู่เคียงข้างเขา ทั้งหมดถูกปราณกระบี่ยักษ์ผ่าครึ่งก่อนที่จะทันเข้าใจเรื่องราวเสียอีก โลหิตพวยพุ่งออกจากร่างกายส่วนบนและส่วนล่างที่ถูกแยกออกจากกัน โลหิตสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณราวกับห่าฝน

“อ่า… อ๊ากกก!”

ฝูงชนกรีดร้องก่อนจะวิ่งไปรอบ ๆ อย่างโกลาหล แต่ผู้คนเหล่านี้จะวิ่งหนีผู้นำสำนักได้อย่างไร สุดท้ายพวกเขาก็ถูกตามทันอย่างรวดเร็ว และถูกสับฟันอย่างไร้ความปรานี

“ลัทธิคลั่ง!”

มหาราชครูเตี้ยวโส่วเห็นชายชราถือกระบี่ยักษ์จึงรีบตะโกนออกมา

“ทหาร! หยุดมันผู้นั้น!”

องครักษ์ของจักรพรรดิพุ่งทะยานขึ้นสู่สังเวียน แต่สุดท้ายก็ล้มลงข้างกายของชายชรา ผู้นำสำนักที่ครอบครองกระบี่เทพโลหิตไม่อาจมีผู้ใดหยุดยั้งเขาได้ เพียงแค่การกวัดแกว่งเพียงครั้งเดียว ปราณกระบี่โลหิตก็พวยพุ่งออก ส่งผลให้เหล่าทหารทั้งหมดที่วิ่งเข้ามาถูกตัดร่างออกเป็นสองท่อนในทันที

เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดหยุดยั้งได้ แม้แต่บางคนที่มีพลังการฝึกฝนระดับปรมาจารย์ก็ยังถูกฆ่าโดยง่ายราวกับใช้มีดสับไก่

ขณะนั้นก็มือปริศนาถูกยกขึ้น ก่อนจะมีลำแสงสีทองปรากฏ

เลือดทั้งหมดไหลลงสู่แม่น้ำใกล้เคียง ฉากโศกนาฏกรรมหลายร้อยศพฟื้นขึ้นมาราวกับเวลาถูกย้อนเวลากลับไป และชายชราที่ถือครองกระบี่เทพโลหิตก็ย้อนกลับมาที่เดิม ในจังหวะนั้นเขายังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ประจักษ์แก่ผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเห็นว่าชายชรากำลังจะชักกระบี่ เตี้ยวโส่วก็ดึงอาวุธออกมาทันที ก่อนจะเหวี่ยงเบ็ดตกปลาออกไป สายเบ็ดพันรอบแขนของผู้นำสำนักอย่างมั่นเหมาะ

“ไอ้ปีศาจ กล้ามากที่มาสร้างปัญหาที่นี่! ข้าจะลงโทษเจ้าเอง!”

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท