บทที่ 453 จักรพรรดิเซียนซู่หัวกลับชาติมาเกิด
บทที่ 453 จักรพรรดิเซียนซู่หัวกลับชาติมาเกิด
ริมฝั่งแม่น้ำแห่งความตาย เรือเหาะของแดนเซียนจอดที่ท่าเรือหลังจากได้รับการยืนยันตำแหน่งยมโลกแล้ว
ไป่ชิวหรานและพรรคพวกลงจากเรือ สิ่งแรกที่เห็นคือเชวียหลิงกำลังยืนรอเหล่าวิญญาณชั่วร้าย
เมื่อเห็นไป๋ชิวหราน เขาจึงเดินเข้ามาก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อม
“ท่านจักรพรรดิ…” ใบหน้าที่เงยขึ้นพลันเผยความเย็นชาและรังเกียจเดียดฉันท์อย่างไม่ปิดบัง “คนบาป!”
“ข้ามาแล้ว!” ไป๋ชิวหรานแตะริมฝีปากก่อนจะกล่าวว่า “ต่อหน้าเหล่าเซียน ช่วยรักษาหน้าข้าบ้างไม่ได้หรือไร?”
“ผู้นำสูงสุดแห่งยมโลกของเราคือองค์เหนือหัวจักรพรรดิภูตผี ไม่ใช่อาชญากรที่หลบหนีมานานกว่าหลายปี!” เชวียหลิงโค้งคำนับท้องฟ้าก่อนจะกล่าวต่อ “หากจะให้ข้าเล่นละคร ก็ช่วยแต่งองค์ทรงเครื่องให้พร้อมด้วย”
“เรื่องมากเสียจริง”
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองยมทูตตัวดี ก่อนจะหยิบหน้ากากทองสัมฤทธิ์ออกมาสวมใส่ หลังจากหันกลับมาอีกครั้ง… เขาก็กลายเป็นจักรพรรดิภูตผีในชุดคลุมดำปักลวดลายสีทองสง่างาม
เชวียหลิงถวายคำนับในทันที
“เคารพองค์จักรพรรดิภูตผี”
เมื่อเห็นเช่นนี้ โหรวเยว่หมิงที่อยู่ด้านข้างก็ชี้นิ้วไปหาเชวียหลิงพลางเอ่ยขึ้น
“เจ้าคือคนที่ซู่หัวเล่าว่า …เป็นผู้ยอดเยี่ยมรึ?”
เมื่อเชวียหลิงเห็นโหรวเยว่หมิง เขาก็ตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวคำอย่างลังเลว่า
“ฝ่าบาท หรือว่านี่จะเป็น… นางสนมคนใหม่ของจักรพรรดิ?”
“บอกว่านางคือสนมของจักรพรรดิก็ไม่ผิด แต่นางไม่ใช่สนมของจักรพรรดิภูตผี” ไป๋ชิวหรานส่ายศีรษะ “เคยได้ยินนามจักรพรรดิเซียนซู่หัวหรือไม่?”
“ข้าเคยเห็นชื่อนี้ในบันทึกของยมโลก”
เชวียหลิงพยักหน้า
“มีข่าวลือว่าก่อนยุคของจักรพรรดิเซียนอู่ฟาง หนึ่งในวีรบุรุษแห่งยุคคือศิษย์พี่ใหญ่ของจักรพรรดิเซียนองค์แรก และบางคนเปรียบเขาเทียบเท่ากับบรรพชนเซียน แต่ข้าคิดว่ามันอาจจะเป็นคำกล่าวเยินยอเกินจริงไป”
“ไม่เกินจริงหรอก”
ไป๋ชิวหรานส่ายศีรษะพร้อมกับมองไปยังท้องฟ้ามืดครึ้มแห่งยมโลก เมื่อนึกถึงยันต์และสิ่งที่จักรพรรดิเซียนซู่หัวสร้างขึ้นก็กล่าวต่อว่า
“จักรพรรดิเซียนซู่หัวเป็นวีรบุรุษ!”
เชวียหลิงชะงักเล็กน้อยยามมองจักรพรรดิภูตผี
จากนั้นเขาก็หันไปหาโหรวเยว่หมิง และโค้งคำนับนางด้วยความเคารพ
“เคารพท่านสนมจักรพรรดิ”
โหรวเยว่หมิงตกตะลึงครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายนางก็เลียนแบบอีกฝ่ายด้วยการโค้งคำนับให้เขา
“เคารพ… ผู้ยอดเยี่ยม?”
เชวียหลิงตื่นตระหนก ก่อนจะวิ่งหลบเลี่ยงการคารวะนั้น ไป๋ชิวหรานกล่าวกับหลานสะใภ้ของเขาว่า
“เจ้าไม่จำเป็นต้องทักทายเขาเช่นนั้น เพียงแค่พยักหน้าก็พอ”
“โอ้!”
โหรวเยว่หมิงพยักหน้าเร็ว ๆ รับราวกับเข้าใจ
อาจารย์อสูรสตรีผู้นี้มีท่าทีราวกับมนุษย์ และยังรู้จักแสดงความไร้เดียงสา บางครั้งไป๋ชิวหรานก็คิดว่าทั้งศิษย์และหลานชายของเขาต่างชื่นชอบสตรีเช่นนี้
เชวียหลิงนำทางไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ กลับสู่เมืองเฟิงตู
“องค์เหนือหัวจักรพรรดิภูตผีกลับมาแล้ว มีเรื่องสำคัญอันใดหรือไม่?”
“มีสองเรื่อง… ประการแรก ให้พวกเจ้าทั้งสามเชื่อมต่อสังสารวัฏแห่งการกลับชาติมาเกิดของยมโลกไปยังอีกด้านหนึ่งของกำแพงแห่งความตระหนักรู้โดยเร็วที่สุด!”
ไป๋ชิวหรานชูสองนิ้ว ก่อนจะงอนิ้วชี้ลง
“ประการที่สอง เมื่อข้าเข้าสู่วิหารจักรพรรดิภูตผี จักรพรรดิองค์นี้จะตัดสินใจการกระทำในชีวิตก่อนหน้าของจักรพรรดิเซียนซู่หัวเป็นการส่วนตัว แล้วจะส่งเข้าสู่สังสารวัฏแห่งการกลับชาติมาเกิดด้วยตนเอง”
“รับทราบแล้ว”
เชวียหลิงเดินนำไป๋ชิวหรานสู่พระราชวังจักรพรรดิภูตผี ก่อนจะทำเรื่องเปิดกำแพงแห่งจิตสำนึกที่อยู่ภายใต้สังสารวัฏออกอย่างเป็นทางการ
เมื่อพวกเขามาถึงวิหารจักรพรรดิภูตผี ราชานรกก็กำลังรออยู่แล้ว และเมื่อจักรพรรดิภูตผีและจักรพรรดินีมาถึง ศาลการตัดสินจึงเริ่มขึ้นทันที
ไป๋ชิวหรานปลดปล่อยวิญญาณของจักรพรรดิเซียนซู่หัว จากนั้นจึงขึ้นเป็นผู้นำในการพิจารณาคดี เนื่องจากความทรงจำของอีกฝ่ายได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง จักรพรรดิเซียนซู่หัวจึงไม่ตอบสนองกระบวนการใดทั้งสิ้น เพียงอยู่ในสภาวะหลับใหล
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
เมื่อไป๋ชิวหรานและสิบขุนนางของวิหารจักรพรรดิภูตผีเริ่มสอบปากคำจักรพรรดิเซียนซู่หัวเกี่ยวกับบุญบาปในชีวิตนี้ เห็นได้ว่าบุญของจักรพรรดิเซียนซู่หัวยิ่งใหญ่กว่าบาปชัดเจน
ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายของจักรพรรดิเซียนซู่หัว เขาจะได้กลับชาติมาเกิดในสังสารวัฏและอยู่ในภพภูมิที่ดี เขาถูกตัดสินให้เกิดใหม่เป็นเทพเจ้า ได้รับพรแห่งความสุขเป็นเวลาหมื่นปี
หากเป็นไปได้ ไป๋ชิวหรานอยากจะตัดสินให้จักรพรรดิเซียนซู่หัวกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม… ทั้งหมดนี้ต้องเป็นไปตามกระบวนการ ความสามารถและความทรงจำของจักรพรรดิเซียนซู่หัวจะต้องเข้าสู่สังสารวัฏหลายครั้งจึงจะสามารถฟื้นคืนทุกสิ่งให้กลับมาได้โดยสมบูรณ์
ดังนั้นจักรพรรดิเซียนซู่หัวจึงเข้าสู่สังสารวัฏแห่งการกลับชาติมาเกิดในสังสารวัฏหกวิถีสวรรค์และมนุษย์ เขากลายเป็นเทพเจ้ากลับชาติมาเกิด ใบหน้าราวมงกุฎหยก และหล่อเหลายิ่งนัก แต่เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับโง่เขลา
โชคดีที่จิตใจของเหล่าทวยเทพบริสุทธิ์ปราศจากความคิดชั่วร้าย ในฐานะเทพเจ้า เขาไม่ต้องกินดื่มเพื่อเอาชีวิตรอด ดังนั้นจักรพรรดิเซียนซู่หัวจึงไม่ต้องตายตกอีกครั้ง
ไป๋ชิวหรานเร่งเวลาของแดนเซียน ซึ่งในช่วงชีวิตนี้จักรพรรดิเซียนซู่หัวมีชีวิตอยู่หมื่นปี ในที่สุดเขาก็ตายตกอีกครั้ง และกลับลงมาจุติที่ยมโลก
เมื่อเขากลับมายังยมโลก จักรพรรดิภูตผีไป๋ชิวหรานตรวจสอบสภาพของจิตวิญญาณของจักรพรรดิเซียนซู่หัวเป็นการส่วนตัว และพบว่าความคิดของเขาเริ่มฟื้นตัวกลับมาเล็กน้อย
ดังนั้นจึงถูกตัดสินอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้ทำอะไรเลย ในชีวิตไม่มีทั้งบุญและบาป จักรพรรดิเซียนซู่หัวจึงถูกตัดสินให้กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์
จักรพรรดิเซียนซู่หัวที่สองเกิดมาพร้อมสภาวะสมองเสื่อม และถูกบิดามารดาทอดทิ้ง …ในไม่ช้าเขาก็อดอยาก และตายตกอยู่ในถิ่นทุรกันดารเมื่ออายุได้สี่ถึงห้าขวบ
จากนั้นก็ถูกส่งไปยังยมโลก และเข้าสู่สังสารวัฏครั้งที่สาม…
และครั้งที่สี่… วนไป…
ในทุก ๆ ชาติ จักรพรรดิเซียนซู่หัวผู้ทรงพลังกลายเป็นคนปัญญานิ่มที่ใช้ชีวิตอย่างอนาถ โหรวเยว่หมิงทุกข์ใจนักที่ต้องมองคนรักตนเป็นเช่นนี้ แม้แต่เจียงหลานและคนอื่น ๆ ยังไม่อาจอดทนมองได้ …แต่ไป๋ชิวหรานยังคงสงบนิ่ง
เมื่อสวรรค์ส่งความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่สู่มนุษย์ ขั้นแรกเขาต้องอดทนกับความทุกข์ทรมานและเจตจำนงแห่งวิถีสวรรค์ ต้องทำให้กล้ามเนื้อ กระดูก และร่างกายที่อดอาหารจนว่างเปล่า พร้อมชำระล้างทุกสิ่ง
ดุจวิหคที่ร่วงหล่นจากฟ้าและถูกเปลวเพลิงกลืนกิน จักรพรรดิเซียนซู่หัวต้องเกิดใหม่และเผชิญความทุกข์ยากในฐานะอาจารย์แล้ว ไป๋ชิวหรานคิดว่าอีกฝ่ายสามารถอดทนกับสิ่งเหล่านี้ได้
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นเสียทีเดียว ด้วยสังสารวัฏแห่งการกลับชาติมาเกิด ความสามารถในการคิดของจักรพรรดิเซียนซู่หัวค่อย ๆ ฟื้นคืนขึ้นมาในชีวิตที่ดี เขามีจิตสำนึกมากขึ้นและรู้วิธีเอาตัวรอด และในการเกิดใหม่ครั้งที่หก ดวงวิญญาณของเขาก็เริ่มมีความรู้สึก ครั้งที่แปดก็เริ่มพูด และในที่สุด หลังจากเข้าสู่สังสารวัฏครั้งที่สิบเอ็ด …ความสามารถในการคิดของจักรพรรดิเซียนซู่หัวจึงตื่นขึ้นอีกครั้งโดยสมบูรณ์
ไป๋ชิวหรานจึงส่งจักรพรรดิเซียนซู่หัวไปที่โลกวัตถุขนาดเล็กที่เขาเคยอาศัยตามคำขอของไป๋ลี่ เพื่อให้จักรพรรดิเซียนซู่หัวเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งในโลกใบนั้น
…
ห้าปีต่อมาในฤดูหนาว ภายในวิหารทรุดโทรมของหุบเขาที่ห่างไกลแห่งอาณาจักรต้าเซีย
เด็กชายตัวเล็กถูกห่อด้วยผ้าขาดรุ่งริ่งกำลังสั่นสะท้านจากอากาศหนาวเหน็บอยู่นอกวิหารท่ามกลางหิมะโปรยปราย
ริมผีปากของเขาเป็นสีม่วงคล้ำ สติพร่ามัว ร่างกายแข็งทื่อ และอุณหภูมิร่างกายก็ค่อย ๆ ลดต่ำลง
อาณาจักรต้าเซียแข็งแกร่งขึ้นหลังศรัทธาต่อเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานและเหล่าทวยเทพนางสนม แต่ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมมีด้านมืดปะปน บิดามารดาของเด็กน้อยเป็นผู้ขาดความรับผิดชอบอย่างชัดเจน พวกเขาเป็นเพียงขอทานเร่ร่อนไร้บ้านเท่านั้น
เมื่อเด็กน้อยรู้สึกว่าชีวิตของตนเองกำลังจะถึงจุดสิ้นสุด …ทันใดนั้นปรากฏลำแสงสว่างวาบบนท้องฟ้า
เผยให้เห็นชายหนุ่มรูปงามวัยยี่สิบปีผู้มีใบหน้าราวกับหยกกำลังร่อนลงมาจากนภา และหยุดยืนในวิหารที่ใกล้พังทลายแห่งนี้ สภาพแวดล้อมทั้งหมดพลันสดใสราวกับว่าถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เด็กน้อยแทบไม่สามารถลืมตามองเทพเจ้าได้ และไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะกล่าวคำพูดใด