บทที่ 482 ใช้เก๋ากี่อย่างเดียวชะลอวัย คงไม่ไหวต้องเพิ่มโสมตังกุยด้วย
บทที่ 482 ใช้เก๋ากี่อย่างเดียวชะลอวัย คงไม่ไหวต้องเพิ่มโสมตังกุยด้วย
ครั้นบอกลาอาจารย์อสูรแล้ว ไป๋ชิวหรานก็รีบมาที่ตำหนักจักรพรรดิภูตผีเพื่อพบเซียนที่เล่อเจิ้นเทียนส่งมา
“กราบคารวะองค์บรรพชนเซียน”
เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มานั้นทราบถึงสถานะของไป๋ชิวหราน จึงรีบแสดงความเคารพ
ชายหนุ่มยกมือเป็นสัญลักษณ์เพื่อให้เขาลุกขึ้น จากนั้นรีบถามทันที
“สถานการณ์ด้านหน้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่สู้ดีนัก”
สีหน้าของเซียนดูแย่มาก
“คณะสำรวจที่พวกเราส่งออกไปพบว่า กองทัพหุ่นกลเหล่านั้นตั้งป้อมปราการสำคัญขึ้นบริเวณใกล้รอยแยกดินแดนแห่งความตระหนักรู้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังขยายกำลังออกไปเรื่อย ๆ กวาดล้างอสูรทั้งหมดที่พวกมันพบเจอ… ในคณะสำรวจมีสหายสองคนที่สามารถสร้างอาจารย์อสูรได้ อสูรของพวกเขาโชคไม่ดีจึงโดนหุ่นกลเหล่านั้นทำลาย หลังเจอการโจมตีของหุ่นกลเช่นนี้แล้ว ทั้งสองก็ตายตกไปแล้วขอรับ”
“…”
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดสักครู่จึงกล่าวถาม
“ร่างอาจารย์อสูรของพวกเขาถูกทำลาย หรือว่า…”
“ถูกฆ่าทั้งหมดเลยขอรับ”
เซียนตอบ
“ตอนแรก หุ่นกลเหล่านั้นเพียงแค่โจมตีแบ่งอาจารย์อสูรของพวกเขา แต่ต่อมา พวกมันก็พบว่าเป็นเพราะวิชาการสร้างอาจารย์อสูรของบรรพบุรุษเซียน ขอเพียงวิญญาณร่างไม่ดับสลาย ถ้าเช่นนั้นไม่ว่าอาจารย์อสูรของสหายทั้งสองท่านจะถูกทำลายไปกี่ครั้งก็ยังสามารถฟื้นกลับมามีชีวิตได้ในทะเลจิตสำนึก ขอเพียงร่างผู้ใช้ยังปลอดภัยดี หุ่นกลจะพยายามสังหารร่างอาจารย์อสูรไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นหุ่นกลจึงจัดการฆ่าพวกเขาทั้งสองทิ้ง”
“คนที่เหลือเล่า?”
“ไม่ได้ถูกฆ่า แต่พวกเขาถูกหุ่นกลจับตัวไป! มีเพียงสหายเซียนที่รู้วิชาหายตัวที่หนีออกมาได้ และนำข่าวนี้มากราบทูลต่อฝ่าบาท”
เซียนกล่าวตอบ
“เข้าใจแล้ว”
ไป๋ชิวหรานกล่าวตอบ
“ขอบใจสำหรับข่าวของเจ้า กลับไปแจ้งต่อจักรพรรดิเซียนเล่อเจิ้นเทียนด้วยว่า อีกสองวัน เมื่อข้าจัดการเรื่องราวที่ยมโลกเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะไปพบเขาที่แดนเซียน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
…
สองวันผ่านไป หลังจากที่จัดการกับเรื่องต่าง ๆ ในยมโลกเสร็จสิ้น ไป๋ชิวหรานมาที่แดนเซียนกลางเพียงลำพัง
อันดับแรก เขามอบภูมิปัญญายันต์ที่ตนเองศึกษาออกมาได้ให้กับบรรณารักษ์หอตำราเก็บรักษาไว้ที่วังเซียนส่วนกลาง จากนั้นก็ไปหาจักรพรรดิเซียนเล่อเจิ้นเทียนที่สวนดอกไม้วังหลัง
ขณะนั้นไป๋ชิวหรานพบเล่อเจิ้นเทียน จักรพรรดิเซียนองค์นี้กำลังหยอกเย้าพะเน้าพะนอกับสนมของตัวเอง พอเห็นว่าไป๋ชิวหรานมาถึง ก็รีบลุกขึ้นแสดงความเคารพด้วยความยินดี
ส่วนพระสนมนางนั้นของเล่อเจิ้นเทียนกลับแสดงความไม่พอใจอยู่บ้าง ทว่ายังคงแสดงความเคารพต่อไป๋ชิวหรานอย่างรู้มารยาท จากนั้นก็ถอยออกไป
“ชีวิตช่างหรรษาเสียหลือเกินนะ เจ้าน่ะ!”
ไป๋ชิวหรานเดินไปนั่งที่เก้าอี้หินฝั่งตรงข้ามกับเขา
“เมื่อก่อนโม่เฉินบอกข้าว่าเจ้าคล้ายอาจารย์ของเจ้าที่สุด ข้ายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ตอนนี้ได้เห็นเช่นนี้แล้ว… เจ้ากับเขาเหมือนกับถอดออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน!”
“ท่านบรรพชนกระบี่ล้อเล่นแล้ว เราอยู่อย่างนิ่งนอนใจเสียเมื่อไร?”
ไม่รู้ว่าเล่อเจิ้นเทียนนึกถึงอาจารย์ผู้น่าสงสารของตัวเองขึ้นมาหรืออย่างไร เขาทอดถอนใจพลางกล่าวว่า
“อันคนเราเมื่อถึงวัย ต้องใส่ใจดื่มน้ำแช่เก๋ากี่*[1]”
“ใช้เก๋ากี่อย่างเดียวชะลอวัย คงไม่ไหวต้องเพิ่มโสมตังกุยด้วย!”
ไป๋ชิวหรานกล่าวตอบทันใดโดยสัญชาตญาณ จากนั้นก็กระแอมขึ้นมาทีหนึ่งระหว่างที่เล่อเจิ้นเทียนทำสายตาพิศวง พลางถามต่อ
“ข้าได้ยินมาว่าคณะสำรวจที่เจ้าส่งออกไปถูกฆ่าตายไปสองคน ส่วนคนที่เหลือถูกจับตัวกันหมด เจ้าคิดจะทำเช่นใดต่อ?”
“เราก็กำลังคิดหาวิธีช่วยพวกเขาอยู่”
พูดถึงตรงนี้ขึ้นมา เล่อเจิ้นเทียนรู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาบ้าง
“แต่ได้ยินผู้กล้าที่หนีกลับมาได้คนนั้นบอกว่า หลังจากที่จับตัวพวกเขาได้ ดูเหมือนว่าหุ่นกลเหล่านั้นเตรียมจะอพยพพวกเขาไปขังที่โลกมิติอีกฝั่งของกำแพงแห่งความตระหนักรู้ แต่ว่าพวกเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่ตรงนั้นเลย”
พูดจบ จักรพรรดิเซียนกลางพระองค์นี้ก็ชายตามองไปยังไป๋ชิวหรานอย่างมีเลิศนัย
“เด็กพวกนั้น…”
ไป๋ชิวหรานดุด้วยรอยยิ้ม
“ทีกับข้าใช้วิธีอ้อมค้อม…ก็ได้! อันที่จริงข้าก็อยากจะดูเช่นกันว่าโลกวัตถุอารยธรรมของพวกหุ่นกลกลุ่มนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการก็แล้วกัน…แต่ ข้าไม่อาจรับรองได้ว่าจะสามารถช่วยพวกเขากลับมาได้โดยสมบูรณ์”
เล่อเจิ้นเทียนได้ยินรีบกล่าวตอบ
“ขอเพียงบรรพชนกระบี่ยอมไปก็ถือเป็นเรื่องดีมากแล้ว แดนเซียนในตอนนี้ต้องบุกเบิกพัฒนา คนขาดแคลน และเราก็หาคนที่ทำได้ดีกว่าบรรพชนไม่เจออีกแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นข้าไปเตรียมตัวก่อน”
ไป๋ชิวหรานกล่าวกับเขา
“ระยะนี้ข้าประดิษฐ์ของใหม่ ๆ ออกมา ส่งไปที่หอเก็บรักษาแล้ว เมื่อใดที่เจ้ามีเวลาก็จัดช่างเซียนของโรงงานสวรรค์ไปศึกษาเรียนรู้กันหน่อย นำภูมิปัญญาใหม่ ๆ เหล่านั้นไปใช้กับการสร้างเรือรบและปราการสำคัญ”
“เราทราบแล้ว”
…
หลังจากแวะไปดูแลบุตรสาวและซื้อของอร่อยให้นาง ไป๋ชิวหรานก็กลับบ้าน ตั้งใจจะไปเตรียมเก็บข้าวของสัมภาระเพื่อไปฝั่งตรงข้าม ปรากฏว่าพอเข้าประตูบ้านก็เห็นถังรั่วเวยนอนอาบแดดอยู่ในสวนราวกับปลาเค็ม
ไม่รู้ว่าแม่นางคนนี้ไปเอาที่นอนที่ทำมาจากหนังเสือมาจากไหน นางเอนกายอยู่กลางสวนและหลับไปแล้ว แสงแดดหลังเที่ยงส่องไปที่ตัวนาง ดูแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่น ดูน่าสบายยิ่งนัก
หลังจากที่สลัดทรวงอกกระดานไปได้แล้ว รูปร่างสัดส่วนของแม่นางคนนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างสะโอดสะองเสียเหลือเกิน ถึงแม้ท่าทางในตอนนี้ของนางจะไม่งดงามนัก ดูคล้ายกับปลาเค็มตัวหนึ่ง แต่มีคำพูดประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า ต่อให้หญิงงามแคะขี้มูกก็ยังสวยกว่าคนอื่นเป็นไหน ๆ
ในฐานะที่ถังรั่วเวยเป็นองค์หญิงของรัฐซ่างเสวียนและยังเป็นผู้ฝึกตน ดูจากราศีรูปหน้าแล้วย่อมไม่มีที่ติเป็นธรรมดา เพียงแต่ว่านางขลุกอยู่กับไป๋ชิวหรานเป็นเวลานาน พอนานวันเข้าอากัปกิริยาของนางจึงขาดความเป็นหญิง ในทางกลับกัน… นางยิ่งมีท่าทางกวนบาทาคล้ายไป๋ชิวหรานขึ้นทุกวัน
แม้กระทั่งสหายรักของนางที่ถูกผู้ฝึกตนคนรุ่นใหม่ตั้งสมญานามว่าจั่วเหยียนเฟยในร่างหญิง หลังจากที่ถอดชุดเกราะเผยให้เห็นรูปร่างแล้ว อากัปกิริยาก็ยังมีความเป็นหญิงยิ่งกว่าถังรั่วเวย
ทว่าตอนนี้ เมื่อแม่นางนอนหลับอย่างสงบ กลับผุดผาดเสน่ห์ความเป็นหญิงขึ้นมา
“มีเวลามานอนกลางวัน เหตุใดจึงไม่ไปฝึกตน”
ไป๋ชิวหรานมองดูแม่นางน้อยหลับใหลแล้วรู้สึกเจ็บใจที่ถังรั่วเวยไม่ขยันหมั่นเพียร
คล้ายกับคนที่ไม่สามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้กำลังมองดูคนที่มีคุณสมบัติมัวแต่เสียเวลาร่ำไรอย่างไรอย่างนั้น ทั้งร้อนใจ ทั้งโมโห และแค้นเคือง
แต่เมื่อนึกถึงขั้นที่ถังรั่วเวยสามารถบรรลุความปรารถนาแล้ว ไป๋ชิวหรานก็รู้สึกละเหี่ยใจขึ้นมา พูดกันตามลำดับขั้นแล้ว ไป๋ชิวหรานไม่อาจจะชี้นิ้วว่ากล่าวสั่งสอนถังรั่วเวยได้อีก… ถึงแม้เขาจะเป็นคนสร้างลำดับขั้นเหล่านี้ขึ้นมาก็ตาม!
เขามองดูสักครู่ เห็นของเหลวใสสว่างที่มุมปากของสาวน้อยไหลย้อยออกมา ไหลไปจนถึงซอกคอจนเปียกเลอะคอเสื้อ
“นอนก็ไม่เป็นท่า ยืนก็ไม่เป็นท่า ฝึกตนก็ไม่มีท่าทางของผู้ฝึกตน…”
เขาเอื้อมมือออกมา ช่วยเช็ดริมฝีปากกับใบหน้าของศิษย์ตัวเองที่เลอะด้วยน้ำลายจนสะอาด จากนั้นเลื่อนมือขึ้นไปจับติ่งหูสวยของนาง
เขาดึงจนถังรั่วเวยกระโดดลุกขึ้นจากเบาะนอนด้วยความเจ็บปวด
“ทำอะไร? ท่านอาจารย์?”
สาวน้อยกุมหูที่เจ็บปวดของตัวเองด้วยอาการงัวเงีย แต่ปากก็ยังคงดีอยู่
“ข้าเห็นเจ้าเหมือนจะว่างมาก”
ไป๋ชิวหรานจ้องนาง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ …สู้ไปกับข้าจะดีกว่า!”
[1] โกจิเบอร์รี