บทที่ 572 ความหวาดกลัวสุดท้าย
บทที่ 572 ความหวาดกลัวสุดท้าย
หลังจากเดินทางมาหลายเดือน ไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวยนำกองทัพแมลงมาที่ปลายสายธารแห่งความว่างเปล่า
เมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้ โลกมากมายปรากฏสู่สายตาราวกับเม็ดทราย และสายธารแห่งความว่างเปล่าเปรียบกับมหาสมุทรไร้สิ้นสุด
ไป๋ชิวหรานเรียกสถานที่เหล่านี้ว่าแหล่งควบแน่นพลังงาน มันแตกต่างจากสายธารแห่งความว่างเปล่า และเขาลองแก้ไขการแบ่งขอบเขตธาราสุญตาใหม่ในระหว่างการเดินทางนี้ด้วย
หลังจากเอาชนะอดีตนางพญาแมลงได้ ถังรั่วเวยรวบรวมกองทัพก่อนจะใช้คลื่นพลังไร้ลักษณ์ออกคำสั่งแรกกับพวกมัน
“ทุกคนอพยพ ทิ้งสถานที่แห่งนี้และกลับสู่ชายแดนที่ห่างไกล”
จากข้อมูลของวิถีสวรรค์ แมลงเหล่านี้ถูกขับไล่จากปลายสายธารแห่งความว่างเปล่ามายังต้นน้ำโดยสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่า และพฤติกรรมบางอย่างของแมลงก็สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้ชัดเจน
แต่ทางโลกแห่งเซียนไม่ได้พบสาเหตุที่ชัดเจนเหล่านั้น และไม่มีสิ่งอื่นที่จะขับไล่มันมาได้นอกจากเหตุผลนี้
เช่นนี้ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทดสอบเท่านั้น แต่ยังเพื่อรักษาห่วงโซ่อาหารที่แสนอันตรายด้วย เพราะแมลงออกจากพื้นที่ต้นน้ำซึ่งถูกปกครองด้วยโลกแห่งเซียน ไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวยจึงบอกกล่าวให้นางพญาแมลงกลับสู่ปลายสายธารอีกครั้ง
มหาสมุทรแห่งความว่างเปล่ากว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มันยิ่งใหญ่เสียจนถังรั่วเวยและไป๋ชิวหรานไม่สามารถทราบตำแหน่งที่อยู่เก่าของเหล่าแมลงได้เลย
อย่างไรก็ตาม แมลงมีความสามารถในการปล่อยคลื่นพลังไร้ลักษณ์พิเศษ หลังจากถังรั่วเวยออกคำสั่งให้กลับสู่บ้านเกิด พวกมันก็เริ่มนำทางและพาไป๋ชิวหรานไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในมหาสมุทรแห่งความว่างเปล่านี้
เมื่อพวกเขามาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง แมลงเหล่านี้ไม่คิดจะไปต่อ ไม่ว่าถังรั่วเวยจะกระตุ้นอย่างไร พวกมันก็ไม่เคลื่อนไหว
หลังจากที่นางออกคำสั่งมากเกินไป เหล่าแมลงองครักษ์และแมลงระดับสูงเริ่มสงสัยในตัวนางพญาของตน
“ข้าควรทำอย่างไร? ท่านอาจารย์ พวกมันไม่ต้องการไปที่นั่น”
ถังรั่วเวยหันไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ของตน
“ข้าเกรงว่าหากยังดึงดันที่จะไปที่นั่น พวกมันอาจจะเขมือบร่างของข้าเสีย!”
“อืม… ที่พวกมันไม่เชื่อฟัง เพราะไม่หวาดกลัวไงล่ะ”
ไป๋ชิวครานครุ่นคิด
“รับชมข้า”
เขาให้ถังรั่วเวยร่วมมือกับเขาในเวลาที่เหมาะสม จากนั้นเขาปลดปล่อยจิตสังหารออกไปในห้วงแห่งความว่างเปล่า
แน่นอนว่าเมื่อกลิ่นอายของไป๋ชิวหรานแทรกซึมเข้าสู่ความว่างเปล่าใกล้เคียง แมลงทั้งหมดเริ่มกระสับกระส่าย ถังรั่วเวยใช้โอกาสนี้ในการยืนยันคำสั่ง
“หลบหนีสู่ดินแดนบรรพบุรุษ!”
แมลงระดับต่ำไร้ซึ่งสมอง เมื่อเปรียบเทียบกับไป๋ชิวหรานและถังรั่วเวยซึ่งเป็นผู้บัญชาการ พวกมันก็ไม่ได้มีความคิดเห็นดีกว่ามากนัก สุดท้ายเมื่อถูกกระตุ้นโดยกลิ่นอายจากศัตรูที่น่าหวาดกลัว และเป็นคำสั่งของนางพญา แมลงเหล่านี้ไม่คิดมากอีกต่อไป พวกมันพุ่งทะยานสู่สถานที่หนึ่งในห้วงแห่งความว่างเปล่าทันที
…
ภายในเขตแดนจิตสำนึก ที่ใดสักแห่งใกล้กับพรมแดนของโลก
ทรายสีเหลืองมากมายทะยานขึ้นสู่อากาศ มีพายุหลายลูกก่อตัวขึ้น มีเพียงความเงียบสงัดในโลกใบนี้ ไม่มีแม้แต่ต้นกล้าอ่อนฝังอยู่ในดิน
นี่คือหนึ่งในโลกที่ถูกทำลายภายในเขตแดนจิตสำนึกโดยไม่ทราบสาเหตุ ในโลกใบนี้เหลือเพียงซากปรักหักพังของอารยธรรมที่มีไว้บอกเล่ากับลูกหลานให้ทราบถึงความรุ่งเรืองในอดีต
บริเวณซากปรักหักพังมีกองกำลังเซียนและเหล่าผู้ค้นคว้าทางโบราณคดีอยู่ภายใน ทะเลทรายแบ่งออกเป็นสองฝั่ง เมืองใหญ่ถูกยกขึ้นจากพื้นดินโดยไร้ความเสียหาย มันลอยอยู่กลางอากาศ กลุ่มเซียนทั้งหมดนี้กำลังถอดรหัสและเริ่มค้นคว้าข้อมูลทางประวัติศาสตร์
“ช้าหน่อย ช้าหน่อย เราต้องจัดการกับฝุ่นให้ดีกว่านี้ ระวังอย่าได้เช็ดอักขระออกไป!”
ภายในกลุ่มสำรวจ ผู้นำและผู้รับผิดชอบทางโบราณคดี เซียนหงเฉินกำลังออกคำสั่งให้เหล่าเซียนหยิบกรวดออกจากซากปรักหักพัง และจัดกลุ่มเตรียมเข้าเมืองหลวงเพื่อตรวจสอบ
งานทำความสะอาดเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว เซียนหงเฉินนำกลุ่มเข้าสู่ซากปรักหักพังของเมืองโบราณแห่งนี้และเริ่มตรวจสอบอย่างช้า ๆ
เช่นเดียวกับซากปรักหักพังก่อนหน้านี้ มันได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นอารยธรรมที่สาบสูญ แต่ในเมืองนี้ยังคงค้นพบบางสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นมนุษย์ภายในอารยธรรม แต่ว่ายังไม่มีสิ่งที่เป็นประโยชน์ว่าพวกเขาได้พบเจอกับภัยพิบัติหรือศัตรูที่ร้ายกาจอย่างไร
ในไม่ช้าการสำรวจก็สิ้นสุดลง ความผิดหวังผุดขึ้นในจิตใจของเหล่าเซียน ทั้งหมดสลดใจที่ไม่พบเบาะแสใดเลย แต่จู่ ๆ เซียนคนหนึ่งของกลุ่มสำรวจก็ถือบางสิ่งและวิ่งเข้ามา
“จักรพรรดิเซียนโม่เฉิน”
เขามาหยุดยืนต่อหน้าเซียนหงเฉินและไม่คิดมีมารยาท ก่อนจะยื่นสิ่งของในมือ
“โปรดรับชมสิ่งนี้!”
เซียนหงเฉินรับของที่อีกฝ่ายมอบให้ มันคือลูกบาศก์ทรงสี่เหลี่ยมทำจากโลหะบางชนิด มีร่องอยู่บนก้อนนี้คล้ายกับรอการไขปริศนา ก่อตัวเป็นเส้นสายมากมาย และเส้นเหล่านี้ล้วนแต่เชื่อมโยงกันทั้งสิ้น เซียนหงเฉินจึงค่อย ๆ มองมันอย่างพิจารณา
“มันคือ?”
เซียนหงเฉินเรียกทุกคนมารวมกันเพื่อตรวจสอบมัน และพวกเขาก็กระตือรือร้นที่จะช่วยกันมองดู
“พวกเจ้าลองรับชมสิ่งนี้”
เซียนผู้ค้นพบลูกบาศก์นี้ถือมันเอาไว้ก่อนจะกดนิ้วลงบนลายเส้นที่นูนขึ้นมาตรงกลาง
มันจมลงก่อนจะเปล่งประกายลำแสงออก ก่อตัวเป็นม่านแสงฉายขึ้น
มีอักขระแห่งยันต์มากมายปรากฏในม่านแสง เรียงตัวหนาแน่นอยู่บนอากาศ
“มันสมควรจะเป็นเครื่องบันทึกอารยธรรมที่สาบสูญ เช่นเดียวกับศิลาถ่ายภาพของพวกเรา”
เซียนหงเฉินยิ้มอย่างยินดีพร้อมกล่าวว่า
“เอาสิ่งนี้มอบให้กับผู้เชี่ยวชาญการแปล และให้เขาดูว่ามีอะไรบ้างที่ถูกบันทึกเอาไว้”
กลุ่มนักสำรวจออกจากซากปรักหักพังชั่วคราวและกลับมาที่เรือสำรวจของเหล่าเซียนด้วยความปลาบปลื้ม หลังจากนั้นไม่นาน ผู้เชี่ยวชาญการแปลก็เข้ามา และเขาเป็นบุคคลที่เซียนหงเฉินรู้จักดี
“จื้อเซียน”
เมื่อมองหุ่นกลตัวใหม่ตรงหน้า เพลิงวิญญาณสีเขียวในเบ้าตาพลันเปล่งประกายออกมาอย่างชัดเจน เซียนหงเฉินอดไม่ได้ที่จะบ่น
“เจ้ารวดเร็วเสียจริง ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ เจ้าอยู่ที่สถานทดลองของเทพจักรกลช่วยบรรพชนเซียนและพี่น้องของเราศึกษานางพญาแมลงห้วงแห่งความว่างเปล่า”
“อืม แต่การค้นคว้าจบลงแล้ว”
จื้อเซียนกล่าวอย่างหดหู่
“ตาเฒ่าไป๋พาศิษย์ไปทำภารกิจ แต่ไม่ยอมพาข้าไป ข้าจึงกลับมาที่นี่เพื่อดูว่ามีเรื่องใหม่ ๆ เกิดขึ้นหรือไม่ แต่เมื่อข้ามาถึง มีคนบอกว่าเจ้าค้นพบสิ่งของบางอย่าง ดูเหมือนว่าข้าจะไม่เสียเที่ยวแล้ว”
“อืม… ก็ไม่เลว”
เซียนหงเฉินเรียกทุกคนมารวมตัวกัน ก่อนจะส่งลูกบาศก์นี้ให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านการถอดรหัส และการแปลคนอื่น ๆ เพื่อตรวจสอบ
จื้อเซียนและผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดสุมหัวกันก่อนจะกล่าวว่า
“สิ่งที่เขียนบนม่านแสงนี้น่าจะเป็นตัวเลือกบางอย่าง ข้ารับชม…”
ผู้เชี่ยวชาญสองสามคนกดม่านแสงทีละตัว บางคนถูไถไปตามเส้นบนก้อนโลหะ ในไม่ช้าฉากบนม่านแสงก็เริ่มปรากฏราวกับภาพยนตร์ต่อหน้าทุกคน
สิ่งแรกที่ปรากฏคือเสียงระเบิดดังสนั่น เปลวเพลิงทะยานสู่ท้องฟ้า ก่อนจะเกิดเสียงกรีดร้องอย่างแตกตื่น ทั้งหมดล้วนแต่เป็นภาษาที่พวกเขาไม่เข้าใจ
จากนั้นภาพก็ฉายขึ้นไปบนท้องฟ้า และทั่วท้องฟ้าในเขตแดนจิตสำนึกพลันสว่างไสวราวกับเมืองแห่งทวยเทพ ภาพของเมืองแห่งนี้ปรากฏขึ้น มันก่อตัวเชื่องช้าและอาจจะเป็นอารยธรรมบางอย่างของโลกใบนี้ มันสร้างขึ้นในความว่างเปล่าด้วยพลังแห่งจิตสำนึก
อย่างไรก็ตาม ครึ่งหนึ่งของการก่อตัวเมืองเซียนแห่งนี้ถูกฝ่ามือขนาดใหญ่บีบจนแหลกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เหนือม่านฟ้า ร่างสูงใหญ่ที่น่าหวาดกลัวปรากฏขึ้น จากนั้นฉากบนม่านแสงพลันดับลง ทุกคนตกอยู่ในสภาวะเงียบงัน…