ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 606 เนื้อหอม

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 606 เนื้อหอม

บทที่ 606 เนื้อหอม

สาวงามจากหน้าปกวรรณกรรมบีบจมูกของไป๋โม่เสวี่ยแล้วลากเขาเข้ามาสู่ภายใน

ไป๋โม่เสวี่ยไม่ได้ขัดขืน และปล่อยให้สาวน้อยลากเขาเข้าไปในวรรณกรรมอย่างว่าง่าย

ทั้งสองอยู่ภายในห้องว่างเปล่า มีเพียงโต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้สองตัว และหลังจากที่สาวน้อยลากไป๋โม่เสวี่ยเข้ามา นางก็เอาแต่ขยี้จมูกของเขา พร้อมลากเขานั่งลงบนเก้าอี้

“พี่หญิง”

ไป๋โม่เสวี่ยกล่าวอย่างอับจนปัญญา

“ท่านควรปล่อยจมูกข้าได้แล้วหรือยัง?”

ไป๋ซวี่เซียงบ่นคำเบาก่อนจะปล่อยจมูกน้องชายและถอดแว่นตาเชย ๆ ของเขาออก

ทันใดนั้น ใบหน้างดงามของไป๋โม่เสวี่ยก็ปรากฏต่อหน้าไป๋ซวี่เซียง และในเวลาเดียวกัน เสน่ห์รัญจวนก็ถูกปลดปล่อยออกจากร่างกายของเขา จนทั้งห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศอันสดชื่น

ไป๋ซวี่เซียงนั่งลงและเล่นกับแว่นตาของน้องชายในมือ ขณะเดียวกันก็กล่าวชื่นชมใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่หยุดปาก

“ทำไมถึงมีกลิ่นของสตรีประหลาด ๆ บนร่างกายเจ้าล่ะ? เจ้าถูกโจมตีตอนลอบออกมางั้นหรือ?”

“อ่า ก็ไม่นะ”

ไป๋โม่เสวี่ยบีบจมูกตนเอง

“ข้านั่งวัตถุเวทเคลื่อนย้ายมาที่นี่ แต่ข้าไม่มีสกุลเงินของโลกวัตถุใบนี้”

“เช่นนั้น เจ้าจึงใช้เสน่ห์เย้ายวน”

ไป๋ซวี่เซียงยิ้มพร้อมกล่าวต่อ

“พูดตามตรง เจ้าต้องการดูวรรณกรรมลามกที่เป็นสิ่งจำกัดสำหรับผู้ใหญ่ใช่หรือไม่?”

“ข้าไม่ได้โง่ และข้ารู้ว่าเจ้าคิดแอบดูข้าจากวรรณกรรมเล่มนั้น”

ไป๋โม่เสวี่ยถอนหายใจพร้อมกล่าวตอบ

“การเห็นพี่สาวในวรรณกรรมลามก มันไม่น่ากลัวกว่าหรือ?”

“จะน่ากลัวอะไร? เจ้าสามารถขู่ข้าเพื่อละทิ้งหลักฐาน ให้ข้าทำตามคำขอสิ่งใดก็สุดแล้วแต่ หรือแม้แต่จะให้เป็นของเจ้าเพียงผู้เดียว…”

ไป๋ซวี่เซียงกัดนิ้วก้อยพร้อมขยิบตาให้กับน้องชายของตน

“นั่นมันเป็นวิธีที่อยู่ในละครไม่ใช่หรือ?”

“เจ้าเคยดูละครแบบใด แล้วเคยทำสิ่งเหล่านั้นหรือไม่?”

ไป๋โม่เสวี่ยรู้สึกอับจนปัญญาที่จะพูดคุยต่อ

“อ่า เรามาคุยธุระของเราดีกว่า ทำไมพี่หญิงจึงเรียกข้ามาที่นี่?”

ไป๋ซวี่เซียงเหยียดมือหยิบของจากในมิติเก็บของ ก่อนจะโยนถุงกระดาษใบหนึ่งให้กับไป๋โม่เสวี่ย

“ลองดูว่ามันพอดีไหม”

“มันคืออะไร?”

ไป๋โม่เสวี่ยหยิบถุงกระดาษ พลางลูบไล้มันและรู้สึกถึงลางร้ายในใจ

แน่นอนว่าเมื่อเปิดถุงออก เขาเห็นว่ามีอาภรณ์สตรี เป็นชุดสีดำขนาดเล็ก และชั้นในสตรีบางเบา

“พี่หญิง ข้าบอกท่านกี่ครั้งแล้ว”

ไป๋โม่เสวี่ยโยนถุงอาภรณ์นั้นกลับไปก่อนจะกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“หยุดเอามายัดเยียดให้ข้า ข้าจะไม่ใส่มันเด็ดขาด!”

“โธ่! ช่วยกันหน่อยไม่ได้หรือ”

ไป๋ซวี่เซียงยิ้มพร้อมยัดถุงเสื้อผ้ากลับไปใส่มือของเขา

“ตามคำกล่าวที่ว่า อาภรณ์สตรีนั้นสวมใส่ได้นับครั้งไม่ถ้วน หากใส่เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งคงเสียดายแย่”

“ท่านพ่อบอกว่าหากพบเจอข้าปลอมตัวเป็นผู้หญิงอีกครั้ง เขาจะไล่ข้าออกจากบ้าน”

ไป๋โม่เสวี่ยจับมือพี่สาวของตน

“ข้าไม่อยากไม่มีบ้านให้กลับ โลกภายนอกอันตรายต่อข้ามากจริง ๆ”

“โอ้ ท่านพ่อเพียงข่มขู่ไปเช่นนั้น ท่านแม่จิ่นเหยาก็กำลังเตรียมจะคลอด พวกเขาไม่ได้ออกจากบ้านหรอกช่วงนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไร”

ไป๋ซวี่เซียงหยิบตาให้กับไป๋โม่เสวี่ย

“จงเป็นคนดี… ช่วยเหลือพี่สาว แล้วเจ้าจะได้รับสิ่งดี ๆ”

“เขาไม่ได้อยู่ข้างนอก พวกเขาจะทราบได้อย่างไรว่าเจ้าออกมาทำอะไรที่นี่?”

ไป๋โม่เสวี่ยหัวเราะก่อนจะกล่าวต่อ

“ตาเฒ่าลากพี่ไป๋ลี่และคนอื่น ๆ มาเล่นไพ่นกกระจอกกันทั้งคืน! ข้าไม่คิดว่าเขาจะมีเวลามาสนใจว่าบุตรสาวและบุตรชายกำลังทำสิ่งใดอยู่นอกบ้าน”

“เอาเถิด ไม่ใช่เจ้าไม่รู้จักนิสัยของท่านแม่จิ่นเหยา”

ไป๋ซวี่เซียงไม่สนใจ

“ในอนาคต ข้ากลัวว่าท่านพ่อจะต้องทุ่มสุดหัวใจให้กับบุตรสาวคนใหม่ที่กำลังขี่คอเขาอยู่ สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มีเวลาดูแลเด็กโตอย่างพวกเราทั้งสองหรอก จริงหรือไม่?”

“ข้าคิดว่าเขามี…”

ไป๋โม่เสวี่ยตอบอย่างไม่ลังเล

“ไม่ว่าเด็กที่เกิดจากท่านแม่จิ่นเหยาจะมีความสามารถเพียงใด แต่นางก็ยังมีระยะห่างจากท่านพ่ออยู่ดี”

“เอาล่ะ หยุดพูดเรื่องไร้สาระ!”

ไป๋ซวี่เซียงตบโต๊ะพร้อมกับเผยท่าทางสง่างามของผู้เป็นพี่

“เจ้าจะทำหรือไม่ทำ?”

ไป๋โม่เสวี่ยส่ายศีรษะ

ในอีกหนึ่งถ้วยชาต่อมา ไป๋ซวี่เซียงก็ใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อหลอกล่อ ทั้งไม้อ่อน ไม้แข็ง แต่น้องชายผู้นี้ไม่ยอมรับการสวมใส่อาภรณ์สตรี เห็นได้ชัดว่านี่เป็นชุดผู้ฝึกตนหญิงของสำนักศึกษาแห่งหนึ่ง

“หากเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว”

ในที่สุด ไป๋ซวี่เซียงก็เผยท่าทีราวกับยอมแพ้ นางนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับถอนหายใจ

“ดูเหมือนภารกิจคราวนี้จะต้องล้มเหลว”

ขณะกล่าว หญิงสาวก็จงใจเผยท่าทีเหนื่อยล้า นางโยนภาพเหมือนใบหนึ่งลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าว่างเปล่า

  

“…”

พี่สาว …การกระทำของท่านชัดเจนเกินไป

ขณะไป๋โม่เสวี่ยลอบบ่นในใจ เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองภาพเหมือนใบนั้น

ในภาพเป็นหญิงสาวที่มีส่วนสูงเท่า ๆ กับไป๋ซวี่เซียง ผมยาวประบ่า สวมชุดผู้ฝึกตนหญิงแบบเดียวกันกับในถุงกระดาษ รอยยิ้มสดใส ใบหน้าดูขี้อายและซุกซนเล็กน้อย

“สงสารเพียงสาวน้อยผู้ไร้เดียงสาผู้นี้ นางกำลังจะถูกจับเพื่อสังเวยแก่เทพเจ้าโดยปีศาจที่หลบหนีออกจากแดนเซียนของพวกเรา”

ไป๋ซวี่เซียงคร่ำครวญขณะลูบไล้เด็กหญิงตัวน้อยในรูป

“และข้าคงทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงเฝ้ามองเด็กสาวผู้ไร้เดียงสาถูกรังแกโดยผู้ฝ่าฝืนกฎ สุดท้ายข้าก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้”

นางกอดอกพร้อมกล่าวพึมพำ

“ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากปีศาจเหล่านั้นบรรลุเป้าหมาย ข้าเกรงว่าแม้แต่ข้าก็ไม่อาจเผชิญหน้ากับพวกเขาได้ ข้าคงจะถูกพวกเขาจับใส่หม้อทารุณตามใจชอบ เมื่อท่านพ่อท่านแม่ค้นหาข้าพบ มันคงจะต้องมีของเหลวสีขาวหลงเหลืออยู่ในร่างกายข้าแน่ และหน้าของข้าคงไม่อาจสู้หน้าผู้ใดได้อีก…”

“หยุดพล่ามไร้สาระ!”

ไป๋โม่เสวี่ยลุกขึ้นพร้อมกล่าวเย็นชา

“ไม่ว่าท่านจะพูดอย่างไร ข้าจะไม่มีวันใส่ชุดนี้เด็ดขาด!”

ครึ่งชั่วยามถัดมา ภายในแดนสวรรค์บนโลกใบนี้ ภายในฐานลับที่มั่นแห่งนี้ของเมือง ไป๋โม่เสวี่ยกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หมุน หัวใจที่เต็มไปด้วยความละอายเผยออกมาผ่านสีหน้า

“หยิบสีกุหลาบให้ข้า”

ไป๋ซวี่เซียงสวมชุดช่างแต่งหน้ายืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับสะบัดข้อมือไปมา

ทันใดนั้น เซียนสาวก็ยื่นเครื่องแต้มสีกุหลาบให้กับนาง

ไป๋ซวี่เซียงเริ่มปรับแต่งใบหน้าของไป๋โม่เสวี่ยอย่างชำนาญ

หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ไป๋ซวี่เซียงก็พาไป๋โม่เสวี่ยออกไปพบเจอกับสมาชิกคนอื่น ๆ ของทีมภารกิจและกล่าวถามว่า

“เป็นอย่างไร?”

“งดงามนัก”

เหล่าเซียนถอนหายใจ

“ข้ารู้สึกราวกับกำลังตกหลุมรัก”

ชายบางคนกุมหน้าอกตนเองพร้อมกล่าวพึมพำ

ไป๋ซวี่เซียงจดจำนิสัยเสียเหล่านั้นไว้ในใจ ก่อนจะเดินไปด้านหน้าไป๋โม่เสวี่ยพร้อมกับมองเขาอย่างระมัดระวัง

“อ่า…”

นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจู่ ๆ ก็ใช้เวทมนตร์เพื่อเช็ดเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าของน้องชายออก เผยให้เห็นใบหน้าเดิมของเขา

“อืม โม่เสวี่ย แม้ไม่ได้แต่งหน้าเจ้าก็ดูดีมากแล้ว เพราะการแต่งหน้าจะทำให้ความงามของเจ้าลดน้อยลง”

ไป๋ซวี่เซียงยืนขึ้นก่อนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ในขณะเดียวกัน นางก็หมุนเก้าอี้เผชิญหน้ากับกระจกบานใหญ่เพื่อให้น้องชายสำรวจว่าเวลานี้ตนเองเป็นอย่างไรบ้าง

ไป๋โม่เสวี่ยเผยสายตาสิ้นหวังและหดหู่ เขามองเข้าไปในกระจกและมองเห็นสตรีงดงามผมยาวสีดำขลับผู้ทรงเสน่ห์ เวลานี้เขาแทบจะจำตัวเองไม่ได้แล้ว…

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท