ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 617 เป็นนักแสดง

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 617 เป็นนักแสดง

บทที่ 617 เป็นนักแสดง

เสียงไก่ขันดังขึ้นทำลายความเงียบในยามเช้า

หลี่ลี่ที่หลับตาพริ้มค่อย ๆ เปิดเปลือกตาพร้อมลุกขึ้นจากเตียง เส้นผมยุ่งเหยิงพันกันอยู่บนศีรษะ นางดูไม่ต่างจากกระรอกที่เพิ่งตื่นจากการจำศีลอันยาวนาน

หลี่ลี่มองดูของตกแต่งประหลาดในห้อง แล้วจึงตระหนักได้ว่าเวลานี้นางเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่แล้ว และยังได้อาศัยอยู่กับคนที่นางปรารถนา

เพราะนางเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ตายตก นางจึงเติบโตขึ้นในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หลังจากค้นพบว่ามีพรสวรรค์ในการฝึกฝน ชีวิตของนางจึงได้รับการดูแลจากรัฐบาลในโลกใบนี้ ดังนั้นหลี่ลี่จึงไม่มีปัญหาในการเปลี่ยนแปลงที่พักอาศัย นางเก็บข้าวของอย่างรวดเร็วและย้ายทุกสิ่งเสร็จสิ้นภายในหนึ่งวัน

ส่วนการพูดคุยกับราชสำนักของโลกวัตถุบ้านเกิดเป็นหน้าที่ของไป๋ซวี่เซียงที่คอยจัดการ

หลี่ลี่มองตนเองในกระจกด้วยสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อจัดการตนเองให้เรียบร้อย

นางฮัมเพลงและจัดท่าทางให้สง่างาม เมื่อนึกถึงความจริงบางอย่าง หัวใจของหญิงสาวก็กลายเป็นพองโตอย่างไร้การควบคุม

หลังจากเก็บของเสร็จสิ้นแล้ว หลี่ลี่สวมชุดประจำสำนักพร้อมกับเปิดประตูออกไปนั่งรอในห้องนั่งเล่น

ไม่มีใครอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่มีเสียงดังออกมาจากห้องครัว

“โม่เสวี่ย!”

หลี่ลี่ตรงไปทางห้องครัวพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“กำลังทำอาหารเช้าอยู่งั้นหรือ? อุ๊บ”

ภายในห้องครัว ไป๋โม่เสวี่ยสวมผ้ากันเปื้อนและกำลังพลิกกระทะด้วยมือข้างหนึ่ง เขากำลังทอดไข่ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ผิดแปลกก็คือร่างกายท่อนบนของไป๋โม่เสวี่ยไม่ได้สวมใส่สิ่งใดนอกจากผ้ากันเปื้อน ผิวของเขาเรียบเนียน แผ่นหลังขาวราวกับหยกถูกเปิดเผยออกสู่สายตา

หลังจากมองเห็นรูปลักษณ์ปัจจุบันของไป๋โม่เสวี่ยแล้ว หลี่ลี่ก็ถึงกับไอแห้ง ๆ ด้วยความตกตะลึงจนเกือบจะสำลักน้ำลายตาย

“โม่… โม่… โม่เสวี่ย”

หลี่ลี่ถามออกไปพร้อมร่างกายที่ยังสั่นสะท้านไม่หยุด

“ทำอะไรอยู่งั้นหรือโม่เสวี่ย?”

“ทำอาหารเช้า”

ไป๋โม่เสวี่ยยังคงเป็นปกติ เขาหันมามองหลี่ลี่เล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปทอดไข่เช่นเดิม

“ทำอาหารเช้า แล้วเหตุใดจึงไม่ใส่เสื้อผ้าเล่า?”

หลี่ลี่กล่าวถามอย่างติดขัด

“เมื่อคืนหลังจากเจ้าหลับ พี่สาวข้าอยากจะทำมื้อเย็น แต่นางทำไฟไหม้เตานี่ แล้วข้าใช้เสื้อของข้าดับไฟพร้อมกับเผามันไปแล้ว”

ไป๋โม่เสวี่ยยักไหล่ก่อนจะเทไข่ลงบนจานด้วยท่าทางที่สง่างามและเป็นธรรมชาติ

“อีกอย่าง ข้าเป็นผู้ชาย …แม้ว่าการเปลือยกายของผู้ชายจะไม่เหมาะสม แต่อย่างไรมันก็ไม่ใช่ข้อห้ามนี่?”

แต่ดูเหมือนเจ้ากำลังยุยงให้ผู้อื่นก่ออาชญากรรมชัดเจน

หลี่ลี่ชำเลืองมองเขา แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป

“เสื้อผ้าเจ้าอยู่นี่!”

ทันใดนั้น เสียงของไป๋ซวี่เซียงก็พลันดังขึ้นมา หลี่ลี่เห็นว่ามีหญิงสาวที่ไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้ปรากฏตัวขึ้นบนเก้าอี้ของห้องอาหาร

นางนั่งยอง ๆ อยู่บนเก้าอี้ ถือชุดนักเรียนของสำนักจันทราศักดิ์สิทธิ์

“เอามา”

ไป๋โม่เสวี่ยรับเสื้อผ้านั้นไว้ และไม่สนใจพี่สาวกับหลี่ลี่ข้างกาย เขาถอดผ้ากันเปื้อนออกก่อนจะเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า

หลี่ลี่เหลือบมองเขาอย่างลับ ๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนผ่าวราวกับไข้ขึ้นสูง

ไป๋ซวี่เซียงมองไป๋โม่เสวี่ยอย่างเฉยเมยและไม่คิดจะหลบสายตาไปที่อื่น

ไป๋โม่เสวี่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว เขากลับมาเป็นสตรีผู้สมบูรณ์แบบ เส้นผมยาวสีดำขลับ ใบหน้างดงาม จากนั้นจึงถือจานทั้งสามมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยปากเรียกหลี่ลี่มาร่วมรับประทานอาหารเช้า

หลี่ลี่เดินตรงไปที่โต๊ะอาหารพร้อมกับนั่งลงตรงข้ามไป๋โม่เสวี่ย นางหยิบภาชนะบนโต๊ะก่อนจะมองไป๋ซวี่เซียงที่เริ่มรับประทานก่อนแล้ว เวลานี้นางนึกบางสิ่งขึ้นมาได้จึงรีบถามอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยว เมื่อคืนนี้แม่นางซวี่เซียงก็อาศัยอยู่ที่นี่ด้วยหรือ?”

“แน่นอน โม่เสวี่ยและข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเจ้า เช่นนี้จึงจะปลอดภัยที่สุด”

ไป๋ซวี่เซียงหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“นอกจากนี้ สาวน้อยเอ๋ย เจ้าคิดหรือว่าข้าจะใช้เงินเช่าบ้านหลังใหญ่เพื่อให้เจ้าเสพสุขกับน้องชายข้า? ฮ่าฮ่า คาดหวังมากเกินไปแล้ว”

“อืม…”

หลี่ลี่ผิดหวัง

“แน่นอนอยู่แล้ว”

ไป๋ซวี่เซียงหายตัวไปจากเก้าอี้ของนาง ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นจากแก้วนมของหลี่ลี่ ร่างกายท่อนล่างของนางอยู่ในอีกมิติหนึ่ง แต่ร่างกายท่อนบนยื่นออกจากขอบแก้วแล้วยื่นหน้าเข้าใกล้หลี่ลี่ด้วยรอยยิ้มจาง

“เช่นนั้นอย่าได้คิดทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ พี่สาวเช่นข้าสามารถปรากฏตัวได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา… เพื่อลงโทษเจ้า!”

  

นั่นคือสิ่งที่ไป๋ซวี่เซียงกล่าวทิ้งเอาไว้ สุดท้ายแล้วนางก็ยังมีงานที่ต้องรับผิดชอบในกลุ่มภารกิจลับ

ดังนั้นหลังจากเสร็จสิ้นอาหารมื้อเช้าแล้ว หลี่ลี่กับไป๋โม่เสวี่ยจึงอยู่กันตามลำพัง ตั้งแต่เดินไปสำนัก จนถึงเวลากลับจากสำนัก

หลี่ลี่ชื่นชอบไป๋โม่เสวี่ยมานานแล้ว และไป๋โม่เสวี่ยนั้นก็มีเสน่ห์ตั้งแต่กำเนิดในระดับหนึ่งเช่นกัน แม้สำหรับสาวน้อยผู้นี้ที่ผลเสน่ห์ของเขาไม่มีผลกระทบต่อนาง แต่สุดท้ายแล้วความอ่อนโยนของเขาก็ทำให้นางรู้สึกยินดีไม่น้อย

หลังจากนั้นไม่กี่วัน หลี่ลี่รู้สึกว่านางกำลังได้พบเจอกับช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม ซึ่งมันทำให้นางไม่อยากจากไปไหน

จนกระทั่งหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ไป๋ซวี่เซียงเรียกทั้งสองคนเข้าสู่ห้องพักอาจารย์ใหญ่ผ่านเครื่องมือสื่อสาร

“ตอนนี้สำนักนี้เป็นของพวกเราแล้ว”

ไป๋ซวี่เซียงนั่งไขว่ห้างบนที่นั่งเดิมของอาจารย์ใหญ่และหมุนเก้าอี้ไปมา

“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้ายังไม่ได้เบาะแสจากผู้ฝึกฝนปีศาจคนนั้นเลย เขาอาจจะหนีไปเมืองอื่นแล้ว เอาล่ะโม่เสวี่ย ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”

“มันไม่ใช่เรื่องของข้า!”

ไป๋โม่เสวี่ยปฏิเสธทันควัน

“ข้าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มทำภารกิจลับ และข้าไม่ได้รับรางวัลใดจากการทำงานนี้ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นความสมัครใจ ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าจากไปแล้ว ผู้ใดจะช่วยปกป้องหลี่ลี่?”

“ข้าขอให้เจ้าช่วยแก้ไขปัญหานี้ และข้าก็คิดถึงปัญหาที่จะตามมาแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงไม่ต้องกังวล”

ไป๋ซวี่เซียงพุ่งเข้าหาน้องชายของตนในพริบตา ก่อนจับมือเขาแล้วเงยหน้าขึ้น

“โม่เสวี่ย เพื่อติดตามร่างที่แท้จริงของผู้ฝึกตนปีศาจ มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยข้าได้!”

ไป๋โม่เสวี่ยมองดวงตาอ้อนวอนของพี่สาวตน เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวถาม

“กล่าวมาตามตรงเถิด ท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”

“นี่… ท่านแม่เซียงเสวี่ยไม่ได้ฝึกฝนทักษะพิเศษให้เจ้าหรือไร? เจ้ามีสองร่างไม่ใช่หรือ?”

แววตาของไป๋ซวี่เซียงแปรเปลี่ยนไปทันที

“ข้าทราบ โม่เสวี่ย เจ้าเรียนรู้ทักษะนั้นแล้ว เจ้ามีสองร่าง และทั้งสองร่างก็มีความสามารถในมนต์มหารัญจวนใช่หรือไม่?”

“แล้วไง?”

ไป๋โม่เสวี่ยตอบกลับอย่างเฉยชา

“แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ?”

“ได้โปรดเถอะ”

ไป๋ซวี่เซียงอ้อนวอน

“ทั้งกำลังคนและทุนของกลุ่มทำภารกิจลับนั้นน้อยมาก หากเราต้องการผู้ฝึกตนปีศาจที่เก่งกาจและสามารถหลบซ่อนตัวในฝูงชนกว้างใหญ่ภายในโลกใบนี้ได้ นอกจากจะใช้จิตสัมผัสเทวะของจักรพรรดิเซียนแล้ว คงมีเพียงการระดมพลพลิกแผ่นดินของโลกใบนี้เพื่อค้นหาเท่านั้น”

“หมายความว่าอย่างไร?”

ไป๋โม่เสวี่ยถาม

“เป็นคำถามที่ดี… โม่เสวี่ย”

ไป๋ซวี่เซียงชี้นิ้วไปที่น้องชายของตน

“เพื่อช่วยเหลือหลี่ลี่ ปลดปล่อยความสามารถของเจ้าออกมา และเป็นนักแสดงซะ!”

ไป๋โม่เสวี่ยกุมศีรษะตนเองอย่างจนปัญญา เขากล่าวหนึ่งคำที่หนักแน่นทันทีว่า

“ไม่!”

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท