ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 525 การทะเลาะกับเจ้าเป็นเพียงการถ่วงเวลา

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 525 การทะเลาะกับเจ้าเป็นเพียงการถ่วงเวลา

บทที่ 525 การทะเลาะกับเจ้าเป็นเพียงการถ่วงเวลา

ไป๋ชิวหรานไม่ได้กังวลหรือรีบร้อนอะไร เขารับฟังคำพูดของมหาเทพหุ่นกลอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะถามกลับด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าคิดว่าข้ามาทีนี่เพื่อค้นหาร่างกายที่แท้จริงของเจ้าหรือ? ข้าไม่ได้โง่เขลาเพียงนั้น”

ขณะที่โยนกล่องหยกไปมา เขาปลดผนึกมันอย่างลวก ๆ ก่อนจะทุบร่างหุ่นกลขุนนางอาวุโสลงบนพื้นดาวเคราะห์ดวงนั้นแล้วพูดต่อ

“จักรพรรดิเซียนซู่หัวเป็นผู้ให้กำเนิดเจ้า เขาเป็นศิษย์หลาน*[1] เราอยู่ในเขตแดนจิตสำนึกร่วมกัน ภรรยาหม้ายของเขายอมรับผลการทดลองทั้งหมดของเขา ซึ่งในฐานะปรมาจารย์ ข้ารู้สึกสนใจศิษย์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ไม่น้อย เอาล่ะ หลังจากที่ข้าได้ค้นคว้าเรื่องของเขาแล้ว ข้าจึงเข้าใจว่าเขาทิ้งสิ่งใดเอาไว้เบื้องหลังบ้าง มหาเทพหุ่นกล ร่างชีวิตของเจ้า และรูปแบบชีวิตของเจ้าที่ถูกพัฒนาก่อนหน้านี้ ข้าพยายามค้นหาข้อสรุปมากมาย ดังนั้นหลังจากต่อสู้กับข้ามาสองครั้ง เจ้าคิดว่าข้าจะออกแรงต่อสู้กับเจ้าโดยเปล่าประโยชน์งั้นหรือ?”

กล่องหยกมหาเทพหุ่นกลถูกโยนไปมาในมือ มันไม่ได้กล่าวโต้ตอบใด

“หากข้าต้องการจัดการกับเจ้า ข้าก็แค่ต้องหาประตูชีพจรของเจ้าให้เจอ… ข้าคิดว่าสำหรับตัวเจ้าแล้ว มันควรจะเป็นอะไรสักอย่างที่เชื่อมต่อกับเจตจำนงของเจ้า อาจจะเป็นเพียงสายใยเส้นเดียวที่เชื่อมโยงไปถึงแก่นใหญ่ก็เพียงพอแล้ว ส่วนหนวดของเจ้าจะมีมากมายเพียงใดนั้นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องรู้”

ไป๋ชิวหรานกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

“หากข้าไม่ได้เข้าตรวจสอบราชสำนักหุ่นกลมาก่อน และพบว่าเจ้าส่งทุกสิ่งอย่างออกจากสถานที่แห่งนั้นแล้ว เช่นนั้นก็สมควรแก่เวลาที่เจ้าต้องตายตกไปเสียที”

“เจ้า…”

ในที่สุดมหาเทพหุ่นกลก็เอ่ยปาก

“เจ้าต้องการทำสิ่งใดกับข้า?”

“ทำสิ่งใด? ข้าคิดว่าสถานะปัจจุบันของเจ้าสำหรับข้าแล้ว เป็นเพียงมหาเทพหุ่นกลที่พังทลายมากกว่ามหาเทพหุ่นกลที่โหดเหี้ยมไร้หัวใจ”

ไป๋ชิวหรานกล่าวตอบ

“เพราะว่าเป็นกลไกที่พังแล้ว ย่อมต้องถูกซ่อมแซมเป็นธรรมดา… และวิธีการซ่อมที่ง่ายที่สุดคือการเริ่มใหม่อีกครั้ง!”

บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง เกิดเสียงกึกก้องจากสถานที่ที่หุ่นกลขุนนางอาวุโสถูกผนึก และหุ่นกลของกองกำลังใหญ่ทั้งห้าที่กำลังต่อสู้ในสนามรบกับกองทัพเซียนด้านหน้าของเขตแดนจิตสำนึก เมื่อเวลาผ่านไปสนามรบแห่งนี้ยิ่งมีเพียงความเดือดพล่านที่เพิ่มขึ้น

ณ ใจกลางราชสำนักหุ่นกล มหาเทพหุ่นกลถูกไป๋ชิวหรานผนึกเอาไว้กำลังสบฟันแน่น มันปลดปล่อยคลื่นเสียงโดยตั้งใจจะทำลายการผนึกคราวเดียว

แต่ทันใดนั้น เท้าขนาดใหญ่เหยียบใบหน้าของมันเอาไว้ทันที! ก่อนจะค่อย ๆ บดขยี้ปากของมัน!

“หยุดแหกปากได้แล้ว! ข้ารำคาญ!”

ถังรั่วเวยตะโกนเสียงดังอย่างหมดความอดทน

ในขณะเดียวกัน ไป๋ชิวหรานทราบถึงเปลี่ยนแปลงของหุ่นกลอาวุโส จึงกล่าวกับมหาเทพหุ่นกลว่า

“ไม่ต้องดิ้นรน… ตอนที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่ ข้าฉีด ‘พิษพินิจความคิด’ เข้าสู่จิตสำนึกเจ้าแล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไรแม้เจ้าจะตัดเจตจำนงของตนเอง ข้าก็แค่จงใจทะเลาะกับเจ้าสักหน่อยเพื่อถ่วงเวลาให้พิษแพร่กระจายไป อ่า ตอนนี้สติสัมปชัญญะของเจ้าน่าจะกำลังถูกกัดเซาะอยู่ใช่ไหม?”

คลื่นจิตสำนึกรุนแรงปะทุออกจากกล่องหยก แต่มันไม่สามารถกล่าวถ้อยคำที่สมบูรณ์ได้ในเวลานี้

“อย่าได้กังวล หลังจากเจ้าตาย มหาเทพหุ่นกลที่ยอดเยี่ยมกว่า และใจดีกว่าเดิมจะถือกำเนิดขึ้นจากซากปรักหักพังของจิตสำนึกเจ้า ข้าจะเป็นคนให้กำเนิดเขาเอง และเขาจะได้รับมรดกของเจ้าทั้งหมด โลกใบนี้ย่อมน่าอยู่ขึ้นมาก… โอ๊ะ เช่นนั้นคงไม่ถูกนัก”

ไป๋ชิวหรานลูบคางก่อนจะไตร่ตรอง

“เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นผู้ร้าย แล้วทำไมตอนนี้ข้าจึงดูเลวร้ายล่ะ?”

“อาจเป็นเพราะเจ้าแข็งแกร่งเกินไป…”

หงหลิงควบคุมหุ่นกลจักรพรรดิเข้ามาใกล้ ดวงตาของมันจับจ้องกล่องหยกใบเล็กบนมือไป๋ชิวหรานพร้อมถามว่า

“มหาเทพหุ่นกล… ตายแล้วจริงหรือ?”

“ตายแล้ว อย่างน้อยมหาเทพหุ่นกลที่เป็นศัตรูกับพวกเจ้าก็ตายตกไปแล้ว”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้า

“แน่นอนว่าราชสำนักหุ่นกลจะต้องสร้างมหาเทพหุ่นกลองค์ใหม่เพื่อรวมเป็นหนึ่ง และข้าจะจัดการใช้โซ่ตรวนความคิดเพื่อผูกกลไกใหม่นี้ให้แน่นหนากว่าเดิม”

“ราวกับฝันไป…”

หงหลิงไตร่ตรองเป็นเวลานานก่อนจะหัวเราะออกมาและกล่าวว่า

“ข้าไม่คิดมาก่อนว่าศัตรูที่ขับไล่เผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนในอาณาจักรของเราจะตายตกง่ายดายเช่นนี้”

“ง่ายงั้นหรือ?”

ไป๋ชิวหรานไตร่ตรอง

“ผู้ที่ให้กำเนิดมหาเทพหุ่นกลนี้เป็นผู้พิทักษ์แนวหน้าของแดนเซียน และที่ปรึกษาของมันยังอยู่ที่ราชสำนักหุ่นกล ตอนนี้ศิษย์ของข้าเฝ้ามันอยู่ ข้าจะลองปล่อยให้เจ้ากลับไปจัดการกับมันดู อย่างไรแล้ว การจัดการกับมหาเทพหุ่นกลนั้นไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด”

“ไม่จำเป็น”

หงหลิงรีบกล่าวปฏิเสธ ก่อนจะหันมองใบหน้าของไป๋ชิวหรานและกล่าวเสริม

“อย่างไรแล้วทุกสิ่งเป็นเพราะการทำงานหนักของท่าน”

“กลับกันเถอะ”

ก่อนจากไป ไป๋ชิวหรานเหลือบมองโลกเบื้องล่าง บางทีหุ่นกลจักรพรรดิอาจมีร่างกายใหญ่โตเกินไป และพลังแห่งยันต์บนร่างกายเขาเพิ่งฟื้นฟูหลังจากต่อสู้เสร็จสิ้น เวลานี้ลำแสงเจิดจ้าเปล่งประกายออกจากร่างกายนั้น และลำแสงทั้งหมดจึงทะลุผ่านชั้นบรรยากาศของโลกแห่งสิ่งมีชีวิตชาญฉลาดเหล่านี้ทำให้พวกเขามองเห็นร่างใหญ่ของหุ่นกลขนาดยักษ์ได้ง่ายดาย

บางทีในอนาคตอันใกล้ หุ่นกลจักรพรรดิที่ถูกควบคุมโดยหงหลิงน่าจะกลายเป็นที่บูชาของสิ่งมีชีวิตภายในอารยธรรมของโลกใบนี้

แต่ไป๋ชิวหรานไม่ตั้งใจจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว เขาเพียงมองดู และหลังจากเห็นว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ยังไม่ตายตกหมดสิ้น เขาจึงเปิดรอยแยกมิติพร้อมกับทิ้งโลกใบนี้ไว้กับหุ่นกลจักรพรรดิ

หนึ่งคนกับหุ่นกลหนึ่งตัวเดินทางกลับไปตามสายธารแห่งความว่างเปล่า เพื่อที่จะคอยดูแลหุ่นกลจักรพรรดิของหงหลิง ไป๋ชิวหรานจึงต้องชะลอความเร็วลงมาก

หลังจากผ่านไปครึ่งทาง หงหลิงอดไม่ได้ที่จะถาม

“ข้าขอถามได้หรือไม่ ท่านรับประกันได้หรือว่ามหาเทพหุ่นกลที่จะถือกำเนิดขึ้นใหม่จะไม่กลายเป็นเหมือนมหาเทพหุ่นกลตัวเก่า?”

“ไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน!”

ไป๋ชิวหรานกล่าวตอบ

“ข้าไม่เหมือนกับศิษย์หลานของข้า ข้ายังไม่ตาย และแข็งแรงดี… ถึงข้าจะมีชีวิตมานานนับพันปี แต่กระดูกของข้ายังแข็งแรงอยู่”

“แต่ไม่ว่าท่านจะแข็งแกร่งเพียงใด ท่านก็ยังมีเนื้อหนัง สิ่งมีชีวิตที่มีสติสัมปชัญญะเช่นมหาเทพหุ่นกลย่อมมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าท่านโดยธรรมชาติ”

หงหลิงกล่าวออกอย่างเป็นห่วง

“ยิ่งไม่ต้องกังวล ข้าพัฒนาร่างกายจนถึงขั้นที่ข้าดูแลตนเองได้แล้ว!”

ไป๋ชิวหรานตอบด้วยรอยยิ้ม

“อย่ากังวล ข้าไม่ยอมตายก่อนมันแน่นอน เป้าหมายในชีวิตข้ายังห่างไกลกับคำว่าสำเร็จมากนัก”

เวลานี้ไป๋ชิวหรานมาที่ราชสำนักหุ่นกลเพื่อรับถังรั่วเวย จากนั้นจึงพานางไปกล่าวอำลากับทุกคนในนครสรวงสวรรค์ในฟองอากาศ

หลังจากที่เจตจำนงของมหาเทพหุ่นกลตายตก หุ่นกลในสนามรบก็กลายเป็นหยุดนิ่ง พวกมันถูกเหล่าเซียนทั้งหมดมัดรวมเป็นก้อนไว้ราวกับลูกแก้ว ก่อนจะถูกลากมากองไว้รวมกัน

หลังจากไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวยกล่าวลาคนในนครสรวงสวรรค์ในฟองอากาศเสร็จแล้ว พวกเขาจึงเดินทางกลับสู่กำแพงแห่งความตระหนักรู้ หลังจากออกจากบ้านมาเป็นเวลานาน เมื่อต้องอยู่ในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้… ไป๋ชิวหรานต้องยอมรับเลยว่าตัวเขาคิดถึงภรรยาและบุตรสาวมากจริง ๆ

เมื่อเขาและถังรั่วเวยเข้าใกล้กำแพงแห่งความตระหนักรู้ จึงได้ทราบว่าเหล่าเซียนเก็บกวาดเรือขนส่งกลไกในสายธารแห่งความว่างเปล่าเสร็จสิ้นแล้ว

ผู้นำของเหล่าเซียนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในทีมที่เขาบุกไปช่วยเหลือ เมื่ออีกฝ่ายได้พบไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวย เขารีบโค้งคำนับทันที

ไป๋ชิวหรานบอกลาพวกเขาพร้อมกับมุ่งหน้าสู่รอยแตกของกำแพงแห่งความตระหนักรู้ และในเวลานี้เอง

เขารู้สึกถึงจิตสำนึกใหม่ที่เริ่มก่อเกิดเป็นรูปร่างขึ้น ภายในกล่องหยกบนฝ่ามือ…

[1] ลูกศิษย์ของลูกศิษย์

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท