ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年] – บทที่ 663 นักรบอันดับหนึ่ง

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

บทที่ 663 นักรบอันดับหนึ่ง

บทที่ 663 นักรบอันดับหนึ่ง

กระแสลมหมุนพร้อมเมฆหมอกทมิฬก่อตัวบนท้องฟ้า มันพัดถล่มตั้งแต่บันไดขั้นแรกของเทวาลัยสวรรค์อันวิจิตรงดงามขึ้นไปเรื่อย ๆ พร้อมหอบเอาทุกสิ่งระหว่างทางจนปลิวว่อน

เหล่านักรบส่วมชุดเกราะสีขาววิ่งถลาลงมาจากบันไดขั้นบนสุด บ้างก็สร้างเกราะต้านแรงลมอยู่บนแท่นพักกลางบันได บ้างก็ยกโล่ใหญ่ถือหอกปลายแหลมขึ้นต้านแรงลม

คนเหล่านี้เป็นกองกำลังของเจ้าแห่งรุ่งอรุณ ทั้งหมดล้วนได้รับการคุ้มครองจากผู้เป็นนาย จึงกลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้ ยามเผชิญหน้ากับเหล่าคนแคระ ภูต หรือยักษ์ พวกเขาย่อมต่อสู้ได้อย่างองอาจและไม่มีทางล้มตาย แม้แต่ยุคก่อนวันโลกาวินาศ เหล่านักรบทั้งหลายยังสามารถรักษาสติปัญญาของตนไว้ได้

แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักรบผมสีขาว พวกเขากลับต้องแพ้พ่ายไม่เป็นท่า

การตั้งรับของพวกเขาทำราวกับเล่นขายของ เพียงนักรบผู้นั้นกวัดแกว่งดาบใหญ่ อานุภาพเหลือร้ายของคมดาบใหญ่พลันฉีกกายพวกเขาออกเป็นชิ้น ๆ ราวกับเศษผ้า ส่วนชุดเกราะที่เคยสวมใส่ก็สลายไปราวกับกระดาษสา

นักรบผู้นั้นยังคงยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโชน ควันสีม่วงพวยพุ่งออกมา กองเพลิงที่อยู่เบื้องหน้ากำลังแผดเผาเกราะเหล็กของนักรบอีกฝ่ายให้ร้อนจนเป็นสีแดง กระทั่งมันกลายเป็นเพียงของเหลว ส่วนร่างกายก็ถูกเผาจากภายในสู่ภายนอก เนื้อหนังเปื่อยยุ่ยราวกับเนื้อตุ๋น อาวุธที่ถืออยู่พลันพุ่งออกจากมือ แสงที่ปกคลุมตัวก็ล้วนถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนมลายสิ้น พวกเขายังไม่ทันได้สัมผัสแม้แต่ปลายผมของนักรบผู้นั้น ก็ต้องถูกไฟเผาจนกลายเป็นเพียงเหล็กเหลว

ควันแผ่กระจายไปทั่ว เมื่อพวกเขาสัมผัสโดนควันนั้น เกราะจะกลายเป็นสนิม จากนั้นร่างกายจะค่อย ๆ ถูกกัดกร่อน

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้มีพลังอำนาจขนาดนี้ การตั้งรับของนักรบเกราะขาวนั้นช่างไร้พลังสิ้นดี แทนที่จะตั้งแนวรบ ไม่สู้พาสุนัขสวรรค์มาสักสองสามตัวอาจจะมีประโยชน์เสียกว่า

นักรบทมิฬรีบเหยียบย่ำศพนักรบเกราะขาวขึ้นบนชั้นเมฆ ข้ารับใช้ทั้งหลายรวมตัวกันดั่งเมฆฝนฟ้าคะนองลอยล่องลงไปห้อมล้อมพลหน้าไม้บนแท่นพักบันไดขึ้นมาบนที่สูง จากนั้นคนทั้งหลายก็ง้างสายหน้าไม้มุ่งปลายลูกศรทั้งหมดไปบนร่างของอี้ฝาน!

บรรดาข้ารับใช้ทวยเทพที่เหลือล้วนสร้างหอกแสงที่มีอานุภาพร้ายกาจไว้ในมือ

“ยิง!”

แม้ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนสั่ง แต่ทั้งเหล่าข้ารับใช้และพลหน้าไม้ในก้อนเมฆก็พร้อมใจกันเปิดฉากโจมตีอี้ฝานจากบนที่สูงทันที! ทั้งหอกทั้งลูกศรพุ่งลงมาจากก้อนเมฆราวกับพายุฝนมรณะ!!

ด้านอี้ฝานนั้นยกโล่ขึ้นด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้นแสงเลือนรางก็ปรากฏขึ้นล้อมชายเกศาขาวไว้อีกที ในขณะที่โล่ยังคงอยู่เหนือหัว ทั้งหอกแสงและลูกศรพุ่งมาหาชายหนุ่มไม่หยุด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่อาจทำอันตรายอันใดเขาได้ เมื่ออาวุธเหล่านั้นปะทะเข้ากับเกราะแสงคุ้มกัน มันก็จะถูกเบนไปทางอื่น หรือต่อให้มันเจาะทะลุเกราะเข้ามาได้ พวกมันก็จะถูกสกัดกั้นโดยโล่ใหญ่อยู่ดี

อี้ฝานพุ่งไปข้างหน้า เฉียดผ่านลูกศรไปสองดอก ก่อนจะมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ กับก้อนเมฆที่อีกฝ่ายตั้งหลักอยู่

เหล่าข้ารับใช้ทวยเทพกำลังสร้างหอกแสงเวทอีกครั้ง ส่วนพลหน้าไม้ก็กำลังบรรจุลูกศรเพื่อโจมตีครั้งต่อไป ทว่าอี้ฝานกลับยกดาบใหญ่ขึ้นกลางอากาศเสียแล้ว

เปลวเพลิงลุกโชนตลอดทางที่อี้ฝานก้าวผ่าน ทันทีที่เขายกดาบใหญ่ขึ้นมา เปลวเพลิงเหล่านั้นพลันพุ่งเข้ามาหลอมรวมเป็นกองเพลิงโหมกระหน่ำยิ่งกว่าเก่า ก่อนจะก่อตัวกันกลายเป็นหอกเพลิงนับพันล้อมกายเขาไว้ราวกับวงแหวน

เขาไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบโต้ แต่ชี้ปลายดาบไปด้านหน้า เพื่อส่งหอกเพลิงรอบ ๆ กายไปโจมตีอีกฝ่ายทันใด

ทะเลเพลิงล่องฟ้า!

หอกเพลิงทั้งหลายพุ่งเข้าไปในม่านเมฆ เหล่าข้ารับใช้ต่างพากกันหนีหัวซุกหัวซุน ทว่าหอกเพลิงนั้นกลับตามติดไปทุกแห่งท่ามกลางความโกลาหล เมื่อหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น สุดท้ายผู้คนเหล่านั้นก็ล้วนต้องถูกหอกเพลิงปลิดชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เหล่าข้ารับใช้ทวยเทพและพลหน้าไม้ทั้งหลายร่วงลงมาจากม่านเมฆ ในขณะที่ร่วงหล่น ความเป็นเทพทั้งหมดก็พลันหายไป ทิ้งไว้เพียงตัวตนที่แท้จริง ทั้งหมดค่อย ๆ กลายร่างกลับมาเป็นมนุษย์ คนแคระ และภูต ก่อนจะร่วงลงสู่พื้นอย่างรุนแรงจนร่างแหลกลาญ

อี้ฝานไม่อาจหยุดเพียงเท่านั้น เพราะหุ่นกลตัวสูงใหญ่ในชุดเกราะสีทองหลายตัวก้าวเท้าหนัก ๆ มุ่งตรงมาทางเขา เห็นได้ชัดว่าหุ่นกลเหล่านี้ถูกสร้างมาด้วยรูปแบบเดียวกับนักรบเหล็กทมิฬที่เฝ้าสุสาน แม้ว่าพวกมันจะไม่ทรงพลังเท่านักรบเหล็กทมิฬ แต่หากรวมตัวกันก็คงจะจัดการยากอยู่ไม่น้อย

ผลึกศิลาบนหน้าอกสว่างวาบ ดวงตาพลันเปล่งแสงสีขาว ทันทีที่เหวี่ยงอาวุธที่ถูกโอบด้วยพลังงานบางอย่าง สายฟ้าที่เต็มไปด้วยอานุภาพร้ายกาจฉายวาบทันใด

ในขณะเดียวกันอี้ฝานพุ่งตรงไปข้างหน้า ก่อนจะทุ่มโล่ใหญ่ลงบนพื้น จนแรงมหาศาลแผ่ออกเป็นระลอกคลื่นครอบคลุมบริเวณรอบ ๆ ส่งผลให้ทั้งพื้นขั้นบันไดและแท่นบนท้องฟ้าเกิดรอยร้าว เถาวัลย์งอกออกมาจากช่องว่างระหว่างรอยร้าวเลื้อยพันรอบกายหุ่นกลไม่ให้พวกมันขยับตัวได้ จากนั้นเถาวัลย์อีกส่วนหนึ่งก็เลื้อยออกมาจากรอยแยกของชุดเกราะทำลายอักขระโบราณ และผลึกหินตรงกลางหน้าอกแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

เมื่ออี้ฝานก้าวขึ้นไปบนแท่นที่อยู่สูงขึ้นไป หุ่นกลหลายตัวก็โจมตีเขาพร้อมกัน แต่เมื่อเขาลุกขึ้นพร้อมโล่ใหญ่ หุ่นกลทั้งหมดก็หยุดเคลื่อนไหวเข่าทรุดลงพื้น

เขายังคงมุ่งตรงไปข้างหน้าแม้ว่าร่างกายจะเต็มไปด้วยเลือด กำลังพลของเจ้าแห่งรุ่งอรุณไม่อาจต้านทานการโจมตีของเขาได้แม้แต่น้อย บัดนี้กลายเป็นเพียงซากศพเกลื่อนพื้น เลือดที่เปื้อนชุดเกราะสีทมิฬยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขามขึ้นไปอีก นักรบบางคนเพียงเผลอสบตากับเขาก็ต้องหวาดกลัวจนเสียสติ และเริ่มโจมตีสหายนักรบที่อยู่รอบ ๆ อย่างไม่ลืมหูลืมตา

หลังจากกวาดล้างคู่ต่อสู้ทั้งหมดจนหมดสิ้นแล้ว ในที่สุดอี้ฝานก็มาถึงประตูสุดท้ายที่นำไปสู่เทวาลัยเจ้าแห่งรุ่งอรุณ

ทว่าทันทีที่เขาก้าวเข้าไปด้านในเทวาลัย ข้ารับใช้ที่ทุกส่วนบนกายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ก็ก้าวออกมาจากด้านหลังประตูอย่างช้า ๆ

“เป็นเจ้านี่เอง”

แน่นอนว่าอี้ฝานรู้จักคนผู้นี้ดี

“ว่าอย่างไรหลายเส้อ หรือเจ้าคิดจะทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด กันข้าออกจากเทวาลัยของนายเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

“ข้ารู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ท่านนักรบ ข้านับถือในทุกสิ่งที่ท่านทำยิ่งนัก”

หลายเส้อยกมือข้างหนึ่งขึ้นทาบอกพร้อมโน้มศีรษะลงเล็กน้อยต่อหน้าอี้ฝาน จากนั้นเขาก็ยืดตัวขึ้นและเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที

“หลังจากที่ข้าได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเจ้าแห่งภูต ข้าก็ได้เข้าใจแล้วว่าท่านคือผู้สร้างยุคแห่งแสงสว่างที่แท้จริง แต่ถึงอย่างนั้น ความจริงที่ว่าผู้ปกครองแห่งยุคคือเจ้าแห่งรุ่งอรุณซึ่งเป็นนายข้าก็ไม่อาจลบล้างได้อยู่ดี และข้าก็ได้มอบความจงรักภักดีทั้งหมดให้แก่ทวยเทพผู้นั้นไปจนหมดสิ้น เช่นนั้นแล้วสำหรับตัวข้า ท่านเป็นเพียงผู้ยิ่งใหญ่ที่พ่ายแพ้ในสงคราม ข้าต้องขออภัยท่านนักรบเป็นอย่างยิ่ง แม้วันโลกาวินาศจะใกล้เข้ามาแล้ว แต่เจ้านายของข้าจะต้องไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ ข้าจึงจำเป็นต้องล่วงเกินท่านแล้ว!”

“เจ้าผู้เดียว คิดว่าจะหยุดข้าได้?!”

อี้ฝานเลิกคิ้วขึ้น

“หรือเจ้าคิดจะปลุกอดีตสหายนักรบขึ้นมาร่วมจัดการข้าไปพร้อมกับเจ้า หืม… แน่ใจว่าพวกเขาจะตื่นงั้นหรือ?”

“ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจว่าอย่างไรเสียข้าก็คงสู้ท่านไม่ได้ แต่ข้าก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถที่ข้ามี เพื่อไม่ให้นายท่านต้องผิดหวังในตัวข้าแม้แต่น้อย!”

หลายเส้อชักดาบเล่มยาวออกมาจากฝัก เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีขาวบริสุทธิ์โอบล้อมคมดาบไว้ไม่มีมอดดับ

“ขออนุญาตแนะนำตัวอีกครั้ง ข้าคือหลายเส้อ นักรบคนแรกในยุคสมัยของเจ้าแห่งรุ่งอรุณ ‘ซีเอ๋อร์เส้อ’ และข้าก็คือนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด!”

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี [炼气练了三千年]

Status: Ongoing
ณ สำนักกระบี่ชิงหมิง ที่แห่งนี้ยังมี ‘อาจารย์ลุง’ ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญและพบหน้าค่าตาได้ยากอยู่คนหนึ่ง …ที่ถึงแม้จะอยู่เพียงแค่ขั้นพลังชั้นต่ำสุดอย่างกลั่นลมปราณ แต่จะหาใครแกร่งเท่า คงไม่มีอีกแล้ว!‘ไป๋ชิวหราน’ ชื่อนี้ไม่มีใครที่เป็นศิษย์ในสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่รู้จัก ศิษย์ลูกรักของผู้ก่อตั้งสำนัก อีกทั้งยังเคยเป็นถึงความหวังของสำนักอีกด้วย ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่การที่ไปชิวหรานผู้นี้ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ขั้น ๆ เดิมมาถึงสามพันปี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ สวรรค์ต้องเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน นอกจากจะต้องเร่งบรรลุไปที่ขั้นสูงกว่านี้ให้ไว ๆ เพื่อหลีกหนีความตายแล้ว ยังต้องมารับมือกับเรื่องวุ่นวายทางโลกที่ ‘คนอื่น ๆ’ ชอบพามาหาเขาแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีก เห็นเขาใจดีแบบนี้ใช่ว่าจะทำอะไรกับเขาก็ได้นะ!เส้นทางการฝึกตนนั้นไม่เคยง่ายดาย ไป๋ชิวหรานผู้นี้รู้ซึ้งดี ฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาดูถูกขั้นพลังของเขา ก็เตรียมตัวชักกระบี่มาคุยกันได้เลย!ความตายที่คอยรังควาญไป๋ชิวหรานคือสิ่งใด ขั้นพลังที่เขามักแอบตัดพ้อถึงมันนั้นสูงส่งหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไหน โปรดติดตามได้ใน ‘ข้าก็แค่กลั่นลมปราณสามพันปี’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท