ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 413 ข้ามาแล้ว ข้าเข้ามาแล้ว ทุบตีข้าเสียสิ!

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 413 ข้ามาแล้ว ข้าเข้ามาแล้ว ทุบตีข้าเสียสิ!

บทที่ 413 ข้ามาแล้ว ข้าเข้ามาแล้ว ทุบตีข้าเสียสิ!

เมื่อแผนการของสำนักเทพโลหิตแห่งความสุขถูกเปิดโปง เทพอสูรทั้งหมดถูกสังหารในการต่อสู้ เวลานี้ไป๋ลี่อยู่ตรงทางขึ้นของภูเขาหยวนชิง

เมื่อผู้นำเทพอสูรร้องตะโกนพุ่งเข้าจู่โจม เขาก็ใช้จังหวะนี้เพื่อหลบหนีออกมาโดยอาศัยฝุ่นและควันจากเทพอสูรยักษ์ และมาหยุดยืนที่ภูเขาแห่งนี้เพื่อรับชมการต่อสู้

หลังจากได้ยินเสียงคำรามสุดท้ายของผู้นำสำนัก ไป๋ลี่จึงส่ายศีรษะพร้อมทุบหน้าอก

“ท่านประมุขไม่ต้องกังวลแล้ว ข้าจะไม่มีวันหยุดยั้ง!” หลังจากหยุดชั่วครู่ เขาก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าและกล่าวเสริมว่า “เส้นทางของข้าคือล้มล้างสำนักเทพโลหิตแห่งความสุขให้สิ้นซาก!!”

“มีความมั่นใจเช่นนี้เป็นเรื่องที่ดี แต่ดูเหมือนว่าภรรยาของเจ้าจะเป็นแรงจูงใจสำหรับความพยายามเหล่านี้”

ทันใดนั้นเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ไป๋ลี่หันมาก็เห็นว่าไป๋ชิวหราน หลีจิ่นเหยา และถังรั่วเวยเดินเข้ามา

“หากไม่รีบ พวกนางมาที่นี่แน่นอน… ว่าแต่เจ้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรล่ะ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไป๋ลี่ก็เผยสีหน้ากังวลก่อนจะกล่าวตอบ

“หลังจากที่ข้ากลับไปแล้ว ข้าคงต้องฝึกฝนพลังหยางบริสุทธิ์เสียก่อน อย่างไรแล้วข้าก็ยังมีข้อแก้ตัว…”

“เช่นนั้นเจ้าจงรีบฝึกฝนเสีย มิฉะนั้นเมื่อฐานการฝึกฝนของเจ้าต่ำเกินไป และข้าเกรงว่าพวกนางจะทำให้เจ้า ‘แตกทั้งยืน’ เป็นแน่”

ไป๋ชิวหรานยื่นมือออกพร้อมหยิบกระบี่เทพโลหิตที่น่ารังเกียจออกมาจากรอยแตกมิติ

“เอาล่ะ กระบี่เล่มนี้เป็นของเจ้า… รู้หรือไม่ว่าฐานของมันอยู่ที่ไหน?”

“แน่นอนว่าในหมู่สหายมีคนทราบ”

ไป๋ลี่รับกระบี่มาและอยากจะพาดมันไว้บนหลัง ทว่ากระบี่เล่มนี้สูงกว่าเขามาก แม้ว่าจะเอียงมันแล้ว ปลายกระบี่ก็ยังคงลากพื้นอยู่ดี ในความสิ้นหวังนี้ ไป๋ลี่ก็ได้มอบกระบี่เล่มนี้ให้อาจารย์อสูรของเขา ‘จักรพรรดิเซียนองค์แรกแห่งราชัน’ เป็นฝ่ายจัดการ คิดแล้วก็นำมันเข้าไปในเขตแดนจิตสำนักทันที

“เอาล่ะ ข้าไม่คิดเฝ้ารอสิ่งใดอีกแล้ว และจะออกเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกทันที”

ไป๋ลี่จัดการกับเสื้อผ้าของตนเอง

“อาจจะต้องใช้เวลากว่าหนึ่งปีกว่าจะไปถึง เช่นนั้นขอให้ท่านอาจารย์แจ้งบิดามารดาของข้าด้วย!”

“เอาล่ะ… ต่อไปข้าต้องจัดการกับเทพอสูรโลหิตแห่งความตาย”

ไป๋ชิวหรานโบกมือพร้อมกล่าวเตือน

“อ้อ! อีกอย่าง ข้าขอเตือน มีหญิงสาวไม่กี่คนที่เชื่อมั่นในหลักคำสอนนอกรีตของสำนักเทพโลหิตแห่งความสุข อย่าได้ทำตัวเป็นคุณชายเจ้าสำราญ ย้อนกลับไปฉากที่พวกเราต้องเสียสละมนุษย์เพื่อเลี้ยงดูอินทรีด้วย ตอนนี้เจ้ายังเอาตัวเองไม่รอด และไม่อาจรับมือกับสถานการณ์ระดับนั้นได้”

“ศิษย์จะจดจำขึ้นใจ”

ไป๋ลี่รีบตอบรับอย่างกระตือรือร้น

หลังจากที่เฝ้าดูไป๋ลี่จากไป ไป๋ชิวหรานก็พาหลีจิ่นเหยาและถังรั่วเวยเข้าสู่เขตแดนจิตสำนึก

หลังจากมาที่นี่แล้ว เขาก็จัดการกับพรมแดนของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานทันที แน่นอนว่าตอนนี้ได้เข้าใกล้เขตแดนของเทพอสูรโลหิตแห่งความตายแล้ว

เมื่อมองไปยังสถานที่ตั้งตรงหน้า เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานก็หยิบกระบี่หอกที่อยู่บนหลังออกมา ก่อนจะสั่นมันเบา ๆ ในเขตแดนของเทพอสูรโลหิตแห่งความตาย

พลังเหนือธรรมชาติสีทองเล็ดลอดออกมาจากปลายหอก แม้ว่าจะมีเพียงเล็กน้อย แต่สำหรับเจ้าแห่งอาณาเขตแล้ว สิ่งที่บุกรุกไม่อาจปล่อยไว้ได้… ราวกับหมึกที่หยดลงบนกระดาษขาว แม้น้อยนิดแต่ก็สะดุดตา

ในขณะที่ส่วนลึกของอาณาเขตเทพโลหิตพลันเดือดพล่านขึ้น ลำแสงสีเลือดพุ่งสู่ท้องฟ้า ก่อนจะเปิดเผยใบหน้าของเทพอสูรโลหิตแห่งความตายที่กำลังโกรธเกรี้ยว มันนั่งอยู่บนรถม้าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยซากศพ การเข่นฆ่า และราคะ

เมื่อเข้าใกล้ชายแดน รถม้าก็กระแทกกับพื้นจนทิ้งรอยลึกไว้ ก่อให้เกิดควันและฝุ่นผงมากมายจนมาถึงอาณาเขตของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน

“หึ เจ้าต้องการประกาศสงครามหรือ?!”

รถม้าหยุดที่เขตแดน ใบหน้าสง่างามและน่าเกรงขามของเทพอสูรโลหิตแห่งความตายเต็มไปด้วยความโกรธ ดวงตาของเหล่าสมุนลุกโชนเป็นเปลวเพลิงร้อนแรงแผดเผา

“ประกาศสงคราม? ไม่ใช่แล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อจะบอกว่าเจ้าพ่ายแพ้แล้ว!”

เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานเผยรอยยิ้มก่อนจะโบกมือขึ้นในอากาศภายในเขตแดนจิตสำนึก มันคือภาพของไป๋ลี่ที่สวมเสื้อคลุม และแบกร่างกายไร้โลหิตของคนทรยศห้าคนไปยังดินแดนตะวันตก

“เจ้ารู้จักเด็กน้อยผู้นี้หรือไม่?”

“นี่เป็นผู้นำคนใหม่ของเทพองค์นี้ไม่ใช่หรือ?”

เทพอสูรโลหิตแห่งความตายยังไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์นี้

ในโลกวัตถุ อย่างไรก็เป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ สำหรับมัน แม้ว่าจะสนใจสมาพันธ์กระบี่ แต่เมื่อเหล่าผู้ศรัทธาอยู่ในงานนั้นแล้ว เทพอสูรโลหิตแห่งความตายจึงไว้วางใจ และหันไปสนใจสิ่งอื่นแทน

ความกังวลหลักของมันคือเจ้าสำนัก ส่วนผู้ศรัทธาคนอื่น ๆ นั้นมันไม่อาจจดจำใบหน้าได้

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้ใส่ใจผู้ศรัทธาของตนเองเท่าไหร่นัก”

เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานเผยรอยยิ้ม

“เด็กชายคนนี้เป็นศิษย์ของข้า”

ใบหน้าของเทพอสูรโลหิตแห่งความตายแปรเปลี่ยน! มันดึงเคียวยักษ์ออกมากระชับไว้ในมือทั้งสองข้าง ก่อนจะเปิดเส้นทางเข้าสู่โลกวัตถุภายในอาณาเขตของตนเอง

ต่อมา… มีมือยักษ์โผล่มาปิดเส้นทางนั้น ซึ่งเหมือนกับวันที่ตัวมันเพิ่งถือกำเนิดบนโลกนี้

“อย่าได้ตื่นตระหนกนักเลย…” เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานที่อยู่ด้านหลังจัดการปิดรอยแยกมิติพร้อมเผยรอยยิ้มผ่อนคลาย “อย่างไรเสีย มันยากที่เจ้าจะหันหลังกลับ เหตุใดไม่พูดคุยกับข้าเสียก่อนล่ะ บางทีข้าอาจจะยอมปล่อยไปหากเจ้าทำให้ข้าอารมณ์ดี”

“หึ! มือนั้นไม่อาจผนึกเขตแดนจิตสำนึกได้ตลอดไป” เทพอสูรโลหิตแห่งความตายตอบกลับอย่างเย็นชา “เมื่อมีโอกาส เทพองค์นี้จะลงไปสู่โลกวัตถุนั้น และสังหารผู้ทรยศ ก่อนจะก่อตั้งสำนักขึ้นใหม่ด้วยตนเอง!”

“ยังคิดว่าเจ้าจะมีโอกาสไปสู่โลกวัตถุนั่นอีกหรือ?” เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานคลี่ยิ้ม “หลับให้สบายเถิด… วันนี้ข้าต้องถอนรากถอนโคนเจ้าเสียที!”

“หืม? เทพองค์นี้ยอมรับแล้วว่าพลังการต่อสู้ของเจ้าแข็งแกร่งนัก แต่เหตุใดจึงมีความคิดสังหารเทพองค์นี้เล่า?” เทพอสูรโลหิตแห่งความตายถึงกับหัวเราะออกมา “เจ้าคิดใช้สิ่งใดเพื่อเอาชนะและปราบปรามเขตแดนของเทพองค์นี้… เอาล่ะ เทพองค์นี้ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว เจ้ากล้าเข้ามาหรือไม่?”

“แน่นอนว่าข้ากล้า”

ราวกับถูกยั่วยุ เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานก็ยืดตัวขึ้น ก่อนจะทำท่ายกมือขึ้นสองข้างราวกับผีดิบ แล้วกระโดดข้ามเขตแดนไป!

“ดูสิ ข้ายืนอยู่ตรงนี้แล้ว”

เมื่อเห็นเช่นนี้ เทพอสูรโลหิตแห่งความตายจึงยกเคียวขึ้นสูง แต่หลังจากที่เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานเข้าไปแตะเขตแดนแห่งนั้นแล้ว เขาก็กระโดดกลับมายังอาณาเขตของตนเองทันที

“อ่า… ข้าต้องกลับแล้ว”

เมื่อมองอีกฝ่ายที่กลับเขตแดนตนเอง เทพอสูรโลหิตแห่งความตายก็กล่าวเย้ยหยันเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานด้วยสีหน้ารังเกียจ

“ไอ้ขี้ขลาด!”

“เจ้าดุด่าผู้ใดว่าขี้ขลาด โธ่… ข้ามาแล้ว”

เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานกระโดดเข้ามาอีกครั้งด้วยใบหน้าเย็นชา และคว้าเอาศีรษะเทพอสูรโลหิตแห่งความตาย

“แน่จริงลองทุบตีข้าดูสิ!”

“…ข้าไม่เคยพบเจอคำขอที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน”

เทพอสูรโลหิตแห่งความตายพึมพำออกมาเมื่อเห็นว่าเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานยังยืนอยู่ในเขตแดนของตน ทันใดนั้นร่างกายของมันพลันเกิดเปลวไฟลุกท่วม ก่อนจะยกเคียวยักษ์ขึ้นสูงแล้วสับฟันลงที่ลำคอของอีกฝ่าย!

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทุบตีเจ้า แต่ข้าจะสังหารเจ้า!”

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท