บทที่ 533 ไป๋โม่เสวี่ย ชายผู้ทรงเสน่ห์
บทที่ 533 ไป๋โม่เสวี่ย ชายผู้ทรงเสน่ห์
หนึ่งร้อยวันต่อมา ภายในลานเล็กของสำนักเหอฮวนปัจจุบัน ไป๋ชิวหรานเริ่มจัดงานเลี้ยงหนึ่งร้อยวันให้กับบุตรชายคนที่สองของเขา
งานเลี้ยงที่เขาจัดขึ้นไม่ได้ใหญ่โตมากมาย และเขาเชิญเพียงปรมาจารย์ที่รู้จักกันดีเพียงไม่กี่คน เช่นเดียวกับเหล่าคนจากโลกเซียน อีกทั้งอาหารในงานเลี้ยงก็ถูกตระเตรียมโดยหลีจิ่นเหยาด้วย ซึ่งรสชาตินั้นก็ถูกปากทุกคน
ในงานเลี้ยงมีเพียงสี่โต๊ะเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้จักรพรรดิจากโลกแห่งผู้ฝึกตนถูกข่มเหง เขาจึงแบ่งจักรพรรดิและอาวุโสของโลกผู้ฝึกตนแยกเป็นหนึ่งโต๊ะ และแบ่งผู้คนจากโลกแห่งเซียนในสามโต๊ะที่เหลือ
แท้จริงแล้ว จำนวนของผู้คนจากโลกแห่งเซียนนั้นน้อยกว่าโลกการฝึกฝน และท้ายที่สุดแล้วภายใต้สำนักของไป๋ชิวหรานมีเพียงศิษย์สามคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และยังมีอาจารย์กับแม่บุญธรรมของเขา รวมถึงเทพีซีเหอและเทพีอีกาสามขาจากฝ่ายของเจียงหลาน หากไตร่ตรองดูแล้ว ทั้งหมดนี้มีน้อยกว่าคนจากโลกฝึกตนกว่าสองเท่า
และเหตุผลที่ต้องเพิ่มอีกสองโต๊ะก็เพราะไป๋ลี่และเล่อเจิ้นเทียน รวมทั้งลูกศิษย์ของเขาที่นำภรรยามาด้วยส่งผลให้โต๊ะเต็ม ส่วนนางสนมบางคนของไป๋ลี่ติดภารกิจบางอย่างจึงไม่สามารถมาร่วมงานได้
หลังจากงานเลี้ยงเริ่มขึ้น… ซูเซียงเสวี่ยออกมาพร้อมกับบุตรชายในอ้อมแขน ไป๋ชิวหรานจึงเริ่มดื่มอวยพร
หลังจากดื่มไปสามครั้ง ไป๋ลี่ก็พากลุ่มศิษย์มาพบซูเซียงเสวี่ยเพื่อรับชมใบหน้าของบุตรชายคนใหม่นี้ ไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยดึงผ้าคลุมกายเด็กน้อยออก ทันใดนั้นเด็กชายเส้นผมสีขาวมีเกล็ดบนใบหน้างดงามราวกับหยกใสพิสุทธิ์พลันปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
“โอ้ เหมือนท่านอาจารย์ไม่ผิดเพี้ยนแล้ว”
ไป๋ลี่ยื่นมือออกไปแตะใบหน้าของทารกน้อย
“แต่เด็กน้อยผู้นี้มิใช่มนุษย์เลือดบริสุทธิ์หรือ?”
“นี่คือเด็กที่เกิดจากร่างอสูรของข้า”
ซูเซียงเสวี่ยมองทารกน้อยอ้อมแขนของนาง ด้วยแววตาอันเต็มไปด้วยความรักใครอย่างลึกซึ้ง
“แม้ชิวหรานจะเป็นมนุษย์ แต่ข้าก็ทดสอบมันแล้ว ด้วยเหตุผลบางอย่าง โลหิตของเผ่าอสูรในกายของเด็กผู้นี้บริสุทธิ์ยิ่งกว่าข้าเสียอีก…”
“ข้าเป็นตัวเร่งปฏิกริยางั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานตรงเข้ามาดูบุตรชายพร้อมกับบ่นพึมพำ
ในเวลานี้อาจจะรู้สึกว่ามีคนรายล้อมมากเกินไป ทารกที่เคยหลับใหลพลันลืมตาขึ้น เขามองหน้าจักรพรรดิเซียนองค์แรกก่อนจะร้องไห้จ้าเสียงดัง
ในขณะที่เขากำลังร้องไห้ จู่ ๆ พลังรัญจวนน่าอัศจรรย์พลันปะทุออกรุนแรง มันยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเด็กน้อยผู้นี้รู้สึกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
ซูเซียงเสวี่ยรีบปลอบโยนเด็กน้อย แต่ไป๋ลี่ตกใจไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวว่า
“นี่เป็นความสามารถตั้งแต่กำเนิดของเขาหรือ?”
“อืม…”
ไป๋ชิวหรานกล่าวอย่างจนปัญญา
“อาจเป็นเพราะมารดาของเขาฝึกฝนย่างก้าวภูตพราย!”
เดิมทีซูเซียงเสวี่ยเก่งกาจที่สุดในด้านของมนตร์เสน่ห์ โดยเฉพาะเมื่อหลอมรวมกับโลหิตของอสูร… มนตร์เสน่ห์ของนางจะยิ่งน่าสะพรึงกลัวมากขึ้น
อย่าได้มองว่าเวลานี้นางคือมารดาและภรรยาที่ยอดเยี่ยม ตราบใดที่ซูเซียงเสวี่ยนึกคิด เพียงแค่ชี้นิ้ว นางก็สามารถออกคำสั่งต่อผู้นำพันธมิตรแห่งโลกการฝึกฝนได้ แม้จะเป็นเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ เขาก็ยินยอมพร้อมตายเพื่อนาง
แน่นอนว่าทักษะของซูเซียงเสวี่ยไม่เพียงพอที่จะจัดการกับไป๋ลี่ เล่อเจิ้นเทียน และคนอื่น ๆ ดังนั้นเด็กทารกผู้นี้จึงไม่อาจทำได้เช่นกัน เมื่อเห็นทารกน้อยค่อย ๆ สงบลงในอ้อมแขนของมารดา ไป๋ลี่ก็ยิ่งตกตะลึง
“ข้าไม่ได้คาดหวังว่าความสามารถเช่นนี้จะติดตัวเด็กชายมาด้วย”
“ไม่เป็นปัญหาหรอก”
ไป๋ชิวหรานเผยอารมณ์ซับซ้อนก่อนจะกล่าวต่อ
“ไม่ว่าในอนาคต หน้าตาจะหล่อเหลาเพียงใด ตราบใดที่เขามีความสามารถ ก็ไม่อาจมีผู้ใดกล่าวหาว่าเขาไร้ความรับผิดชอบ!”
“ท่านอาจารย์ …ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น!”
ไป๋ลี่มองไปรอบ ๆ ก่อนจะกระซิบกับเล่อเจิ้นเทียน โม่เฉิน และจักรพรรดิเซียนซู่หัวที่กลับชาติมาเกิดอีกครั้งแล้วกล่าวหนักแน่น
“ในวันข้างหน้าเด็กคนนี้ย่อมมีอนาคตที่สดใส!”
“ต่อให้มีอนาคตที่ยากลำบากก็ไม่เป็นไร…” ไป๋ชิวหรานเกาท้ายทอย “อย่างไรเขาก็คือบุตรชายของข้า! หากเขากำลังเผชิญเรื่องเลวร้ายในอนาคต ข้าจะไม่อาจช่วยเหลือได้เชียวหรือ?”
“ไม่ ไม่ ไม่ใช่! สิ่งที่ศิษย์กล่าวถึงคือ… อนาคตที่น่าสงสาร มันไม่ใช่อะไรที่จะสามารถแก้ไขได้ด้วยพลัง แต่มันเป็นเรื่องของจิตสำนึก”
ไป๋ลี่ชำเลืองมองทารกน้อยก่อนจะกล่าวเสียงแผ่ว
“ด้วยพลังรัญจวนอันแรงกล้าของเด็กน้อยผู้นี้ หากเติบโตขึ้นในอนาคต ข้าเกรงว่าเขาจะไม่ใช่ชายฉกรรจ์ที่เต็มไปด้วยพลังพลุ่งพล่านอย่างชายชาตรี อ่า… แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่เลวร้ายนักหากเขาจะชื่นชอบบุรุษ แต่ท่านอาจารย์ ท่านต้องเข้าใจ…”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ไป๋ลี่ก็เหลือบมองนางสนมของเขาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ หญิงสาวเหล่านั้นกำลังพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข เช่นนั้นเขาจึงกล่าวต่อว่า
“เขาอาจไม่สามารถมีทายาทได้ต่อไป…”
ใบหน้าของไป๋ชิวหรานเผยความเคร่งขรึม จากนั้นจึงมองบุตรชายของตนด้วยความเห็นอกเห็นใจ รู้สึกเสียใจกับโชคชะตาอันเลวร้ายที่เขาต้องเผชิญ
ในเวลานี้เจวี๋ยอวิ๋นจื่อที่มาร่วมงานเดินตรงเข้ามาเพื่อเสนอความคิดของตน
“สิ่งที่องค์จักรพรรดิกล่าว คือตัวข้ามีความคิดที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ ดังที่ท่านเห็นหากว่ามีสตรีมากมายปรารถนาหลับนอนกับเขาในภายหน้า เช่นนั้น… นับตั้งแต่เด็ก ให้เขาแต่งกายแทนที่จะเป็นเด็กชายก็ให้เป็นเด็กสาว บ่มเพาะให้เป็นบุรุษในอาภรณ์สตรีที่ทรงเสน่ห์กว่าใคร… อึ่ก”
ก่อนเจวี๋ยอวิ๋นจื่อจะทันได้กล่าวจบ ไป๋ชิวหรานทุบเขาด้วยกำปั้นหนัก และร่างกายของเขาติดติดอยู่ในผนังของลาน ไม่สามารถออกจากหลุมตรงนั้นได้
“อย่าแม้แต่จะคิด! ในอนาคตข้าจะสั่งสอนบุตรชายเอง!”
ไป๋ชิวหรานกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“ฮึ่ม หลังจากคืนนี้ไปข้าจะกลับมาจัดการกับเจ้าอีกครั้ง!”
เสียงหัวเราะที่ไพเราะของจี้หลิงอวิ๋นเปรียบกับระฆังเงินบนโต๊ะของผู้ฝึกฝนของโลกมนุษย์ และผู้อาวุโสของจักรพรรดิเซียนอื่น ๆ ก็หัวเราะเยาะเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ ทั้งหมดไม่ประหลาดใจเลยกับเรื่องราวที่ผู้นำสำนักกระบี่ชิงหมิงได้เผชิญ เพราะทั้งหมดคุ้นเคยกับสิ่งนี้แล้ว
“น้องชายข้าเป็นผู้ยอดเยี่ยมแล้ว เขากล้าหาญและย่อมแข็งแกร่ง เพราะสุดท้ายเขาจะได้รับการสั่งสอนจากท่านอาจารย์”
ไป๋ลี่มองเจวี๋ยอวิ๋นจื่อที่ถูกฝังอยู่ในกำแพงแล้วกล่าวต่อ
“อย่างไรก็ตาม… วิธีนี้คงใช้การไม่ได้ ทักษะย่างก้าวภูตพรายของท่านอาจารย์ที่สองสามารถใช้ได้ทั้งชายและหญิง ดังนั้นความสามารถในด้านพลังมนตร์เสน่ห์ที่เด็กชายผู้นี้ได้รับสืบทอดมา …จึงมีผลกับทั้งสองเพศ ไม่เว้นแม้แต่ร่วมสวาท จึงไม่เป็นไรที่จะแต่งตัวเป็นบุรุษ อย่างน้อยก็บ่งบอกเพศของเขาได้ มันไม่เหมาะสมนักหากจะยัดตัวเขาไว้ในชุดสตรี…”
ไป๋ลี่จินนาการต่อไปก่อนจะกล่าวว่า
“แม้เดินอยู่บนถนน ทั้งชายและหญิงต่างก็หลงใหลในตัวเขาแน่”
ซูเซียงเสวี่ยและไป๋ชิวหรานมองหน้ากัน อดีตผู้นำสำนักเหอฮวนแห่งเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน เวลานี้แววตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล
“แล้วจะแก้ไขอย่างไร…”
นางกล่าวถามด้วยความกังวล
“สถานที่ที่เราอยู่อาศัยเต็มไปด้วย… ผู้ฝึกตนแห่งสำนักเหอฮวน”
“ไม่เป็นไรเลย”
ไป๋ชิวหรานกุมมือภรรยาพร้อมกับปลอบโยนนาง
“ข้าจะสั่งสอนให้เขาเป็นคนดี และแข็งแกร่ง… นั่นก็เพียงพอแล้ว”
“อืม”
เวลานี้ซูเซียงเสวี่ยรู้สึกโศกเศร้าและหดหู่ในใจ จากนั้นนางพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
“ตามใจท่าน!”
“กล่าวเรื่องอะไรกันอยู่หรือขอรับ ท่านอาจารย์ นายน้อยนี้มีนามหรือยัง?”
เล่อเจิ้นเทียนถามอย่างสงสัย
“มีสิ แน่นอนว่าข้าตั้งชื่อเขาแล้ว”
ไป๋ชิวหรานเงยหน้าขึ้นมอง
“ข้าตั้งชื่อเขาว่า ไป๋โม่เสวี่ย”