ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 527 ชีวประวัติของจักรพรรดิเซียนซู่หัว

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 527 ชีวประวัติของจักรพรรดิเซียนซู่หัว

บทที่ 527 ชีวประวัติของจักรพรรดิเซียนซู่หัว

หลังจากเสร็จสิ้นกับเรื่องราวของราชสำนักหุ่นกลแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงกลับบ้าน

จากนั้นในยามเช้าที่แสนสบาย ไป๋ชิวหรานได้รับจดหมายจากจักรพรรดิเซียนองค์แรกไป๋ลี่

จดหมายดังกล่าวถูกนำมาโดยเซียนหงเฉิน หลังจากได้รับแล้วไป๋ชิวหรานเปิดซองจดหมายเพื่ออ่านในทันที

“ท่านอาจารย์ ลองคาดเดาดูว่าท่านจะเชื่อข้าหรือไม่

“เมื่อวันก่อน… ข้าตกใจมากที่ได้ทราบข่าวว่าท่านอาจารย์ยึดครองราชสำนักหุ่นกลสำเร็จ กล่าวถึงหุ่นกล ข้าอดไม่ได้ที่จะเตือนผู้คนให้นึกถึงศิษย์โง่เขลาของข้าที่มันสร้างหุ่นกลขึ้นมา”

“ในคราวแรกเขาสร้างหุ่นกลเพื่อประโยชน์ของโลกเซียน… เพื่อช่วยเรากำจัดอาจารย์อสูร แต่เมื่อข้ามาถึงแดนเซียนกลาง ข้าพบว่ามีเหล่าเซียนมากมายกำลังเขียนคำยกยอต่อเขา หลายคนได้อ่านและนั่งหัวเราะกับมัน ส่วนข้าไม่อาจหัวเราะได้พร้อมทั้งน้ำตาไหลท่วมท้องของตน ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ‘ชีวประวัติของจักรพรรดิเซียนซู่หัว’ ถูกเซียนกลางเขียนขึ้นมาโดยแดนและแดนเซียนทางทิศเหนือจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมของโลกเซียนและตัวข้าเอง หวังว่าท่านอาจารย์จะเข้าใจ ข้าจึงอยากมีหนังสือของตนเองบ้าง”

“เขาเขียนสิ่งใด?”

หลังจากผ่านจบ ไป๋ชิวหรานเผาจดหมายด้วยความสับสนก่อนจะหันมองเซียนหงเฉินผู้ส่งจดหมาย

“ทำไมเด็กคนนั้นจึงต้องการทำเช่นนี้ เขายังอยากจะเป็นผู้โด่งดังอยู่หรือไร?”

“น่าจะเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบขอรับ”

เซียนหงเฉินกล่าวเสียงแผ่ว

“ทันทีที่อาจารย์ขึ้นสู่สวรรค์ อาจารย์และภรรยาขอให้ศิษย์พี่รองจัดเตรียมบุคคลเพื่อเชิญท่านอาจารย์กลับไปอาศัยอยู่ในพระราชวังที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเขา แต่… ท่านทราบหรือไม่ว่าอาจารย์ต้องการใช้ข้ออ้างบางอย่างเพื่ออยู่ในแดนสวรรค์อื่น และไม่คิดจะกลับไป จึงมีบางสิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีบางคนจากอาณาจักรอื่นมาทำชีวประวัติของศิษย์พี่รอง ท่านอาจารย์จึงคิดอยู่ในแดนสวรรค์ทิศเหนือเพื่อกระทำสิ่งเหล่านั้น…”

“ดีนัก…”

ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามอีกครั้ง

“แล้วผู้ใดในโลกเซียนที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับซู่หัว?”

“กลุ่มเซียนผู้มีจิตใจสูงส่ง แต่คนหนุ่มสาวคิดว่าตนเองจะสามารถแทนเขาได้… แต่กลับไม่เคยมีประสบการณ์ในยุคนั้น และพวกเขาก็เชื่อทันทีที่ถูกคนอื่นหลอกลวง”

เซียนหงเฉินส่ายศีรษะ

“ข้าทราบว่าศิษย์พี่รองชื่นชมศิษย์พี่ใหญ่มาก หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ศิษย์พี่ใหญ่เชิญผู้คนเข้าสู่พระราชวังเซียนกลางเพื่อพูดคุยและสั่งสอนด้วยตนเอง… ไม่จำเป็นต้องมีท่านอาจารย์คอยชี้นำอีกแล้ว แต่ท่านอาจารย์เพียงแค่ไม่ต้องการกลับไป”

“เจ้าเด็กคนนี้”

ไป๋ชิวหรานหัวเราะพร้อมกล่าวต่อ

“เป็นที่ชัดเจนในวันนี้ ปัญหาทุกสิ่งที่เกิดล้วนแต่เป็นเพราะเขาไม่อาจควบคุมน้องชายคนเล็กของตนได้”

“ท่านอาจารย์เก่งกาจนัก แต่กลับเจ้าชู้ไม่เบา ในสมัยโบราณ มนุษย์มีจำนวนน้อยนัก แถมยังอายุสั้นแล้วตายตกง่ายดาย จึงต้องสืบพันธุ์บ่อยครั้ง แต่หากในวันนี้เราใช้ชีวิตเช่นเดิม เราคงทำได้เพียงช่วงชีวิตเดียว หลังจากนั้นคงไร้ซึ่งอารมณ์แล้ว”

เซียนหงเฉินส่ายศีรษะเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิดก่อนจะเอนตัวไปกระซิบแผ่วเบากับไป๋ชิวหราน

“ข้ามีบางสิ่งต้องบอกกล่าวกับท่าน อย่าได้กล่าวมันกับท่านอาจารย์ข้าเชียว ในช่วงหลายร้อยปีที่ท่านอาจารย์ได้กลับชาติมาเกิดใหม่ในโลกวัตถุแห่งความตระหนักรู้ และขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลก ดูเหมือนว่าเขาจะมีสตรีข้างกายอีกสองถึงสามคน”

“เหลือเชื่อจริง ๆ!”

ไป๋ชิวหรานถอนหายใจอย่างชื่นชม

“เขาอาจไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกตายคาอก…”

“ข้าบังเอิญได้พบกับท่านอาจารย์ ดังนั้นเขาจึงฝากจดหมายนี้มากับข้าให้ส่งถึงท่าน ท่านอาจารย์ข้าได้ยินเขาคุยกับใครบางคนว่าอาจารย์และภรรยาของเขากำลังจะบุกเข้าจับกุมเขา ดังนั้นท่านอาจารย์จึงอยากขอให้ท่านไปช่วยชีวิต… อย่างไรแล้วหากมีท่านเป็นอาวุโสอยู่ใกล้ ๆ คนเหล่านั้นจะไม่กล้าหาญเกินไปนัก”

เซียนหงเฉินกล่าว

“ท่านอาจารย์จะไปหรือไม่ขอรับ?”

“อ่า ย่อมได้ ตอนนี้เซียงเสวี่ยมอบตำแหน่งผู้ประจำการให้เหมยเฉียวดูแลแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่จะให้พวกเขาออกไปข้างนอกชั่วคราว”

ไป๋ชิวหรานคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า

“อีกอย่าง เด็กคนนี้ไร้เดียงสาเสียจริง ข้าคิดว่าหลังจากที่ข้าไปแล้วภรรยาทั้งหมดของเขาจะเลิกก่อกวนงั้นหรือ? พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน และเป็นเรื่องปกติที่ชายหญิงจะหมกมุ่นซึ่งกันและกัน ในฐานะอาวุโส ข้าไม่สามารถเข้าไปจุ้นจ้านเรื่องในครอบครัวผู้ใดได้ ทุกสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติ”

“ท่านอาจารย์ นี่คือฟางเส้นสุดท้ายที่เขาคาดหวัง เพราะสุดท้ายแล้วเขาย่อมรู้ชัดเจน”

เซียนหงเฉินครุ่นคิดก่อนจะกล่าวต่อ

  

“ว่าแต่วันนี้ข้าต้องขอแสดงความยินดีกับท่านอาจารย์ด้วย ภรรยาที่สองของท่านคงมีความสุขนัก ไม่ทราบว่าเด็กน้อยที่จะมาเติมเต็มในครอบครัวเป็นชายหรือหญิง?”

“เป็นชาย”

ไป๋ชิวหรานคล้ายไม่พอใจ แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความสุข

“แม้ข้าจะชอบบุตรสาวมากกว่า แต่ก็ต้องขอบคุณเขาแล้ว เวลานี้ภาระของเซียงเสวี่ยในฐานะประมุกก็เบาบางลง และหลังจากนี้ซวี่เซียงก็จะมีน้องชายไว้คอยเล่นด้วย”

“เมื่อถึงเวลา โม่เฉินจะมามอบของขวัญแสดงความยินดีแก่ท่านอาจารย์”

เซียนหงเฉินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องห่วงข้าหรอก แล้วช่วงนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

ไป๋ชิวหรานมองขึ้นลงพร้อมกล่าวอย่างขบขัน

“ข้าได้ยินจากศิษย์พี่รองของเจ้าว่าเจ้าเริ่มสนิทสนมกับสตรีอายุมากกว่าคนหนึ่งในแดนเซียนเมื่อเร็ว ๆ นี้”

“เอ่อ เรื่องนั้น… ข้า ข้าไม่ทราบ”

เซียนหงเฉินกล่าวติดขัดอย่างลำบากใจ

“ยังไม่สายเกินไปหากจะกล่าวเรื่องนี้ในอนาคต และโม่เฉินไม่คิดรบกวนอาวุโสแล้ว”

เขารีบกล่าวลาพร้อมจากไป

“ขี้อายนัก!”

ไป๋ชิวหรานส่ายศีรษะพร้อมเดินเข้าไปในบ้าน ก่อนจะแจ้งในทุกคนเตรียมตัวออกเดินทาง จากนั้นไปที่ห้องศึกษาพร้อมกับหยิบวัตถุเวทสื่อสารขึ้นมาวางบนโต๊ะ

เขาเปิดใช้การสื่อสารพร้อมกล่าวคำ

“เจ้าอยู่ที่นั่นหรือไม่? สถานการณ์เป็นเช่นบ้างวันนี้?”

ลำแสงของยันต์กระพริบชั่วขณะ จากนั้นไม่นานเสียงของจื้อเซียนดังออกมาจากวัตถุเวทสื่อสารที่ถูกแปลงโฉมใหม่จากห้องทดลองของโลกเซียน

“สวัสดี เหล่าไป๋งั้นหรือ? วันนี้ทุกอย่างปกติดี”

บุคคลที่สื่อสารกับไป๋ชิวหรานคือจื้อเซียนที่หายตัวไปนาน

เมื่อไป๋ชิวหรานตัดสินใจพาถังรั่วเวยข้ามปราการป้องกันราชสำนักหุ่นกลและลอบเข้าสู่อาณาเขตของมหาเทพหุ่นกล จื้อเซียนผู้ที่อยากรู้อยากเห็นและปรารถนาจะเห็นทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้จึงร้องที่จะวิ่งตามเขา

แต่เมื่อพิจารณาว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นงานลับ มันจึงค่อนข้างสะดุดตาหากจะนำกะโหลกที่ชัดเจนว่าเป็นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ห้อยไปด้วย ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงเก็บจื้อเซียนไว้ที่นี่ ให้เขาเป็นผู้สำรวจโบราณคดีต่าง ๆ ในโลกใบนั้นร่วมกับเซียนหงเฉินเพื่อขุดหาซากปรักหักพังของอารยธรรมที่สาบสูญในเขตแดนจิตสำนึกอีกด้านหนึ่ง

หลังจากที่มหาเทพหุ่นกลองค์ใหม่ค่อย ๆ ถอนสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ออก กองทหารของราชสำนักหุ่นกลจึงเข้าสู่เขตแดนจิตสำนึก ก่อนจะหลอมรวมเข้ากับโลกเซียน จื้อเซียนรีบรีดไปที่นั่นพร้อมกับกล่าวพูดคุยล้วงความลับของมหาเทพหุ่นกลองค์ใหม่ ก่อนที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า… ราชสำนักหุ่นกลมีโครงสร้างแบบใด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาเฝ้าใฝ่ฝันถึงมาตลอด

หลังจากที่ความปรารถนาเป็นจริงแล้ว ชายผู้นี้จึงกลับสู่ทีมสำรวจโบราณคดีเพื่อค้นหาสิ่งใหม่ที่ไม่รู้จัก อารยธรรมที่สาบสูญล้วนแต่เป็นผลงานยิ่งใหญ่ที่ถูกทิ้งไว้ภายในเขตแดนจิตสำนึกแห่งนี้

เนื่องจากการสร้างกำแพงแห่งความตระหนักรู้อาจเกี่ยวข้องกับบางอย่างที่สุดแสนจะอันตรายภายในห้วงแห่งความว่างเปล่า เช่นนั้นไป๋ชิวหรานจึงให้ความสนใจกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เขาแกะสลักวัตถุเวทสื่อสารไว้บนกะโหลกของจื้อเซียนก่อนจะใช้คริสตัลสื่อสารพูดคุยกับเขาผ่านห้วงแห่งความว่างเปล่าเป็นครั้งคราวเพื่อสอบถามสถานการณ์ปัจจุบัน ในทำนองเดียวกันหากผู้เชี่ยวชาญด้านซากโบราณพบบางอย่างหรือเกิดเรื่องไม่คาดฝัน จื้อเซียนยังสามารถใช้วัตถุเวทสื่อสารนี้เพื่อขอความช่วยเหลือจากเขาได้

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท