บทที่ 481 สลักยันต์บนอนูปฐมภูมิ
บทที่ 481 สลักยันต์บนอนูปฐมภูมิ
อยากจะสร้างร่องรอยอันใดบนอณูปฐมภูมิเป็นเรื่องยากประดุจขึ้นสวรรค์
ต่อให้มีวิถีสวรรค์ใช้เสียงในจิตสำนักถ่ายทอดองค์ความรู้ให้โดยตรง ไป๋ชิวหรานก็ยังต้องใช้เวลาถึงสามวันเต็ม ๆ จึงสามารถขยับอณูปฐมภูมิอณูที่หนึ่งได้สำเร็จ กว่าจะทำให้มันเคลื่อนไหวได้ตามความคิดของตนเองได้
ขยับอณูปฐมภูมิถือเป็นเรื่องที่ยากมากถึงเพียงนี้แล้ว ต้องการจะสลักยันต์บนนั้น กระทั่งไป๋ชิวหรานผู้เป็นสวรรค์ริษยาขั้นหัวกะทิเช่นนี้แล้วก็ยังต้องใช้เวลาศึกษาเป็นเวลานาน
อย่างเร็วสุดก็หลายสิบปี …หากช้าหลายก็ร้อยปีเลยทีเดียว ไป๋ชิวหรานจึงจะสามารถเรียนรู้วิธีแกะสลักแบบนี้ได้อย่างช่ำชอง
อีกทั้งยังมีปัญหาอีกอย่าง นั่นก็คือระบบยันต์ที่จักรพรรดิ์เซียนซู่หัวประดิษฐ์ขึ้นไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้
ตอนที่จักรพรรดิเซียนซู่หัวสร้างระบบยันต์ขึ้น เขาคิดถึงแต่เพียงผิวนอกของร่างมนุษย์กับภายในของร่างมนุษย์เท่านั้น ดังนั้นถึงแม้จะประดิษฐ์ยันต์ออกมาเป็นหมื่น ๆ ตัวแล้วประกอบกันเป็นระบบขึ้นมาได้ จนผู้ฝึกตนสามารถสำเร็จลุล่วงไปถึงขั้นจักรพรรดิ์เซียนได้ แต่ทว่าอณูปฐมภูมิที่ประกอบกันเป็นร่างของคนมีมากมายเหลือคณานับ ทำเอาไป๋ชิวหรานมองว่ายันต์ที่จักรพรรดิ์เซียนซู่หัวประดิษฐ์ขึ้นเพียงสองหมื่นตัวนั้นไม่เพียงพอเลยสักนิด
เวลานี้เอง ภาพโครงสร้างอักษรเทพที่ตงหวงไท่อีทิ้งไว้ให้ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญมากของไป๋ชิวหราน
อักษรเทพแต่ละตัวล้วนเป็นตัวแทนของพลังใหญ่ในสวรรค์และโลก ด้านหนึ่งไป๋ชิวหรานพยายามแปลอักษรเทพที่บันทึกอยู่ในนั้น ส่วนอีกด้านหนึ่งสามารถประดิษฐ์ยันต์ใหม่ ๆ มาใช้
ไป๋ชิวหรานไม่เกรงกลัวความลำบาก ตรงกันข้าม เขายังหัวแข็งเหมือนเหล็ก เมื่อตัดสินใจในเรื่องใดไปแล้ว ต่อให้มีความหวังริบหรี่เลือนลาง เขาก็จะไม่หยุดยั้ง! คนอื่น ๆ หากเจอกำแพงที่ไม่มีทางไปต่อก็มักจะถอยหนี แต่เขากลับเดินชนจนกำแพงยุบแล้วไปต่อ!
ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะคิดวิธีการฝึกตนให้บรรลุขั้นสร้างรากฐานมาตลอดสามพันกว่าปี
เมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ของหุ่นกลที่แนวหน้าที่ยังไม่รู้ว่าจะมีท่าทีอย่างไรบ้าง แดนเซียนอาจต้องการให้เขาออกโรงเมื่อไหร่ก็ได้ ไป๋ชิวหรานจึงไม่ได้ทำการเก็บตัวฝึกตนในทันที เขาสร้างมิติหนึ่งขึ้นมาก่อน จากนั้นใช้วัตถุเวทย์เพิ่มความเร็วของกาลเวลาซึ่งสลักอยู่ด้านนอกแดนเซียน มาสลักลงบนมิติที่ตนเองสร้างขึ้น
ถัดมา …นอกจากเวลาที่ต้องให้เจียงหลาน ซูเซียงเสวี่ย กับถังรั่วเวยแล้ว เวลาส่วนอื่น ๆ เขาล้วนใช้ไปในมิตินี้และตั้งหน้าตั้งตาศึกษายันต์และการแกะสลัก
หนึ่งปีด้านนอกผ่านพ้นไป ทว่าในความเป็นจริงไป๋ชิวหรานอยู่ในมิติเป็นเวลาเจ็ดร้อยกว่าปีแล้ว!
ผลที่ได้ใช้เวลานานกว่าที่เขาคาดคะเนเอาไว้ แต่อย่างน้อยบรรพชนกระบี่ก็ช่ำชองในศาสตร์การแกะสลักอณูปฐมภูมิแล้ว ! และก็เป็นเพราะการเก็บตนฝึกตนในครั้งนี้ พลังปราณในตัวเขาจึงสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ตอนนี้อยู่ที่ประมาณเจ็ดส่วนครึ่งแล้ว ด้วยเหตุนี้ ไป๋ชิวหรานยังนำมาอวดพวกเจียงหลานกับถังรั่วเวยด้วยความดีใจ เข้าใจว่าตนเองเข้าสู่ชั้นที่สามของขั้นฐานว่างแล้ว ทว่ายังไม่แสดงออกมา
แต่หลังจากที่สลักยันต์ได้สำเร็จ ไป๋ชิวหรานพบว่ายังมีอีกหนึ่งปัญหา นั่นก็คือวิธีการแกะสลักนี้ยากมาก เทียบกับกระบวนวิชาสร้างอาจารย์อสูรแล้วยังยากกว่ามาก
ด้วยภูมิปัญญาในปัจจุบันของแดนเซียน ไม่สามารถจะทำการแกะสลักในระดับขั้นนี้ได้เลย ต่อให้ไป๋ชิวหรานบอกวิธีการแก่แดนเซียน ก็ไม่มีใครในแดนเซียนที่สามารถฝึกได้
ต่อให้ผ่านพ้นความยากลำบากอันยาวนาน ตอนนี้แม้กระทั่งขยับอณูปฐมภูมิ พวกเขาก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ!
ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้ง่ายขึ้นสำหรับพวกเขา ไป๋ชิวหรานจึงเปลี่ยนแนวคิด เขาเปลี่ยนระดับการแกะสลักยันต์จากอณูปฐมภูมิมาเป็นกลุ่มก้อนอณูปฐมภูมิ นอกจากนี้ยังประดิษฐ์ระบบยันต์ที่มีความง่ายขึ้นมา ให้พวกเซียนทั้งหลายทำการสลักแต่ละกลุ่มก้อนอณูปฐมภูมิบนร่างของตัวเอง ถึงแม้ทำเช่นนี้จะเป็นเรื่องยากเย็นอยู่ดี ทว่ายังคงมีความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จ
แต่ทว่าเขาก็ยังคงเก็บรักษาภูมิปัญญาแกะสลักยันต์บนอณูปฐมภูมิเอาไว้ โดยเก็บรักษาไว้ที่คลังคัมภีร์แดนเซียนหนึ่งชุดกับเก็บรักษาที่ยมโลกอีกหนึ่งชุด ทำเช่นนี้มีผลดีคือเมื่อภูมิปัญญาของแดนเซียนพัฒนาก้าวหน้าขึ้น มีภูมิปัญญาด้านการแกะสลักขนนาดเล็กที่ทันสมัยยิ่งขึ้น เหล่าเซียนก็จะสามารถทำการแกะสลักยันต์บนอณูปฐมภูมิได้
ถึงแม้ว่าจะถึงจุดนั้นได้อาจต้องสั่งสมพัฒนาการเป็นเวลาหลายหมื่นปีก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีความเป็นไปได้
อีกทั้งภูมิปัญญานี้ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการสร้างเรือรบและปราการสำคัญของแดนเซียนได้ เพิ่มพูนอานุภาพและกำลังการรบให้กับหุ่นกลสงคราม และยังสามารถใช้ได้กับวัตถุเครื่องมือพื้นฐานในชีวิตประจำวัน โดยเพิ่มพูนความสะดวกและความปลอดภัยให้กับเครื่องมือเหล่านั้น จนสามารถกล่าวได้ว่าเป็นภูมิปัญญาพื้นฐานที่มีคุณประโยชน์กว้างไกล
…
ณ ยมโลก ที่กองดูแลจัดการสังสารวัฏหกภพภูมิ ในห้องส่วนตัวของอาจารย์อสูร
ในฐานะเป็นสตรี หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่า อย่างน้อยวิญญาณก็เป็นสตรี ทว่าในห้องของอาจารย์อสูรนางนี้กลับไม่มีกลิ่นอายของความเป็นสตรีมากนัก
ห้องของนางมีขนาดใหญ่มาก ทว่ากลับมีวัสดุ อะไหล่ กับกระดาษภาพวาดที่วาดได้ครึ่งหนึ่ง หรือหุ่นกลที่ประกอบได้ครึ่งหนึ่งวางกองจนเต็มห้อง อาจารย์อสูรไม่ชอบเก็บกวาดมากนัก เวลาที่เจียงหลานมาหาก็จะทำหน้าที่เหมือนกับมารดาช่วยเก็บกวาดห้องให้ แต่ส่วนมากแล้วหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามของแดนผีท่านเป็นคนทำ เวลาพักผ่อนของนางมักจะมาหมกอยู่บนเตียงน้อยคับแคบและอับมืดในห้องที่มีข้าวของวางเกลื่อนกลาดห้องนี้ ประกอบหุ่นกลของตัวเองอยู่เงียบ ๆ
ทว่าตอนนี้ที่ว่างบนพื้นข้างเตียงน้อยตัวนั้น ไป๋ชิวหรานผู้แต่งตัวเป็นจักรพรรดิ์ผีกำลังนั่งเผชิญหน้ากับอาจารย์อสูรเพื่อถ่ายทอดพลัง
“จำได้หมดแล้วใช่หรือไม่?”
หลังจากที่ถ่ายทอดพลังเสร็จ ไป๋ชิวหรานถามอาจารย์อสูร
“จำได้แล้วเพคะ ฝ่าพระบาท”
อาจารย์อสูรน้อยที่ใส่ชุดกระโปรงโบราณสีดำนั่งขัดสมาธิฝั่งตรงข้ามกับไป๋ชิวหราน มองสีหน้าของหุ่นกลที่แสดงออกมาทางสีหน้าไม่ออก
ร่างที่เด็กหญิงนางนี้ใช้สำหรับพบปะพูดคุยกับภายนอกในตอนนี้ยังสูงไม่เท่าไป๋ซวี่เซียง แทบจะถือได้ว่าขนาดโตกว่าหุ่นจำลองก็ว่าได้
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
ไป๋ชิวหรานด้านหนึ่งพยักหน้า อีกด้านหนึ่งหยิบหุ่นกลออกมาจากห่อมิติ
หุ่นกลส่งประกายแสงสีทองรอบตัว ทว่ามองดูใบหน้ากับเค้าโครงร่างแล้วคืออาจารย์อสูรอย่างไม่ต้องสงสัย
“ข้าไหว้วานให้ช่างเซียนของโรงงานสวรรค์ทางนั้นใช้วัสดุที่ข้ามอบให้ทำร่างให้เจ้า เจ้านำกลับไปใช้… ข้าใช้ภูมิปัญญาการแกะสลักยันต์ขนาดจิ๋วที่ข้าคิดค้นออกมาใหม่กับร่าง ๆ นี้”
“เพื่อสร้างหุ่นกลตัวนี้ ชิวหรานไม่ได้พักผ่อนเลยเป็นเวลาสามวัน”
เจียงหลานผู้ที่แต่งตัวเป็นฮองเฮาจักรพรรดิ์นั่งอยู่บนเตียงตัวน้อย ครั้นพูดถึงตรงนี้ นางมองไปที่ไป๋ชิวหรานด้วยสายตาตัดพ้อต่อว่า จากนั้นจึงหันมายิ้มให้อาจารย์อสูร
“รีบรับไว้เสีย หุ่นน้อยนี่เป็นน้ำใจของจักรพรรดิ์ผีเชียว”
“ขอบพระทัยฝ่าพระบาทเพคะ”
อาจารย์อสูรรับมาแล้วทำท่าเบิกบาน ดูท่าแล้วคงดีใจอยู่บ้าง
“ไม่ต้องมากพิธี สำหรับซวี่เซียงแล้วเจ้าคือพี่สาว สำหรับข้ากับหลานเอ๋อร์แล้วก็เป็นเหมือนบุตรสาว”
ไป๋ชิวหรานลูบศรีษะขนาดเล็กของอาจารย์อสูร
“รีบไปลองร่างนี้ดูว่าพอดีตัวหรือไม่!”
อาจารย์อสูรพยักหน้าแล้วแยกวิญญาณหนึ่งออกมาสิงสถิตย์อยู่ในแท่นวิญญาณของหุ่นกลตนนี้ ผ่านไปสักครู่ หุ่นกลตนนี้ก็ลืมตาทั้งสองขึ้น และขยับมือขยับเท่าอยู่กับที่
“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
ไป๋ชิวหรานถาม
“ไม่อยากจะเชื่อเลยเพคะ!”
อาจารย์อสูรบังคับควบคุมหุ่นกลให้บีบฝ่ามือของตัวเอง พลางกล่าวพึมพัม
“รู้สึก เต็มไปด้วย… พลัง”
“สิ่งนี้แน่นอนอยู่แล้ว นี่เป็นหุ่นกลที่ข้าทำเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ”
ไป๋ชิวหรานรู้สึกภาคภูมิใจ
“ตั้งใจเรียนให้ดี เมื่อเจ้าเข้าใจภูมิปัญญานี้อย่างถ่องแท้ การจะก้าวขึ้นมาเป็นอาจารย์อสูรผู้แกร่งกล้าที่สุดในสามองค์ของแดนผีนั้นเป็นเรื่องแน่นอน ดังตอกตะปูปิดฝาโรง… เอ่อ เจ้าช่วยลดความกำแหงของเซวียหลิงอะไรนั่นให้ข้าด้วย”
“อ้อ! ข้าคิดว่าฝ่าพระบาททรงเสด็จมาถึงสังสารวัฎหกภพภูมิเพื่อเรื่องอันใดเสียอีก ที่แท้ก็มาเพราะเหตุนี้”
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น ม่านหมอกทะลักออกมาจากมุมผนังห้อง เงาของเซวียหลิงปรากฏท่ามกลางม่านหมอก ก่อนแสดงความเคารพต่อไป๋ชิวหรานกับเจียงหลาน
“ถวายบังคมฝ่าบาทและพระนาง หากว่าฝ่าพระบาทต้องการจะลดความกำแหงของข้า ทรงมีรับสั่งลงมาโดยตรงก็ได้! เซวียหลิงจะกำราบความกำแพงของตัวเองอย่างไม่มีบิดพริ้ว”
“ฮึ! แอบฟังผู้นำคุยกัน เซวียหลิง เจ้าช่างไม่รู้เลยว่าสิ่งใดควรไม่ควร”
“ที่ไหนได้พ่ะยะค่ะ! ฝ่าพระบาทกับพระนางมีความสามารถและรอบรู้ ข้าไม่เชื่อว่าฝ่าพระบาทกับพระนางไม่รู้สึกถึงการมาของข้า”
เซวียหลิงตอบ
ไป๋ชิวหรานไม่ตอบความ แต่กลับถาม
“มาหาพวกเราเพราะเหตุอันใด?มีเรื่องอันใดเช่นนั้นรึ?”
“มีทูตจากแดนเซียนลงมาพ่ะย่ะค่ะ เป็นทูตของจักรพรรดิ์เซียนเล่อเจิ้มเทียน เขานำข่าวเกี่ยวกับเรื่องภายในดินแดนแห่งความตระหนักรูมากราบทูลฝ่าพระบาท ตอนนี้รออยู่ที่ตำหนักจักรพรรดิ์ผีเพื่อรอเข้าเฝ้าฝ่าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ”