บทที่ 447 ลมบูรพาผ่านหอเมื่อคืนวาน สิ้นแผ่นดินสุดจะทานกลางแสงจันทร์
บทที่ 447 ลมบูรพาผ่านหอเมื่อคืนวาน สิ้นแผ่นดินสุดจะทานกลางแสงจันทร์
หลังจากอ่านคาถาทั้งสามแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงเข้าใจความคิดของจักรพรรดิเซียนซู่หัว
ปกติแล้ว ความคิดพื้นฐานของทั้งสองนั้นคล้ายคลึงกัน พวกเขาทั้งคู่ใช้ร่างของอาจารย์อสูรเพื่อจัดการกับเหล่าอาจารย์อสูร …นี่เป็นวิธีการจัดการโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ในแง่ของวิธีการ ไป๋ชิวหรานไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก
วิธีการของไป๋ชิวหรานคือการแยกจิตเพื่อควบคุมอาจารย์อสูรของตนเอง จากนั้นจึงใช่ร่างจำแลงที่สร้างขึ้นจัดการกับเหล่าอาจารย์อสูร สุดท้ายแล้วอาจารย์อสูรที่ไม่อาจควบคุมได้จึงต้องถูกกำจัดหมดสิ้น!
ส่วนวิธีการของจักรพรรดิเซียนซู่หัว… คือการให้กำเนิดร่างกายที่ทรงพลังและเต็มไปด้วยสติปัญญา จากนั้นค่อยสั่งสอนให้มันโจมตีและเข่นฆ่าเหล่าอาจารย์อสูร มันคล้ายกับการควบคุมสัตว์เลี้ยง หรือบังคับอาวุธในมือให้โจมตี
กล่าวสั้น ๆ ก็คือไป๋ชิวหรานใช้เส้นทางการแยกจิต ในขณะที่จักรพรรดิเซียนซู่หัวเลือกเส้นทางของผู้ฝึกฝนสัตว์เลี้ยง
ยากที่จะบอกว่าวิธีการใดยอดเยี่ยมกว่า หรือแย่กว่ากัน… แต่อย่างไรแนวคิดของไป๋ชิวหรานก็ได้รับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมมาแล้ว!
อย่างไรก็ตาม… หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ความคิดของจักรพรรดิเซียนซู่หัวก็สามารถใช้งานจริงได้ หลังจากได้อ่านคาถาทั้งสามนี้แล้ว ไป๋ชิวหรานตระหนักถึงสิ่งต่าง ๆ มากมายโดยไม่รู้ตัว
“ความสำเร็จที่ซู่หัวทิ้งเอาไว้ส่วนใหญ่แล้วเป็นสองสิ่งนี้ และยังมีสิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ ซึ่งทั้งหมดถูกเก็บไว้ในห้องโถงด้านข้าง”
โหรวเยว่หมิงกล่าวกับไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ
“พวกเจ้าทุกคนสามารถนำสิ่งประดิษฐ์ภายในพระราชวังออกไปได้ แต่โลงศพภายในห้องโถงใหญ่เป็นของข้า พวกเจ้าไม่อาจแตะต้องได้!”
“โลงศพนั้นคือศพของผู้ใด?”
จักรพรรดิเซียนองค์แรกได้ยินจึงกล่าวถาม
โหรวเยว่หมิงกล่าวกล่าวอย่างสัตย์ซื่อ หลังจากเพ่งพิศ นางก็ตอบตามความจริง
“ศพของซู่หัว”
“อะไรนะ?”
จักรพรรดิเซียนองค์แรกตื่นตระหนก
“ศพของซู่หัวยังอยู่ แล้วเจ้าต้องการทำสัปดนกับศพของศิษย์ข้า? บ้าไปแล้วหรือไร!”
ไป๋ชิวหรานตบศีรษะเจ้าเครื่องมือช่างของเขาพร้อมสาปแช่งอย่างขุ่นเคือง
“เจ้าเป็นคนวิปริตงั้นหรือ! เจ้าทำเช่นนี้มากี่ครั้งแล้ว?”
ผู้ฟังชะงักค้างไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อ
“หยุดเอานิสัยตนเองตัดสินผู้อื่นเสียที! เจ้าคิดบอกใบ้นางหรือไร? หรือต้องการเห็นร่างจักรพรรดิเซียนซู่หัวถูกทำลายโดยอาจารย์อสูรงั้นหรือ?! แม้อาจารย์อสูรตนนี้จะเป็นภรรยาของเขาก็ตาม!”
“ข้าคิดว่าพวกท่านทั้งสองไม่ควรจะกล่าวให้มากความ”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าวเย้ยหยันจากด้านข้าง
“เซียงเสวี่ย เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว”
ไป๋ชิวหรานหันศีรษะ ก่อนจะเหยียดรอยยิ้มและอธิบายให้ซูเซียงเสวี่ยเข้าใจ จากนั้นหันศีรษะกลับมาพร้อมกับเตะก้นของจักรพรรดิเซียนองค์แรกจนเซไปด้านข้าง
“ออกไปซะ! เจ้าหมดประโยชน์แล้ว! ข้าจะพูดคุยกับนางเอง!”
จักรพรรดิเซียนองค์แรกลูบก้นตนเองพร้อมกับถอยห่างออกไป ขณะที่ไป๋ชิวหรานเดินตรงไปหาโหรวเยว่หมิงพลางเผยรอยยิ้ม
“แม่นาง…”
“ข้าไม่คิดเข้าใจสิ่งที่เจ้ากำลังจะกล่าว และจะไม่ทำลายร่างกายของซู่หัวเด็ดขาด! อีกทั้งไม่มีผู้ใดทำลายร่างกายนั้นได้!”
โหรวเยว่หมิงเปล่งเสียงเข้มงวด
“แต่ไม่ว่าเจ้าจะกล่าวอย่างไร ข้าจะทิ้งร่างของซู่หัวไว้ที่นี่ เขาเป็นสามีของข้า! ไม่ใช่ของเจ้า!”
“ถูกต้องแล้ว! เขาเป็นสามีของเจ้า! แต่เขาคือจักรพรรดิเซียนแห่งแดนเซียน และเป็นวีรบุรุษแห่งใต้หล้าด้วย”
ไป๋ชิวหรานผ่อนคลายก่อนจะเผยใบหน้าจริงจังแล้วกล่าวต่อ
“ศพของวีรบุรุษควรจะถูกฝังอย่างถูกต้อง และเขาควรได้กลับบ้าน ไม่ใช่อยู่ในต่างแดนเช่นนี้ แม่นางโหรว ข้าคิดว่าซู่หัวคงจะไม่ได้บอกเจ้าถึงเหตุผลที่เขาตั้งชื่อนี้ให้กับเจ้าใช่หรือไม่?”
โหรวเยว่หมิงพยักหน้า
“ซู่หัวไม่เคยบอกข้า…”
“ลมบูรพาผ่านหอเมื่อคืนวาน สิ้นแผ่นดินสุดจะทานกลางแสงจันทร์”
ไป๋ชิวหรานท่องบทกวีพร้อมกล่าวต่อ
“เขาพลัดพรากจากบ้านเกิด และการกลับคืนสู่ผืนแผ่นดินเป็นอุดมคติของชาวเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินทุกคน แม่นางโหรว แม้แต่ตัวข้าเองยังอยากนอนหลับในแผ่นดินบ้านเกิดไปตลอดกาลเช่นกัน”
โหรวเยว่หมิงก้มศีรษะเล็กน้อยอย่างขุ่นใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะกล่าวถาม
“แล้วข้าควรทำเช่นไร? หากพวกเจ้าเอาร่างของซู่หัวไป แล้วข้าล่ะ?”
ขณะนี้นางเผยความเห็นแก่ตัวเล็กน้อย แต่ความเห็นแก่ตัวนี้ไม่ใช่ความละโมบโลภมากของเหล่าอาจารย์อสูร แต่เป็นความอ่อนไหวในหัวใจของสตรี
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว… ไป๋ชิวหรานก็เผยรอยยิ้ม
“เพราะเจ้าคือมิตรของจักรพรรดิเซียนซู่หัว เจ้าจะได้กลับไปที่บ้านเกิดด้วยแน่นอน กลับสู่แดนเซียน! และที่นั่นมีพระราชวังของเขาอยู่! ข้าค่อนข้างคุ้นเคยกับจักรพรรดิเซียนผู้นี้ อย่างไรแล้วแม้จะมีข้อห้ามอยู่บ้าง แต่ข้าสามารถทำให้เขาปฏิบัติต่อเจ้า… ตามสิ่งที่สมควรจะได้รับจากจักรพรรดิเซียนซู่หัว”
โหรวเยว่หมิงลังเล
ไป๋ชิวหรานมองนางพร้อมนึกถึงบางสิ่ง จึงกล่าวถามอีกครั้ง
“กล่าวถึงเรื่องนั้นแล้ว แม้อาจจะไม่มีความหวัง แต่ข้าต้องการถามแม่นางโหรว วิญญาณซู่หัวที่เจ้ากลืนกินเข้าไปยังอยู่หรือไม่?”
แม้ไป๋ชิวหรานจะรู้สึกสิ้นหวัง เพราะจักรพรรดิเซียนซู่หัวตายตกไปแล้วกว่าห้าหมื่นปี แต่ตอนนี้หลังจากได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่จักรพรรดิเซียนซู่หัวทิ้งเอาไว้ ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าอาจารย์ของตนอย่างแน่นอน
หลังจากไตร่ตรองแล้ว จักรพรรดิเซียนองค์แรกไป๋ลี่ยังแยกจิตวิญญาณออกจากร่างกาย และจิตวิญญาณของเขาถูกตรึงเอาไว้ที่กำแพงแห่งความตระหนักรู้ว่าเจ็ดหมื่นปี บางทีโหรวเยว่หมิงอาจไม่เต็มใจที่จะแยกจิตวิญญาณของสามีตนเอง และตอนนี้วิญญาณของซู่หัวอาจจะอยู่ในร่างกายของนางก็เป็นได้
หลังจากได้ยินเช่นนั้น โหรวเยว่หมิงก็สะดุ้งเล็กน้อยราวกับแมวปกป้องอาหาร
“เหตุใดจึงถามเช่นนี้?”
“ข้าคือปรมาจารย์ของจักรพรรดิเซียนซู่หัว และเป็นปรมาจารย์ของจักรพรรดิเซียนองค์แรกแห่งแดนเซียนด้วยเช่นกัน”
ไป๋ชิวหรานยืดตัวขึ้นพร้อมไพล่มือด้านหลัง
“ในขณะเดียวกัน ข้าก็คุ้มครองโลกใบอื่น ๆ ด้วย เป็นจักรพรรดิภูตผีที่รับผิดชอบสังสารวัฏแห่งการกลับชาติมาเกิด หากวิญญาณของซู่หัวยังอยู่ ข้าก็มีวิธีที่จะพาเขากลับมาได้”
โหรวเยว่หมิงครุ่นคิดสักครู่ ก่อนจะกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“หมายถึงสามารถฟื้นคืนชีพเขางั้นหรือ?”
“ไม่อาจฟื้นคืนชีพได้ แต่หากยังมีวิญญาณเหลืออยู่… ข้าจะให้เขากลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
“ห้าหมื่นปีนั้นเป็นเวลาที่ยาวนาน แน่นอนว่าความทรงจำอาจเลือนหายหมดสิ้นแล้ว แต่หากข้าทำให้เขาฟื้นขึ้นมา ต่อให้ความทรงจำของเขาหายไปแล้ว แต่โชคดีนักที่ข้าเชี่ยวชาญทักษะแห่งห้วงเวลา แน่นอนว่าความทรงจำและจิตสำนึกของซู่หัวจะไม่เสียหาย!”
โหรวเยว่หมิงลูบท้องไปพลางครุ่นคิด
“เช่นนั้น… ท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะนำวิญญาณที่เหลืออยู่ของซู่หัวออกมา!”
นางจับกระโปรงเอาไว้แน่น ไร้ซึ่งท่าทีหยิ่งยโสอีกต่อไป ก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปที่ห้องโถงอีกด้านหนึ่งของพระราชวัง
“เจ้าคิดทำสิ่งใด?”
ไป๋ชิวหรานถามนางด้วยความสงสัย แต่ก่อนที่เขาจะกล่าวจบ เสียงอาเจียนก็ดังขึ้นจากทิศทางของโหรวเยว่หมิง!
“อ่อก”
ไป๋ชิวหรานและจักรพรรดิเซียนองค์แรกมองหน้ากันด้วยแววตาที่บอกอารมณ์ไม่ได้
“จู่ ๆ ข้าก็ไม่อยากช่วยเขาแล้ว”
ไป๋ชิวหรานพูดอย่างเย็นชา
“ท่านอาจารย์ ซู่หัวเป็นศิษย์ของข้า และเป็นหลานชายของท่านด้วย”
จักรพรรดิเซียนองค์แรกกล่าวเตือน
“บุรุษย่อมต้องรักษาสัจจะ จะผิดคำพูดได้เช่นไร?”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง โหรวเยว่หมิงก็เดินกลับมา และตรงมาหาไป๋ชิวหรานขณะเช็ดมุมปากอย่างเร่งรีบ จากนั้นจึงยื่นชิ้นส่วนวิญญาณที่แทบจะไม่เหลือแล้วให้กับเขา
“นายท่าน ได้โปรดรับ…”
โหรวเยว่หมิงหยุดชั่วขณะ ดูเหมือนว่านางจะมองเห็นแววตารังเกียจของไป๋ชิวหราน จึงกล่าวเสริมว่า
“ข้าทำความสะอาดมันแล้ว…”
“ภรรยาของซู่หัวนี่ช่างคิดง่ายเสียจริง!”
ไป๋ชิวหรานเงยหน้ามองท้องฟ้าก่อนจะถอนหายใจ
“เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว!”
ซูเซียงเสวี่ยและเจียงหลานกล่าวพร้อมกัน
“ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นศิษย์และยังเป็นหลานชายของท่าน หากท่านไม่รวบรวมวิญญาณให้กับเขา แล้วผู้ใดจะกระทำเล่า?”